เหนื่อยจังครับกับมนุษย์เพื่อน...

ชีวิตคือการแข่งขันใช่ไหมครับ แม้กระทั่งเพื่อนกันเองก็ยังต้องใช้การแข่งขันเข้ามาเป็นตัวแปรหลัก สมาชิกท่านไหนแวะผ่านมาผมขออนุญาตใช้พื้นที่ระบายความอัดอั้นหน่อยนะครับ เพราะไม่ว่าจะเล่าให้คนรู้จักฟังหรือคนในครอบครัวมันก็คงเป็นเรื่องธรรมดาที่ผ่านไปแล้วแก้ไขหรือทำอะไรไม่ได้นอกจากทำใจ แต่ถ้ามาเล่าให้คนที่ไม่รู้จักกันฟังแม้ว่าอาจจะโชคร้ายเจอประโยคซ้ำเติมแต่มันก็คงทำให้เราได้เห็นมุมมองอะไรเพิ่มขึ้น หรือไม่ผมก็อาจจะหายจากอาการเฟลที่กำลังเป็นอยู่

ผมกับเพื่อนเรารู้จักกันมาประมาณ 5 ปีแล้วครับ เจอกันเพราะเป็นเพื่อนร่วมงาน งานที่ทำตอนนั้นเป็นงานเสริมครับ เป็นแค่นักเล่าเรื่องในรายการช่องเคเบิ้ลทีวีทั่วไป ซึ่งกลุ้มเป้าหมายค่อนข้างชัดเจนคือเด็กๆ ความรู้สึกส่วนตัวผมต้องบอก เออเพื่อนคนนี้ทำงานด้วยกันแล้วสนุก คุยกันแล้วสนิทใจดีครับ ได้เก็บเกี่ยวความรู้ในศาสตร์ของการนำเสนอในรูปแบบของเนื้อหาที่เข้มข้นดี จนเวลาผ่านไปหนึ่งปี ผมกับเพื่อนก็ลาออกเพราะไม่ได้ต่อสัญญา

ซึ่งผมและเพื่อนก็มีความคิดว่าเราเองก็น่าจะดึงเอาจุดเด่นของความรู้ที่มีอยู่ในตัวเอง ลองมาทำรายการนำเสนอในพื้นที่บนโลกโซเชี่ยลซึ่งผลตอบรับก็ค่อนข้างโอเคครับ แม้จะทำๆ หยุดๆ อยู่บ้างแต่มันก็พอมีฐานคนดุที่ทำให้เราประทับใจได้เสมอ อ้อ ตอนนั้นไม่มีรายได้จากการทำเลยนะครับ ทำด้วยใจล้วนๆ เพราะคิดว่าวันหนึ่งคงได้ขยับขยายถ้ามีโอกาสหรือมีใครเห็นว่าเราทั้งคู่เหมาะกับงานนั้น

จนเมื่อพื้นที่ของโลกโซเชี่ยลเริ่มมอบรายได้ให้กับเราทั้งคุ่ ซึ่งผมกับเพื่อนก็เริ่มมีรายได้จากการทำคลิปวิดีโอ บอกเลยว่าสนุกสนานครับ แต่ผมเองก้ต้องยอมรับว่าผมทำในส่วนของ Content น้อย หรือมีความรู้น้อยกว่าเพื่อนคนนี้มากๆ แต่ผมก็พยายามชดเชยสิ่งที่ตัวเองด้อยด้วยการทำการตลาดออนไลน์ คิดหาไอเดียทั้งชื่อรายการ คอนเซ็ปต์รายการ การโปรโมทบนสื่อออนไลน์ซึ่งตัวผมเองก้ไม่ได้กั๊กเทคนิคใดๆ ถ้ารู้ก็แชร์ก็บอกเล่าให้เพื่อนคนนี้ฟังหมด

รายได้จากคลิปเริ่มมีมากขึ้น สินค้าบางประเภทที่สามารถนำมาเพิ่มช่องทางการขายออนไลน์ได้จึงตามมา จุดนี้กระมังที่ทำให้ผมกับเพื่อนต้องแยกย้ายใส่รองเท้า converse กันคนละข้างเมื่อมีผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง อยู่ดีๆ วันหนึ่งสินค้าที่ขายร่วมกันก็ถูกโอนไปที่เพื่อนผมทั้งหมด เพราะเขาเสนอมาว่าอยากไปทำเอง โดยยื่นเหตุผลว่าเราจะได้เอาเวลาไปทำคลิปให้ถี่ขึ้น ผมไม่รู้ว่ามีอะไรเข้าใจผิดกันหรือไม่ แต่หลังจากได้ยินเหตุผลนั้นผมก็คิดได้เลยว่าเขาคงอยากได้ธุรกิจเสริมตัวนี้มาก แล้วก็ไม่มีเหตุผลที่ผมจะต้องทำต่อ เพราะที่ผ่านมาผมก็ผมจึงยกสิทธิ์ทั้งหมดให้เขาไปทั้งการขายสินค้าออนไลน์ แฟนเพจ เว็บไซต์ เพราะคิดเพียงว่าอยากเดินออกมาจากตรงนั้น อย่างน้อยๆ ผมก็ได้เห็นภาพรวมของเพื่อนคนนี้มากขึ้น ตอนนั้นผมเฟลมากถึงกับเปิดอกเล่าให้แฟนฟังว่าปัญหามันเป็นแบบนี้เอาไงต่อดีซึ่งแฟนก็บอกว่าผมทำถูกแล้ว เขาอยากได้ก็ให้เขาไป เรามาเริ่มต้นใหม่เองที่เป็นของเราเองดีกว่าไหม เพราะสิ่งที่สร้างขึ้นมาถ้ามันถูกเปลี่ยนมือ แม้เราจะสูญเสียความเป็นตัวเอง แต่มันก้ยังหลงเหลือความรู้ที่จะสร้างมันขึ้นมาใหม่ได้

จนวันที่ผมพร้อมกลับมาทำใหม่ด้วยตัวเองอีกครั้ง... ซึ่งผมคิดไว้แล้ว่าทันทีที่มีประกาศหรือคลิปออกไปในสไตล์ที่คล้ายกัน มันจะถูกตอกกลับด้วยการแข่งขันของเพื่อนผม (อ้อ ลืมบอกไปครับว่าในขณะที่ผมกลับไปควานหาเศษเสี้ยวของความหวังที่จะสร้างงานที่ตัวเองรักขึ้นมาอีกครั้ง เพื่อนผมก็ยังคงทำหน้าแชแนลของตัวเองต่อไปเหมือนเดิมในรูปแบบเดิม เหมือนตอนที่ยังมีผมช่วยอยู่ ถามว่ามีการพัฒนามั้ยก็มีแต่ไม่มาก ผมแอบคิดนะว่าไหนๆ ก็ไม่มีคนช่วยทำไมไม่ทำให้มันดีขึ้น เพราะในช่องทางที่เขาใช้สื่อสารมันยังมีชื่อของผมและเพื่อนถูกนำเสนออยู่ด้วยซึ่งในฐานของผุ้ชมไม่มีใครรู้ว่าผมหายไปไหนคงคิดว่าเป็นเบื้องหลัง)

สิ่งที่ทำให้ผมเฟลอีกครั้งคำสิ่งที่เขาประกาศออกมาผ่านโลกโซเชี่ยลว่าเขาพร้อมที่จะเปิดศึกแข่งขันด้วยการไล่บี้ทำ Content ที่ผมพยายามทำหนีออกมา แม้มันจะไม่ใช่เรื่องใหม่ในตลาดของกลุ่มเป้าหมาย แต่มันก็เป้นอีกทางเลือกของผู้ชมที่ไม่ซ้ำกับของที่เขาทำอยู่ และแม้ว่าเขาจะไมได้ประกาศชื่อว่าจะแข่งกับใคร แต่ผมเห็นก็รู้เลยว่าเขาเห้นสิ่งที่ผมกลับมาเริ่มต้นใหม่แล้ว และพร้อมที่จะเหยียบผมให้ต่ำลงไปอีก

ผมมีคำถามท่านที่กรุณาอ่านมาถึงตรงนี้...

1.ผมแคร์ความรู้สึกคนอื่นมากไป หรือ "ใจ" กับเพื่อนมากไปไหมในแง่ของความจริงใจไหมครัย
2.ผมควรทำสิ่งที่กำลังเริ่มต้นใหม่ต่อไปหรือเลิกทำมันซะตัดปัญหาแล้วจะได้ไม่เกิดปัญหาเฟลแบบนี้อีก
3.หรือผมควรสู้ให้เต็มที่ สู้กันด้วยคุณภาพของงาน เพราะแต่ละคนก็มีสไตล์ของตัวเอง

ผมทราบว่าแต่ละคนก้มีปัญหาเป็นของตัวเอง ขออนุญาตแชร์ในมุมเล็กๆ ของผมบ้างละกันนะครับ

ขอบคุณที่รับฟังเรื่องราวของผมนะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่