ชายรักชาย เป็นข้ออ้างในการบอกเลิกได้เหรอ ?

กระทู้คำถาม
สวัสดีครับ  นี่เป็นกระทู้แรกที่ตั้งในพันทิป  สาเหตุก็มากจากความรู้สึกที่มันเก็บมานาน  เก็บจนทำอะไรไม่ถูกจริงๆครับ  ชีวิตในแต่ละวันของผมก็ดำเนินไปเรื่อยๆแบบที่มันควรจะเป็น  แต่ไม่ว่าจะทำยังไงมันก็ยังรู้สึกว่า  มีอะไรบางอย่างที่มันหายไปจากชีวิต  และคงไม่เหมือนเดิมจริงๆครับ

เรื่องมันผ่านมาปีกว่าแล้วล่ะครับ  มันเริ่มหาย  แต่มันกลับมารู้สึกเหมือนโดนตบหน้าก็เมื่ออาทิตย์ก่อน  ที่ผมได้การ์ดแต่งงาน..

เริ่มไม่ค่อยถูก  เอาเป็นว่าเริ่มที่  ผมเป็นเกย์  และเป็นเกย์คนนึงที่ต้องเลิกกับแฟน  ด้วยเหตุผลที่ว่า "เป็นผู้ชายด้วยกัน"  มันเป็นอะไรที่  ทรมานมากครับ  ถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ  อยู่ไปวันๆเหมือนคนไม่มีวิญญาณ

จากความเจ็บในวันนั้น  วันนี้มันก็ทุเลาลงเยอะแล้วล่ะครับ  แต่มันก็แทนที่ด้วยความรู้สึกสงสัย  สงสัยว่า "แบบผม" จะหาคนที่จริงใจและยอมรับในตัวของผม  ยอมรับในสิ่งที่ผมเป็นได้ยากขนาดนี้เหรอ ?

ในสมัยนี้ที่สังคมมันเปิดกว้าง  ความรักไม่ได้เกิดขึ้นแค่ ชาย-หญิง

เรื่องมันเริ่มตั้งแต่ตัวผมอายุแค่ 14 ย่าง 15 ถ้าเทียบระดับชั้นก็ ม.3 ครับ ในตอนนั้นจะเรียกว่าผมยังไม่ค้นพบตัวเองก็เป็นได้มั้ง >< ในช่วง ม.ต้น  ผมก็เป็นเด็กผู้ชายปกติ  เรียน  เที่ยว  เล่นเกม  เล่นกีฬา  ใช้ชีวิตแบบเด็กปกติ  แต่มันเริ่มไม่ปกติ  มันมีอะไรแปลกๆหลังจากที่ผมได้รู้จักกับรุ่นพี่ผู้ชาย ม.5 คนนึง (จริงๆผมก็รู้จักเขามานานพอสมควร  แต่เขาไม่รู้จักผมหรอก 555) คือตอนเย็นในช่วงใกล้ๆ Sport Day ของโรงเรียน  ผมอยู่ช่วยเพื่อนซ้อมบาสฯ  เพราะเพื่อนผมมันลงแข่งครับ  แต่ผมไม่ได้ลงหรอกนะ   เล่นไม่เก่ง  แต่ก็มาช่วยเพื่อนซ้อม  เพราะว่าอยู่สีเดียวกัน  แล้วเพื่อนก็แนะนำให้ผมรู้จักกับรุ่นพี่คนนี้  เขาเป็นผู้ชายหน้าหวานที่มองแล้วให้ความรู้สึกน่ารักมากกว่าหล่อ ขออนุญาติบอกชื่อเขาเลยแล้วกันครับ  เพราะคนชื่อนี้คงมีเป็นหลักพันคน  พี่เค้าชื่อบิวครับ  พี่บิวแกก็เป็นนักกีฬาบาสเหมือนกัน

ขอตัดข้ามไปเลยแล้วกันครับ  ไม่ตัดนี่ยาวแน่ๆ  // หลังจากวันนั้นก็  ก็เริ่มสนิทกับพี่บิว  ก็ถือว่าคุยกันถูกคอพอสมควร  กลายเป็นกลุ่มเป็นแก๊งค์เดียวกันไปโดยปริยาย  ไปไหนมาไหนด้วยกันอยู่เกือบๆสองปี  จนพี่บิวแกจบ ม.6 ก็ไปเรียนต่อ มหาลัยฯนึงในกรุงเทพฯ  ก็เริ่มห่างๆกัน  เพราะก็รู้ๆกันอยู่ว่าวัย มหาลัย  นอกจากงานท่วมหัวแล้วก็ยังมีกิจกรรมสารพัดให้เข้าร่วม  แล้วพี่บิวก็ค่อยข้างจะเห็นคนประเภทเฟรนด์ลี่  กิจกรรมจ๋า พอตัว เวลาคุยกันก็น้อยลง  จากไปไหนมาไหนด้วยกัน  เป็นโทรคุยวันละครั้ง  จากโทรคุยวันละครั้ง  ก็เหลืออาทิตย์ละครั้ง

พอมันเริ่มห่างขนาดนี้  มันก็เริ่มทำให้ผมมองอะไรๆชัดขึ้น  ก็ไอ้ความรู้สึกผมนี่แหละครับ  ที่ชัดเจนเลย  ว่าผมไม่ได้คิดกับพี่บิวแค่พี่น้อง  และนั่นก็เป็นช่วงเวลาที่สับสนมากครับ  เพราะถ้าย้อนเวลากลับไปจากตอนนี้ประมาณ 7 ปี  สังคมของเพศที่ 3 ยังไม่เปิดกว้างเท่าทุกวันนี้  ผมทั้งกังวล  กังวลว่าผมจะเก็บความรู้สึกได้ยังไง ทั้งกลัว  กลัวว่าถ้ามันเก็บไม่อยู่  ผมเผลอพูดออกไป  ผมจะเสียพี่เค้าไปครับ  เขาอาจจะมองว่าผมเป็นพวกผิดเพศ  เป็นพวกอะไรก็ตามแต่ที่มันผิดธรรมชาติ  ผมเลยพยายามเก็บความรู้สึกไว้ครับ  

แต่มันก็เก็บไม่ไหวในช่วงที่ผมขึ้น ม.6  ผมตัดสินใจสารภาพรักออกไป  แต่มันเป็นการสารภาพรักทางโทรศัพท์  ผมเลยไม่รู้ว่าตอนนั้นพี่บิวมีสีหน้ายังไง  ผมรู้แค่เขาเงียบไปนานพอสมควร  ถึงได้ตอบกลับมาว่า  "ขอพี่ทำความเข้าใจกับตัวเองซักคืน"  ผมก็เลยตอบกลับไปว่าได้  ผมรอได้

พอผ่านไป 1 วัน  พี่บิวโทรเข้ามาครับ  มาบอกประโยคที่ทำให้ผมมีความสุขมาก  แต่ก็ยังไม่ใช่ประโยคที่มีความสุขที่สุด  เขาตอบกลับมาว่า "ลองมาคบกันดู  เพราะพี่ก็ยังไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกัน"

หลังจากนั้นจากที่เคยห่างก็กลับมาคุยกันทุกวัน  ถึงจะครั้งละไม่กี่นาที  แต่ก็ได้ทำความรู้จักกับมุมอื่นของอีกฝ่าย  เวลาผ่านไปจนผมจบ ม.6 ผมเข้าไปเรียนมหาลัยเดียวกันกับพี่เขา  เริ่มได้อยู่ด้วยกันมากขึ้น  ไปเที่ยว  ดูหนัง  กินข้าว  ไปค่าย  อาจจะไม่ต่างจากเดิม  แต่ก็ไม่ใช่ในสถานะเดิม  จาก พี่น้อง  เปลี่ยนเป็นแฟน

เราสองคนคบกันได้นานกว่าที่คิดครับ  นิสัยทุกอย่างมันโอเคเลยครับ  เข้ากันได้ดี  จนกระทั่งพี่บิวเรียนจบ  เราสองคนเริ่มมาคุยกันถึงความเป็นไปได้ของความสัมพันธ์ที่มันจะเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม  แล้วก็ได้ข้อสรุปว่าเขาจะพาผมไปที่บ้านเขา  ผมเรียนจบจะได้ไปช่วยงานที่บ้านเขา  ไปช่วยกันทำงาน  เก็บเงิน  สร้างอนาคต

วันแรกที่ผมไปบ้านพี่บิว  บอกตามตรงว่าประหม่าและกลัวมาก  เพราะบ้านพี่บิวเป็นครอบครัวคนจีนที่ค่อนข้างจะเข้มงวดกับลูกพอสมควร  แล้วพี่บิวก็เป็นลูกชายคนโต (มีพี่น้อง 3 คน  รวมพี่บิว)  พี่แกก็เลยเหมือนจะโดนตั้งความหวังไว้สูงมากเรื่องลูกสะใภ้  (เรื่องอื่นด้วย)  แต่พอเอาเข้าจริง  พี่แกกลับพาลูกเขยเข้าบ้านซะนี่ (ลืมบอก  ผมเป็นรุก)

ในช่วงแรกๆก็ผิดคาดครับ  ที่บ้านเขาต้อนรับดี  แต่มันก็ยังไม่รู้สึกอบอุ่นนะ  ผมว่าเขาก็คงแอนตี้ผมอยู่เหมือนกัน  แค่ยังไม่แสดงออก  แล้วก็อยากจะดูๆไปก่อน

หลังจากผมเรียนจบ  เราสองคนก็ช่วยกันทำงานเก็บเงินแบบเต็มตัว  รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในบ้านทั้งหมดเก็บเงินดาวน์รอออกมาคันนึง  (ผมให้เป็นชื่อพี่เขา  เพราะให้เกียรติที่เขาอายุมากกว่า) ไว้ขับไปทำงาน  (พี่บิวจะเป็นคนขับไปส่งผมที่ที่ทำงาน  แล้วพี่แกถึงขับกลับบ้าน  ไปช่วยกิจการของที่บ้าน)

ทุกอย่างเหมือนจะราบลื่นครับ  แต่ผมมั่นใจว่าที่บ้านเขาไม่ยอมรับแน่นอน  เพราะจากคำพูดของคนที่บ้านเขา  เหมือนจะพูดดีครับ  แต่มันแฝงอะไรบางอย่างที่เหมือนจิกกัดผมอยู่ตลอดเวลา  แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจมากครับ

จนถึงช่วงเวลาที่เราสองคนรู้จักกันได้ 9 ปี คบกันมา 6 ปี  ความรู้สึกมันเริ่มไม่เหมือนเดิม  ไม่ใช่ความรู้สึกรักนะ  ถ้าอันนั้นผมเหมือนเดิม  แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือ  มันรู้สึกว่าเขาเปลี่ยนไป  จากเรื่องเล็กน้อยที่เคยมองข้าม  ก็กลายเป็นเรื่องให้ทะเลาะกัน  มันเริ่มห่าง  ทั้งๆที่อยู่ใกล้ๆกัน

แล้ววันนั้นที่กลัวก็มาถึงครับ  ผมต้องกลับไปงานศพของปู่ผมที่ต่างจังหวัด  กลับไปแค่เวลาเพียง 1 อาทิตย์  สิ่งที่กลัวมันก็เกิด

ผมเปิด Facebook ทั้งๆที่ไม่ค่อยได้เช็คสักเท่าไร  พอเปิดเท่านั้นแหละคุณ.. แทบช็อคครับ  พี่บิวขึ้นสถานะคบกับผู้หญิงคนนึง  พร้อมกับรูปคู่โอบเอวโอบไหล่  มันไม่มีแรงจะยืนเลยครับ  แม้แต่น้ำตาจะไหลมันก็ยังไม่มี  มันชาครับ  เริ่มจากชา  พอหายชามันก็วูบ  เหมือนโลกมันหมุนเร็วจนผมยืนไม่อยู่  น้ำตาที่ค้างอยู่ข้างใน  มันไหลออกมาแบบควบคุมไม่ได้เลย  ใช้เวลาเกือบๆชั่วโมง  จนเริ่มตั้งสติได้  ผมเลยโทรไปถามพี่เขา  ว่าสเตตัส  รูปคู่  ทุกอย่าง  มันคืออะไร  พี่เค้าไม่ตอบคำถามครับ  เขาพูดมาแค่ "เราควรจะจบเรื่องของเราได้แล้ว  พี่ว่าผู้ชายด้วยกันมันอยู่ด้วยกันยาก  พี่อายสังคม" ผมเลยถามต่อครับ  ว่าคบกันมาตั้งนานเพิ่งจะคิดแบบนี้เหรอ ?  คิดมานานแล้วหรือว่าคิดหลังจากที่ได้เจอผู้หญิงคนนั้น  แล้วเป็นอีกครั้งครับ  ที่พี่เขาไม่ตอบ  แต่ถามผมกลับมาว่า "เลิกกับพี่ได้ไหม ถ้ารักพี่  ให้พี่มีชีวิตแบบธรรมดาเถอะ"  แล้วเขาก็ขอทุกอย่างครับ  ที่เคยหามาด้วยกัน  เครื่องใช้ไฟฟ้า  รถ  อะไรพวกนี้ครับ  แต่เขาให้เงินเก็บส่วนนึงกับผม  ก็ไม่กี่หมื่นครับ  แต่ตรงนั้นมันไม่ใช่ประเด็น  ผมไม่สนใจสิ่งของหรือเงินทองเลย  ผมสนใจแค่ว่า  ตอนนี้ผมเสียเขาไปแล้วครับ

หลังจากคำถามของเขา  ผมไม่ได้ตอบครับ  ผมได้แต่เก็บตัวอยู่ในห้อง  ร้องไห้  ไม่กินไม่นอน  พ่อกับแม่ผมก็ดูจะทุกข์ไปกับผม  แต่ผมไม่รู้จะทำยังไงจริงๆครับ   ก็ปล่อยให้ตัวเองร้องอยู่เกือบๆอาทิตย์  พอเวลาผ่านไปผมก็เริ่มกลับมาให้กำลังใจตัวเอง  รวมทั้งมีกำลังใจจากพ่อแม่  เพื่อนหลายๆคน  จนมันเริ่มจะหายดี  จนกระทั่งพี่บิวมาหาผม  ผมเกือบจะดีใจแล้วล่ะ  ถ้าไม่ใช่ว่าเขาเอาเสื้อผ้าของผมมาให้ผมนะ ยิ้ม  ตอนนั้นเพื่อนผมก็อยู่ด้วย  เพื่อนนี่วีนแตกเลยครับ  แต่ผมก็ปรามๆเพื่อน  พร้อมทั้งบอกพี่บิวไปว่า  ที่พี่เคยขอว่าให้พี่มีชีวิตแบบปกติธรรมดาได้ไหม  ผมให้พี่  แล้วพี่เขาก็กลับไป

ทุกอย่างเหมือนจะจบครับ  เวลาผ่านไปปีกว่า เกือบๆ 2 ปี แผลเริ่มหายดี  จนกระทั่งเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา...

ผมได้การ์ดแต่งงาน

คือ.....  อยากจะตะโกนดังๆให้ลั่นบ้านว่า "ไอ้สxด  กุเจ็บบบบบบบบบบ"

ถ้าไม่กลัวคนอื่นตกใจ...

ผมควรจะไปงานแต่งพี่เขาไหม ????

ทั้งรักทั้งเกลียดเลยครับ  ตอนนี้
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
ถ้าอยากไปก็ไปสิคะ แต่ถ้าไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป ถามใจตัวคุณเองดีที่สุด...แต่ถ้าคิดไปแล้ว ก็ไปอย่างสุภาพนะคะ ไม่ใช่ไปป่วนเค้าในงาน มันจะไม่จบไม่สิ้น แต่ถ้าไม่ไปก็ตัดใจซะ...

ปล่อยพี่เค้าไปน่ะดีแล้ว เค้าเลือกทางเดินของเค้าแล้ว เราอาจจะเจ็บนั่นเป็นธรรมดา แต่อย่าเจ็บนาน รีบๆ ลุกขึ้นมาดำเนินชีวิตต่อไปซะ แล้วก็หาคนใหม่ ก็ดูดี ๆ ก็แล้วกันค่ะ เอาแบบไม่มีปัญหาทางสังคมอะไรเทือกเนี่ยะจะดีกว่านะ เกย์ดี ๆ ที่เค้าแน่ใจในตัวเองแล้ว ยังมีอีกแยะค่ะ ไม่ต้องกลัว

เก็บพี่เค้าเป็นความทรงจำดี ๆ เอาไว้ดีกว่า อย่าไปผูกใจเจ็บอย่างนั้นเลย โกรธเกลียดมันไม่ช่วยทำให้เราดีขึ้นหรอก เค้าก็ไม่ได้มารู้สึกอะไรกับเรา แต่เรานี่สิจะแย่ทางกายและใจ แค้นใครโกรธใครก็ให้เวลารักษาใจไป.. ไปเที่ยวกับเพื่อน ดูหนัง ฟังเพลง เขียน Blog ระบายความเครียด ร้องคาราโอเกะ เที่ยวซ. 2 เที่ยวรัชฏา หาหนังสือดี ๆ ที่ให้กำลังใจ หรือหนังสือนิยายเพลิน ๆ สนุก ๆ อ่านจะได้ไม่คิดมาก หรือไม่ก็ไปตีแบด ตีเทนนิส เที่ยวตจว. กับเพื่อน ๆ ฯลฯ

สู้ ๆ นะคะ คนที่ไม่ใช่ ยังไงก็ไม่มีวันใช่ ก็ต้องปล่อยวางแหละค่ะ....
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่