[Spoil] Magi the Labyrinth of Magic ว่าตัวเรื่องการทดสอบของจินเบเลียนกับทฤษฎีจิตวิเคราะห์

อะแฮ่ม ขอเกริ่นนำสักนิดนึงนะคะ
เนื่องจากว่าเป็นกระทู้แรกของข้าน้อยหากว่าผิดพลาดประการใด ขอท่านศิษย์พี่ในพันทิพโปรดเมตตา และชี้แนะด้วยค่ะ
อมยิ้ม02หัวใจ


เรื่องก็มีอยู่ว่าตามหัวข้อกระทู้เลยค่ะ หลายวันมานี่เราลองกลับไปย้อนอ่านเมไจหลายๆตอนมา แล้วก็มาซะกิดที่ตรงเรื่องการทดสอบของเบเลียนซึ่งเป็นจินตนที่2ของชายน้อยผู้ที่กำลังเข้าสู่โหมดดาร์กนั้นเอง ฮาคุริวและจูดัลได้เข้าไปที่ดัลเจียนของเบเลียนแล้วก็ต้องประสบพบเจอกับภาพหลอนที่ตัวเองไม่พึงปรารถนานัก แล้วก็ได้มีการตอบโต้กันระหว่างตัวละครที่เป็นฝ่ายเข้าไปในดัลเจียนกับภาพหลอน การโต้ตอบครั้งนี้พอเราอ่านแล้วรู้สึกคิดถึงทฤษฎีทางจิตวิทยาทฤษฎีนึงชื่อว่า  ทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ของ Sigmund Freud หรือทฤษฎีก้อนน้ำแข็งที่มันดังๆน่ะค่ะ 5555 หัวเราะ

ซึ่งไม่รู้จะมีคนวิเคราะห์ออกมาเหมือนเราไหมว่าความขัดแย้งตรงนี้มันคล้ายๆกัน แล้วก็ถ้าเราพูดหรือตีความทฤษฎีผิดบอกได้นะ เราไม่ได้เรียนจิตวิทยาโดยตรง เคยเรียนแค่เบสิคเท่านั้น

ทฤษฎีนี้กล่าวว่า จิตใต้สำนึกของคนเราเมื่อแบ่งโครงสร้างตามหน้าที่แล้วจะได้ทั้งหมดสามส่วนคือ

1. Id เป็นส่วนที่อยู่ในจิตไร้สำนึกเท่านั้น เป็นแรงผลักดันดั้งเดิมของคนเรา แบ่งออกเป็นแรงผลักดันทางเพศ (libidinal drive) และแรงผลักดันทางความก้าวร้าว (aggressive drive) สรุปง่ายๆก็คือสัญชาตญาณดิบนั้นเองค่ะ ซึ่งจิตส่วนนี้เป็นจิตส่วนที่ไม่ดีสักเท่าไร ถ้าคนเรามีแรงผลักดันจากจิตส่วนนี้มากก็จะถูกผลักดันไปในการทำพฤติกรรมที่ก้าวร้าว หยาบกระด้าง ไม่เหมาะสม ไร้ศีลธรรมอะไรประมาณนี้ล่ะค่ะ

2. Ego เป็นส่วนที่ทำหน้าที่อยู่ทั้งทำหน้าที่รักษาสมดุลระหว่าง id ซึ่งเป็ยสัญชาตญาณดิบ กับระเบียบหรือข้อจำกัดจากสภาพเป็นจริงภายนอก(สภาพแวดล้ม จารีต ขนมธรรมเนียนประเพณีในสังคมที่เจ้าของจิตอยู่) และแรงกดจากsuperego

3. Superego คือมโนธรรม เป็นส่วนของจิตสำนึกที่คอยตัดสินความคิด การกระทำว่าถูกหรือผิด และทั้งการคัดเลือกบุคคลที่จะมาเป็นแบบอย่างในชีวิต ตัวนี้จะคอยกดไม่ให้ id หรือสัญชาตญาณดิบของเราแสดงออกมา เป็นส่วนของจิตที่อยู่ในระดับสติแล้วรู้สึกตัวและหรือ conscious



ซึ่งปกติเวลาที่เราจะทำหรือคิดอะไรมันจะมีความขัดแย้งระหว่าง id กับ egoอยู่ ตัวฮาคุริวและจูดัลเองก็เช่นกัน รวมทั้งตัวของพวกเราเองก็ได้ เมื่อเกิดความขัดแย้งขึ้นจิตของเราจะมีกลไกลการหาทางออกให้ตัวของมันเองค่ะ เพราะถ้าความคัดแย้งกันคงอยู่ สภาพทางจิตของคนๆนั้นก็จะเสียไป เราเรียกสิ่งนั้นว่ากลไกทางจิต (Defense Mechanism) ซึ่งกลไกลนี้ก็มีหลายอย่างด้วยกัน เช่น Rationalization หรือการหาเหตุผลมาแถ เอ๊ย เข้าข้างตัวเองอย่างสมเหตุสมผลมาอธิบายความคิดหรือการกระทำตนเองที่จิตใจยอมรับไม่ได้ ซึ่งตัวอย่างในชีวิตจริงก็อย่างเช่น ผู้หญิงที่หาแฟนไม่ได้ อ้างว่าที่ไม่ยอมลงจากคานเป็นเพราะต้องการดูแลพ่อแม่เป็นต้น ส่วนตัวอย่างในเรื่องก็อย่างเช่นที่โคเอ็นและฮาคุเอทำเป็นมองไม่เห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นในประเทศด้วยน้ำมือของอัลซาแมน โดยให้เหตุผลว่าต้องการรักษาความสงบสุขในประเทศ สืบทอดเจตจำนงของจักพรรดิองค์ก่อน ในประเทศทุกประเทศก็มีคนที่ดีและไม่ดีปะปนกันไป ประเทศเราก็มี มันเป็นสัจจธธรรมโลกอะไรทำนองนี้ ซึ่งจะไม่ขอออกความเห็นว่าประเด็นความคิดตรงนี้ว่าถูกหรือผิดนะ เพราะทุกคนมีความคิดของตัวเอง และเหตุผลเป็นของตัวเองเพื่อที่จะให้ตัวเองก้าวต่อไปข้างหน้าได้ ซินแบดเองก็มีการใช้ข้ออ้างให้ตัวเองด้วยเถอะแต่ขอไม่วิเคราะห์เดี๋ยวมันจะยาว5555

ที่นี้มาพูดถึงเบลเลียน การทดสอบของเบเลียนคือการนำเอาความขัดแย้งของidและegoที่มันควรจะจบไปแล้วโดยการใช้กลไกลการป้องกันตัวเองทางจิตออกมาให้เจ้าของได้เผชิญหน้ากันโต้งๆ ซึ่งปกติเราก็ไม่ได้รู้สึกตัวถึงความขัดแย้งนี้กันจะๆเลย จิตเราประนีประนอมให้มันจบไปเอง ดังนั้นมันไม่ใช่ความสับสนที่จะก้าวข้ามไปได้ง่ายๆ ฮาคุเอเอย โมเซียน่าเอย ที่เป็นภาพหลอนที่เบลเลียนสร้างขึ้นเห็นได้ชัดเจนเลยว่าจะกล่าวถึงสิ่งที่เจ้าของพยายามกดมันไว้ในจิตใต้สำนึก ฮาคุริวก็จะเงิบกินสิค่ะ พอเจ้าตัวพยายามจะหาข้อแก้ตัวมันก็เลยกลายเหมือนเป็นโกหกนั้นแหละ เพราะสิ่งที่ภาพหลอนพูดมาลึกๆเราก็รู้ว่ามันถูกแต่เราไม่อยากยอมรับมัน

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ซึ่งราชาที่เบเลียนต้องการคือผู้ที่สามารถก้าวข้ามความขัดแย้งตรงนี้ไปได้ แต่การก้าวข้ามความขัดแย้งนี้ในมุมของเบเลียนที่ต้องการคือการให้ฮาคุริวละทิ้งความแค้น ให้จูดัลได้รู้ว่าตัวเองเปลี่ยนชีวิตตัวเองได้ แต่ประเด็นคือจุดที่เป็นปมของทั้งสองคนมันค่อยข้างลึก ดังนั้นแทนที่เบเลียนจะแสดงให้ทั้งสองเห็นทางออกที่สดใส กับแสดงให้ทั้งสองได้เห็นถึงความอยุติธรรมที่ตัวเองได้รับจากโลกใบนี้แทน แหมะ ตัวเบเลียนมันคงคาดไม่ถึงว่าการทดสอบของมันไม่ได้มีแค่ตัวตอบเดียว การก้าวผ่านความคัดแย้งมีทั้งทางที่ดีและไม่ดี มันไม่ใช่ว่าจะได้คำตอบที่มันดีเสมอไปอาจจะได้ด้านไม่ดีก็ได้

นอกจากมันเป็นคำสั่งเสียแล้ว ฮาคุริวไม่อยากให้บุคคลอันเป็นที่รักตายไปโดยไม่ได้รับความยุติธรรมหรือการเลี้ยวแล มันไม่แปลกไปหน่อยเหรอ ซึ่งความรู้สึกที่ต้องการเรียกร้องความยุติธรรมของฮาคุริวในฐานะผู้สูญเสีย ดังนั้นจึงทำให้ฮาคุริวเข้าใจอาลีบาบาดี ตอนที่มาชวนฮาคุเอไปกับตนแล้วฮาคุเอปฏิเสธ ฮาคุริวจึงตอกกลับไปว่า ตลกน่า! โลกเป็น1เดียวมีที่ไหนครอบครัวเราก็แตกแยก รวมเป็น1แล้วไง ก็ต้องไปในร้ายผู้อื่นใช่ป่ะเพื่อรวมเป็น1เนี่ยะ จะให้คนที่สูญเสีย(เช่นอาลับาบา ที่เสียคาซิมไปเพราะการแทรกแซงของจักรวรรดิ) ลืมความสูญเสียไปได้เหรอ ลองสลับเสี่ยเป็นฮาคุริวก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าคำตอบของเสี่ยจะออกมาเหมือนหรือแตกต่างกับฮาคุริวนะ ส่วนจูดัลคาดว่าคงเติบโตมาแบบไม่ได้รับความรักเท่าไรและก็ไม่ได้รู้ว่าหน้าที่ของตนจริงๆคืออะไร พออะลาดินทำให้เห็นอดีตเลยน่าจะเกิดความรู้สึกผิดต่อหน้าที่ และรู้สึกสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ค่ะ เพราะคนที่ทำให้จูดัลรู้สึกว่ารักตนอย่างบริสุทธิ์ใจจริงๆ คงจะเป็นพ่อกับแม่ที่อยู่ในภาพความทรงจำ ถ้าเลือกเมไจคนอื่นพ่อกับแม่ก็คงไม่ต้องมาตาย การที่ผู้ที่ไม่เคยเป็นที่รัก ได้รู้ตัวว่ามีคนที่รักตัวเองอยู่ และก็ได้เสียคนๆนั้นไปแล้ว คิดว่าน่าจะถือเป็นความเจ็บปวดสาหัสอย่างนึง

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

จบการพล่ามมม ปิ๊ง!!!!!!!!!!!!! เม่าบัลเล่ต์เม่าบัลเล่ต์เม่าบัลเล่ต์เม่าบัลเล่ต์ ใครมีความเห็นเพิ่มเติมยังไงเม้าท์กันได้นะคะ (-.,-) ว่างๆอยากเขียนเรื่องอาลีบาบาดูบ้างต่อจากคู่นี้ 555

เครดิตเนื้อหาและภาพ :
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้


**** หมายเหตุ การวิเคราะห์ของจขกท.ตรงส่วนเรื่องการสะท้อนจิตใจของฮาคุริวกับจูดัลยังไม่ค่อยละเอียดนัก แยกแค่ความขัดแย้งหลัก ดังนั้นขอrecommentให้อ่านคห.3 กับคห.6ต่อนะคะถ้ากำลังมันส์อยู่ วิเคราะห์ได้ดีทั้งคู่ ในส่วนที่จขกท.ตกหล่น ส่วนท่านผู้ใดเหนื่อยแล้วจากการพล่ามของจขกท.ขอบ๊ะบายวิชาการก็มาเม้าท์ได้อยู่นะคะ 555 ถึงเนื้อเรื่องจะดูวิชาการนิดนึงแต่แค่แตะๆเอาให้มันส์เฉยๆค่ะ555 จะกรี๊ดจะติ่งจะอะไรได้หมด จขกท.อนุญาตินะคะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่