ปัจจุบันอายุ21ปีค่ะ ลำดับอายุเรียกกันตามสะดวก เรื่องที่จะเล่าเป็นเรื่องของเราตั้งแต่จำความได้เกี่ยวกับเรื่องของแม่ คำถามมากมายที่เราอยากได้คำตอบแต่การจะได้มาซึ่งคำตอบมันช่างน่ากลัว...
บ้านเรามีสมาชิก4คนคือพ่อ/แม่/น้องชายและตัวเรา ที่บ้านเปิดร้านขายของปลีก-ส่งทั่วไป ด้วยความที่ปู่ย่าอยากมีลูกสาวแต่สุดท้ายก็ได้แต่ลูกชายมา5คน พอเราเกิดมาเป็นหลานสาวคนแรกของทางบ้านพ่อ ญาติๆพากันเห่อหลานสาวมาแย่งกันเลี้ยง ปู่ย่ารักเรามากแทบจะเอาไปเลี้ยงเองตลอด พ่อเราก็ดีใจที่ได้ลูกสาวพ่อทำทุกๆอย่างให้เราด้วยตัวเองเป็นผู้ชายที่อ่อนโยนมากสำหรับเรา ส่วนแม่เห็นว่ามีคนดูแลเรามากแล้วพ่อก็อยู่แม่จึงเลือกที่จะทำงาน พอน้องเกิดมาเป็นผู้ชายอายุห่างกับเรา2ปีทางบ้านพ่อก็ไม่ตื่นเต้นแล้วเพราะมีแต่ผู้ชายจนชิน ทางบ้านแม่ก็มีลูกของลุงๆป้า แม่มักจะพูดเสมอว่าน้องน่าสงสาร ตอนเด็กๆเวลาญาติมาหาเราก็มักจะมองข้ามน้อง แม่จึงเลือกที่จะเลี้ยงน้องด้วยตัวเองและไม่ให้พ่อไปยุ่งเพราะพ่อเลี้ยงเราแล้ว
ตั้งแต่จำความได้เราไม่เคยมีความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับแม่เลย ไม่เคยรู้เลยว่าความรู้สึกเวลาแม่กอด...เขารู้สึกกันแบบไหน เวลามีงานวันแม่ที่โรงเรียนแม่มักจะทำงานและมาร่วมไม่ได้เราก็พยายามจะเข้าใจ เราต้องไหว้คุณครูแทนทุกปี พอน้องเข้าโรงเรียนมีงานวันแม่ แม่ก็เลือกที่จะไปของน้องทุกปีและบอกว่าเราเป็นพี่ ต้องเสียสละให้น้อง เราเกลียดกิจกรรมวันแม่ที่จัดขึ้นทุกปีที่โรงเรียน เรามักจะหวังลึกๆทุกๆปีว่าแม่อาจจะมา แต่ก็ไม่เลย ครูมักจะพูดกับเราเสมอว่าครูก็เป็นแม่คนที่2ของเราไง เราไม่เคยมีความสุขเวลาเปิดเทอมมาไม่กี่เดือนแล้วครูบอกให้ทำการ์ดวันแม่...เขียนเรียงความเรื่องแม่ อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับกิจกรรมวันแม่ ฯลฯ เพราะเรารู้ว่า...แม่จะไม่มา
เวลาน้องทำอะไรแม่มักจะชมว่าดีมาก เก่ง ทำดีแล้ว ไม่ว่าสิ่งนั้นจะได้ผลเป็นยังไง ในขณะที่กับเราแม่จะไล่ให้ไปหาพ่อ เวลาผลการเรียนแต่ละเทอมออกมาเราจะตื่นเต้นมากว่าเทอมนี้ได้เกรดเท่าไร สอบได้ที่เท่าไหร่ พอกลับบ้านมาเราจะรีบวิ่งเอาไปให้แม่ดู เราไม่เคยสอบได้อันดับเกินเลขตัวเดียวเลย เกรดทำได้ 3.8-3.9ตลอด แม่จะแค่มอง ในขณะที่น้องอยู่อันดับกลางไปจนถึงปลายๆห้องได้เกรด 2.5-2.8 แม่จะกอดน้องชมว่าน้องเก่งมาก ตอนเด็กๆเราไม่เข้าใจ คิดว่าเราคงทำได้ดีไม่พอ แม่คงคาดหวังกับเรามากกว่าน้องเพราะเราเป็นพี่ใช่ไหม เราคงต้องพยายามอีก
เพราะคิดแบบนั้นเราจึงทุ่มเทให้กับการเรียนมาก รีบมาโรงเรียนแต่เช้าช่วยงานครูประจำชั้น ตั้งใจทำงานทุกวิชาให้ได้คะแนนเต็ม มีของมีขนมก็แบ่งเพื่อนและช่วยทุกคนเท่าที่เราสามารถทำได้ จนอาจเรียกได้ว่าครูและเพื่อนไว้ใจเรามาก และเลือกจะเชื่อในความสามารถของเรา ตั้งแต่อยู่ประถมจนจบมัธยมเราก็ได้เป็นหัวหน้าห้องมาตลอด เรารู้สึกได้ถึงการเป็นคนที่ถูกรัก คุณครูรัก เพื่อนรัก พ่อรัก ปู่ย่าน้าอาก็รัก แต่...แม่...รักเราไหม?
ด้วยความสงสัยลึกๆในใจนี้ เรากลายเป็นคนที่ทุ่มเททำอะไรทุกอย่างเพื่อที่จะได้เป็นคนที่คนรอบข้างรัก เป็นคนที่มีคุณค่าสำหรับคนอื่น ตอนอยุ่มัธยมต้นเราเข้าเรียนที่โรงเรียนหญิงล้วนแห่งหนึ่งอยู่คนละจังหวัดกับบ้านเลยต้องอยู่หอพัก ตอนนั้นเราก็ยังคงเชื่อว่าถ้าเราตั้งใจเรียนสักวันแม่จะรักเรา สักวันเราจะได้รับคำชมจากแม่บ้าง ได้รับอ้อมกอดของแม่บ้าง วันจ-ศเราเรียนที่โรงเรียนตั้งแต่08.30-1ุ6.00น. พอเลิกเรียนเราไปเรียนพิเศษต่อตั้งแต่ 16.30-21.30น. วันส-อาเราเรียนพิเศษตั้งแต่7.40-19.20 ณ ตอนนั้นเรารู้สึกว่าการเรียนทำให้เรามีค่า มีเพื่อน มีสังคม เป็นที่ต้องการของคนอื่น เราจึงทุ่มเวลาและความพยายามทั้งหมดไปกับการเรียน
จนถึงวันหนึ่งขณะที่เราเรียนอยู่มัธยมศึกษาปีที่3 เรามีโรคประจำตัวคือไมเกรน มักจะปวดหัวมากจนทำอะไรไม่ได้ ถ้าเวลามีอาการเราจะอยู่ในที่ๆมีแสงสว่างก็ไม่ได้ ได้ยินเสียงอะไรเราจะทรมานมาก แค่ได้ยินเสียงตัวเองหายใจมันก็ปวดหัวไปหมด แต่โดยปกติมักจะเป็นในระยะเวลาสั้นๆแค่3-5วันแล้วก็หายไป แต่คราวนี้มันไม่ใช่ เราเป็นติดต่อกันอยู่เกือบครึ่งเดือนและไม่สามารถไปโรงเรียนได้เลย เรารู้สึกแย่มาก อยากไปเรียน อยากไปเจอคุณครู เจอเพื่อน พอต้องทนอยู่ในห้องมืดๆขนาดแค่12ตร.ม มันทำให้เรารู้สึกไม่ดี อยากกลับบ้าน ทันทีที่ย่ารู้ว่าเราไม่สบายย่าชวนปู่ขับรถเข้ามาหาเราภายในวันนั้น พาไปหาหมอ พาไปกินข้าว ย่าก็ถามอยากกลับบ้านไหม...ลึกๆเราก็อยากกลับ แต่ก็กลัวจะโดนแม่ว่า เพราะถ้ากลับบ้านไปแล้วก็ต้องมีคนมาส่งตอนกลับมาที่โรงเรียน เราจึงเลือกที่จะไม่กลับ
หลังจากปู่กับย่าบ้าน แม่ถึงได้โทรมาหาเรา แม่ถามว่าเราเป็นอะไร เป็นตั้งแต่วันไหน เป็นมากี่วันแล้ว ...เราดีใจมากเลยที่ได้ยินแบบนั้น แม่คงเป็นห่วงเราเหมือนกันใช่ไหม วินาทีนั้นมันเหมือนชีวิตเราพุ่งขึ้นไปถึงจุดที่มีความสุขที่สุด ความคลางแคลงใจว่าแม่รักเราไหมมันเหมือนมีคำตอบ ความมืดลึกๆในใจมันเหมือนมีประกายของแสงสว่างที่ส่องเข้ามา เราคงจะคิดมากไปเอง แม่ต้องรักเราอยู่แล้วถูกไหม ใครๆก็มักจะพูดว่าไม่มีหรอก แม่ที่ไหนจะไม่รักลูก แต่แล้วเราก็ได้เรียนรู้ถึงความคาดหวังที่ไร้ค่า ความจริงที่มันไม่สวยงามอย่างที่ผู้ใหญ่บอกเรา สิ่งที่แม่พูดต่อหลังจากเราตอบคำถามก็คือ ไม่ได้ป่วยจริงๆใช่ไหม อย่ามาสำออย แค่ไม่อยากไปโรงเรียนใช่ไหม มีปัญหาอะไรกับเพื่อนอย่ามาหาทางออกด้วยการขาดเรียน พรุ่งนี้เช้ารีบตื่นแล้วรีบไปโรงเรียน ไปขอโทษคุณครูด้วย ทำให้วุ่นวายกันไปหมด อีกหลายประโยคที่เราไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนที่พูด...คือแม่นะ
เรารู้สึกช็อกจนร้องไม่ออก มันมีแต่น้ำตาที่ไหล มันผิดหวัง มันเสียใจ มันหมดความเชื่อมั่น รู้สึกเหมือนชีวิตพัง ไม่มีอนาคต เพราะตลอดมาที่เราทุ่มเทตั้งใจเรียน ทำทุกอย่างเพียงเพื่ออยากเป็นคนที่ดีมากพอจนแม่ภูมิใจและทำกับเราเหมือนที่แม่ทำกับน้อง เราค้นพบว่าเราเองที่ตั้งเงื่อนไขกับตัวเอง เราเองที่คิดไปเองว่าถ้าทำแบบนี้เราจะได้อะไรจากแม่เหมือนกัน ตอนนั้นเองที่เราเริ่มเกิดคำถามกับตัวเองขึ้นมา เรากำลังทำอะไรอยู่หรอ สิ่งที่ทุ่มเทไปทั้งหมด ตลอดมา เราทำไปเพื่ออะไร ทำไมถึงโง่และเชื่อมั่นมากขนาดนี้ว่าแม่ทุกคนจะต้องรักลูก จริงๆคำว่ารักของคนเป็นแม่แต่ละคนคงมีคำนิยามที่ต่างกัน สุดท้ายแล้วการกระทำของเรามันคือการกระทำของคนโง่ เฝ้ารอให้แม่หยิบยื่นความรักมาให้
หลังจากนั้นอาการของเราก็ทรุด สภาพจิตใจก็แย่มากๆเราไม่รู้จะพูดให้ใครฟังได้ว่าเรารู้สึกยังไง เรายังคงขาดเรียนอย่างต่อเนื่องแต่โชคดีที่ได้อาจารย์เจ้าของหอพักทำเรื่องแจ้งไปที่โรงเรียนให้ทำให้เราไม่ต้องไปเรียน แต่ต้องหาเวลาไปสอบนอกรอบแทนการเก็บคะแนนในห้อง เราต้องทนอยู่กับปริมาณของยาและความปวดที่มากขึ้นเรื่อยๆ ใช้ชีวิตอยู่ในห้องแคบๆกินข้าววันละมื้อตอนเย็นที่เพื่อนจะซื้อข้าวมาให้ ปลายสัปดาห์พ่อมาหาและพาเราไปหาหมอ เราอยากบอกพ่อมากๆว่าเราเสียใจ เราเจ็บปวด ถึงอาการที่ปวดหัวมันทรมานจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ แต่ที่รู้สึกอยู่ในใจมันยิ่งกว่า แต่ถ้าบอกถ้าพูดไปพ่อก็จะปกป้องเรา แล้วพ่อก็จะทะเลาะกับแม่ เราจะทำให้พ่อกับแม่มีปัญหากัน พ่อจะไม่สบายใจถ้ารู้ว่าเราเสียใจ เรารักพ่อ รักมากๆ เพราะพ่อทำให้เราเชื่อเหลือเกินว่าสำหรับพ่อแล้วเราสำคัญที่สุด มีค่ามากที่สุด ถ้าเราเจ็บพ่อจะเจ็บ พ่อมักจะพูดเสมอเวลาเราไม่สบายว่าพ่อเสียใจที่ช่วยอะไรเราไม่ได้ พ่อเสียใจที่ป่วยแทนเราไม่ได้ เราเริ่มคิดได้ว่าทำไมเราถึงขวนขวายอยากได้ความรักจากแม่ ทั้งๆที่พ่อรักเรามากขนาดนี้
ในขณะที่เข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ไม่เคยมีสักครั้งที่แม่จะมาหาเรา แม่ไม่ยอมเสียรายได้ที่ควรจะได้ใน1วันถ้าต้องปิดร้านมาหาเรา แต่แม่ก็ยังคงโทรมาหาและต่อว่าด้วยเรื่องเดิมๆความเชื่อเดิมๆที่แม่เชื่อว่าเรามีปัญหากับเพื่อนที่โรงเรียน ขี้เกียจเรียน ทั้งที่ความจริงแล้วเรารักเพื่อนมากๆและชอบที่จะเรียนที่สุด เราเป็นลูกของแม่แต่แม่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเราเลย ไม่รู้เลยว่าเพื่อนเรามีใครบ้าง ไม่รู้เลยว่าเราชอบการเรียนมากแค่ไหน จนถึงวันนึงที่เราได้รับการปลดปล่อย...
วันนั้นเป็นวันที่เรามีนัดกับหมอหลังจากเข้ารับการรักษาอยู่ร่วมสองเดือนและพ่อก็เข้ามารับจากหอพาไปหาหมอ หมอคนนี้เป็นหมอผู้หญิงที่ครอบครัวเราเป็นคนไข้ประจำ ในการหาหมอแต่ละครั้งจะใช้เวลาราวๆ10-20นาทีโดยหมอจะเริ่มถามอาการว่าหลังจากให้ยาตัวนี้ไปมีอาการยังไงบ้าง ดีขึ้นบ้างไหม เพราะเราปรับยาหลายครั้งมากและปริมาณเยอะมาก(ตอนนั้นเรากินยาเกือบ17เม็ด/วัน) แล้วก็มักจะถามถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น เจออะไรมาบ้าง ได้ทำอะไรบ้าง กินข้าวกับอะไร เมื่อวานเช้ากลางวันเย็นทำอะไร ฯลฯ เหมือนพูดคุยกันปกติ เรารู้สึกว่าเรายังโอเคนะ ไม่เป็นไร คุยไปสักสิบกว่านาทีหมอก็ขอให้พ่อต่อสายโทรหาแม่เรา หมอบอกกับแม่ว่า...พาลูกกลับไปพักที่บ้านเถอะ หมอจะทำใบรับรองแพทย์ให้พัก3เดือน เราไม่รู้ว่าแม่ตอบอะไรกลับมา แต่ประโยคที่หมอพูดกับแม่ก่อนจะส่งโทรศัพท์คืนให้พ่อคือ ...เขาขาดความอบอุ่น ลูกคุณเขาเหนื่อยมากนะ หมอรู้
ทั้งๆที่เราคิดว่าเราโอเค ไม่เป็นไร แต่ทันทีที่หมอพูดออกมาว่าหมอรู้ ว่าเราเหนื่อย เรารู้สึกเหมือนความอดทนอดกลั้นทุกอย่างมันพังทลาย เราควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้ น้ำตามันไหลทะลักและเราร้องไห้เสียงดังมากจนเราเองก็ตกใจ ตั้งแต่ที่เราผิดหวังจากคำพูดของแม่วันนั้น เรามีแต่น้ำตาที่แสดงให้เรารู้ว่าเรารู้สึกกับมันแต่เราร้องไม่ออกเหมือนมันติดขัดมีอะไรกั้นอยู่ ...ในที่สุดก็มีคนเข้าใจเรา หมอเข้าใจจริงๆใช่ไหมว่าเราเหนื่อยแค่ไหน กับการต้องทนฝืนว่าเราโอเค เราไม่เป็นอะไร เราอยู่ได้ด้วยตัวเอง เราดีใจมากจริงๆที่ได้ยินคำนี้จากหมอ
หมอบอกกับพ่อว่า...ลูกไม่ได้มีอาการแค่ไมเกรนนะ เขามีภาวะของโรคซึมเศร้า พากลับไปอยู่ที่บ้านเถอะ ไม่ต้องห่วงเรื่องที่โรงเรียน ให้เขาพักก่อน หมอมีลูก3คน อายุรุ่นราวเดียวกันเลย ขนาดหมอกับสามีสลับกันคอยไปรับไปส่งลูก ที่โรงเรียนที่เรียนพิเศษเองทุกวัน ลูกหมอยังเหนื่อยเลย เขาเรียนหนักมากนะ แล้วลูกคุณเขาอยู่คนเดียว เขาต้องทำอะไรด้วยตัวเอง ไปเรียนเอง บังคับตัวเองให้เรียนในแต่ละวันเกือบ12ชั่วโมง คิดดูว่าเขาพยายามมากขนาดไหน หมอถึงได้เข้าใจเขา เขาต้องการความเข้าใจและการสนับสนุนจากครอบครัวมากนะ
แล้วหมอก็หันมาพูดกับเราว่า...เรื่องแม่เรา ปล่อยเขาไปเถอะนะ ถ้าเขาไม่เข้าใจ หนูยื้อเขาแล้วหนูเหนื่อย หนูหยุดแล้วปล่อยเขาไปดีไหม แม่เขาอายุขนาดนี้แล้ว หนูคงไปเปลี่ยนหรือหวังอะไรจากแม่ไม่ได้ หมอรู้จักแม่หนูมานาน เขาทำไม่ได้หรอก รักตัวเองนะลูก หนูมีคุณพ่อที่อยู่ข้างๆหนูนะเห็นไหม
หลังจากนั้นหมอก็คุยกับพ่อต่ออีกนิดหน่อยโดยที่เรานั่งซับน้ำตาอยู่ข้างๆ หมอบอกกับเราว่าเดี๋ยวต้องหาหมออีกคนนะเป็นจิตแพทย์ สามีของหมอเองไม่ต้องกังวล การเข้าพบจิตแพทย์ครั้งแรกของเราไม่มีอะไรน่ากลัว หมอบอกว่าตอนอยู่ที่บ้านเคยคุยเรื่องของเรากับภรรยามาก่อนหน้านี้ พอจะรู้ข้อมูลคร่าวๆ แม่เราเองก็พบจิตแพทย์คนนี้อยู่เหมือนกัน เรียกได้ว่าหมอสองคนนี้รู้ประวัตินิสัยครอบครัวเราจนถึงรุ่นปู่ย่าตายายเลย
รับยาเสร็จพ่อก็พาเรากลับบ้าน การกลับบ้านครั้งนี้มันต่างไปจากทุกครั้งเมื่อหลังจากที่หมอบอกกับแม่ว่าลูกขาดความอบอุ่น เราไม่ได้คิดเลยว่าปฏิกิริยาของแม่คืออะไร แต่เราก็กลัวเหลือเกินว่าจะได้ยินคำพูดอะไรจากปากของแม่อีก พอกลับถึงบ้านสิ่งที่แม่ทำคือสิ่งที่เรารอคอยมาตลอดชีวิตว่าจะได้รับ แม่เดินเข้ามากอดเรา แล้วบอกว่าไหน...ลูกของแม่จะขาดความอบอุ่นได้ยังไง แม่มีอะไรให้ลูกทุกอย่าง ตอนเด็กๆนะมีแต่คนอิจฉาลูกแม่เพราะแม่พาไปเที่ยวบ่อย...
แม่มีให้เราทุกอย่าง...ยกเว้น "เวลา ความเอาใจใส่ การแสดงความรัก" แม่อาจมีเงินมาให้แต่แม่ไม่เคยรับรู้เลยว่าเราชอบอะไร ต้องการอะไร เราไม่ได้อยากได้เงินของแม่ อ้อมกอดของแม่ที่เราได้รับเป็นครั้งแรก ความรู้สึกที่เราเฝ้าฝันถึงมันช่างเหน็บหนาว ทำไมอ้อมกอดของแม่มันไม่เห็นอบอุ่นเหมือนตอนเรากอดย่า กอดพ่อ เรามีคำถามมากมายที่อยากฟังคำตอบจากแม่
แม่...ไม่รักหนูหรอ...หนูต้องทำยังไงแม่ถึงจะรัก
ทำไมการพยายามเพื่อจะได้รับความรักของแม่มันถึงเหนื่อยนัก
ทำไมความรักของแม่...มันถึงได้มายากกว่าความรักของพ่อ
ทำไมการจะได้ความรักจากแม่...มันถึงเหนื่อยนัก
บ้านเรามีสมาชิก4คนคือพ่อ/แม่/น้องชายและตัวเรา ที่บ้านเปิดร้านขายของปลีก-ส่งทั่วไป ด้วยความที่ปู่ย่าอยากมีลูกสาวแต่สุดท้ายก็ได้แต่ลูกชายมา5คน พอเราเกิดมาเป็นหลานสาวคนแรกของทางบ้านพ่อ ญาติๆพากันเห่อหลานสาวมาแย่งกันเลี้ยง ปู่ย่ารักเรามากแทบจะเอาไปเลี้ยงเองตลอด พ่อเราก็ดีใจที่ได้ลูกสาวพ่อทำทุกๆอย่างให้เราด้วยตัวเองเป็นผู้ชายที่อ่อนโยนมากสำหรับเรา ส่วนแม่เห็นว่ามีคนดูแลเรามากแล้วพ่อก็อยู่แม่จึงเลือกที่จะทำงาน พอน้องเกิดมาเป็นผู้ชายอายุห่างกับเรา2ปีทางบ้านพ่อก็ไม่ตื่นเต้นแล้วเพราะมีแต่ผู้ชายจนชิน ทางบ้านแม่ก็มีลูกของลุงๆป้า แม่มักจะพูดเสมอว่าน้องน่าสงสาร ตอนเด็กๆเวลาญาติมาหาเราก็มักจะมองข้ามน้อง แม่จึงเลือกที่จะเลี้ยงน้องด้วยตัวเองและไม่ให้พ่อไปยุ่งเพราะพ่อเลี้ยงเราแล้ว
ตั้งแต่จำความได้เราไม่เคยมีความทรงจำที่ดีเกี่ยวกับแม่เลย ไม่เคยรู้เลยว่าความรู้สึกเวลาแม่กอด...เขารู้สึกกันแบบไหน เวลามีงานวันแม่ที่โรงเรียนแม่มักจะทำงานและมาร่วมไม่ได้เราก็พยายามจะเข้าใจ เราต้องไหว้คุณครูแทนทุกปี พอน้องเข้าโรงเรียนมีงานวันแม่ แม่ก็เลือกที่จะไปของน้องทุกปีและบอกว่าเราเป็นพี่ ต้องเสียสละให้น้อง เราเกลียดกิจกรรมวันแม่ที่จัดขึ้นทุกปีที่โรงเรียน เรามักจะหวังลึกๆทุกๆปีว่าแม่อาจจะมา แต่ก็ไม่เลย ครูมักจะพูดกับเราเสมอว่าครูก็เป็นแม่คนที่2ของเราไง เราไม่เคยมีความสุขเวลาเปิดเทอมมาไม่กี่เดือนแล้วครูบอกให้ทำการ์ดวันแม่...เขียนเรียงความเรื่องแม่ อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับกิจกรรมวันแม่ ฯลฯ เพราะเรารู้ว่า...แม่จะไม่มา
เวลาน้องทำอะไรแม่มักจะชมว่าดีมาก เก่ง ทำดีแล้ว ไม่ว่าสิ่งนั้นจะได้ผลเป็นยังไง ในขณะที่กับเราแม่จะไล่ให้ไปหาพ่อ เวลาผลการเรียนแต่ละเทอมออกมาเราจะตื่นเต้นมากว่าเทอมนี้ได้เกรดเท่าไร สอบได้ที่เท่าไหร่ พอกลับบ้านมาเราจะรีบวิ่งเอาไปให้แม่ดู เราไม่เคยสอบได้อันดับเกินเลขตัวเดียวเลย เกรดทำได้ 3.8-3.9ตลอด แม่จะแค่มอง ในขณะที่น้องอยู่อันดับกลางไปจนถึงปลายๆห้องได้เกรด 2.5-2.8 แม่จะกอดน้องชมว่าน้องเก่งมาก ตอนเด็กๆเราไม่เข้าใจ คิดว่าเราคงทำได้ดีไม่พอ แม่คงคาดหวังกับเรามากกว่าน้องเพราะเราเป็นพี่ใช่ไหม เราคงต้องพยายามอีก
เพราะคิดแบบนั้นเราจึงทุ่มเทให้กับการเรียนมาก รีบมาโรงเรียนแต่เช้าช่วยงานครูประจำชั้น ตั้งใจทำงานทุกวิชาให้ได้คะแนนเต็ม มีของมีขนมก็แบ่งเพื่อนและช่วยทุกคนเท่าที่เราสามารถทำได้ จนอาจเรียกได้ว่าครูและเพื่อนไว้ใจเรามาก และเลือกจะเชื่อในความสามารถของเรา ตั้งแต่อยู่ประถมจนจบมัธยมเราก็ได้เป็นหัวหน้าห้องมาตลอด เรารู้สึกได้ถึงการเป็นคนที่ถูกรัก คุณครูรัก เพื่อนรัก พ่อรัก ปู่ย่าน้าอาก็รัก แต่...แม่...รักเราไหม?
ด้วยความสงสัยลึกๆในใจนี้ เรากลายเป็นคนที่ทุ่มเททำอะไรทุกอย่างเพื่อที่จะได้เป็นคนที่คนรอบข้างรัก เป็นคนที่มีคุณค่าสำหรับคนอื่น ตอนอยุ่มัธยมต้นเราเข้าเรียนที่โรงเรียนหญิงล้วนแห่งหนึ่งอยู่คนละจังหวัดกับบ้านเลยต้องอยู่หอพัก ตอนนั้นเราก็ยังคงเชื่อว่าถ้าเราตั้งใจเรียนสักวันแม่จะรักเรา สักวันเราจะได้รับคำชมจากแม่บ้าง ได้รับอ้อมกอดของแม่บ้าง วันจ-ศเราเรียนที่โรงเรียนตั้งแต่08.30-1ุ6.00น. พอเลิกเรียนเราไปเรียนพิเศษต่อตั้งแต่ 16.30-21.30น. วันส-อาเราเรียนพิเศษตั้งแต่7.40-19.20 ณ ตอนนั้นเรารู้สึกว่าการเรียนทำให้เรามีค่า มีเพื่อน มีสังคม เป็นที่ต้องการของคนอื่น เราจึงทุ่มเวลาและความพยายามทั้งหมดไปกับการเรียน
จนถึงวันหนึ่งขณะที่เราเรียนอยู่มัธยมศึกษาปีที่3 เรามีโรคประจำตัวคือไมเกรน มักจะปวดหัวมากจนทำอะไรไม่ได้ ถ้าเวลามีอาการเราจะอยู่ในที่ๆมีแสงสว่างก็ไม่ได้ ได้ยินเสียงอะไรเราจะทรมานมาก แค่ได้ยินเสียงตัวเองหายใจมันก็ปวดหัวไปหมด แต่โดยปกติมักจะเป็นในระยะเวลาสั้นๆแค่3-5วันแล้วก็หายไป แต่คราวนี้มันไม่ใช่ เราเป็นติดต่อกันอยู่เกือบครึ่งเดือนและไม่สามารถไปโรงเรียนได้เลย เรารู้สึกแย่มาก อยากไปเรียน อยากไปเจอคุณครู เจอเพื่อน พอต้องทนอยู่ในห้องมืดๆขนาดแค่12ตร.ม มันทำให้เรารู้สึกไม่ดี อยากกลับบ้าน ทันทีที่ย่ารู้ว่าเราไม่สบายย่าชวนปู่ขับรถเข้ามาหาเราภายในวันนั้น พาไปหาหมอ พาไปกินข้าว ย่าก็ถามอยากกลับบ้านไหม...ลึกๆเราก็อยากกลับ แต่ก็กลัวจะโดนแม่ว่า เพราะถ้ากลับบ้านไปแล้วก็ต้องมีคนมาส่งตอนกลับมาที่โรงเรียน เราจึงเลือกที่จะไม่กลับ
หลังจากปู่กับย่าบ้าน แม่ถึงได้โทรมาหาเรา แม่ถามว่าเราเป็นอะไร เป็นตั้งแต่วันไหน เป็นมากี่วันแล้ว ...เราดีใจมากเลยที่ได้ยินแบบนั้น แม่คงเป็นห่วงเราเหมือนกันใช่ไหม วินาทีนั้นมันเหมือนชีวิตเราพุ่งขึ้นไปถึงจุดที่มีความสุขที่สุด ความคลางแคลงใจว่าแม่รักเราไหมมันเหมือนมีคำตอบ ความมืดลึกๆในใจมันเหมือนมีประกายของแสงสว่างที่ส่องเข้ามา เราคงจะคิดมากไปเอง แม่ต้องรักเราอยู่แล้วถูกไหม ใครๆก็มักจะพูดว่าไม่มีหรอก แม่ที่ไหนจะไม่รักลูก แต่แล้วเราก็ได้เรียนรู้ถึงความคาดหวังที่ไร้ค่า ความจริงที่มันไม่สวยงามอย่างที่ผู้ใหญ่บอกเรา สิ่งที่แม่พูดต่อหลังจากเราตอบคำถามก็คือ ไม่ได้ป่วยจริงๆใช่ไหม อย่ามาสำออย แค่ไม่อยากไปโรงเรียนใช่ไหม มีปัญหาอะไรกับเพื่อนอย่ามาหาทางออกด้วยการขาดเรียน พรุ่งนี้เช้ารีบตื่นแล้วรีบไปโรงเรียน ไปขอโทษคุณครูด้วย ทำให้วุ่นวายกันไปหมด อีกหลายประโยคที่เราไม่อยากจะเชื่อเลยว่าคนที่พูด...คือแม่นะ
เรารู้สึกช็อกจนร้องไม่ออก มันมีแต่น้ำตาที่ไหล มันผิดหวัง มันเสียใจ มันหมดความเชื่อมั่น รู้สึกเหมือนชีวิตพัง ไม่มีอนาคต เพราะตลอดมาที่เราทุ่มเทตั้งใจเรียน ทำทุกอย่างเพียงเพื่ออยากเป็นคนที่ดีมากพอจนแม่ภูมิใจและทำกับเราเหมือนที่แม่ทำกับน้อง เราค้นพบว่าเราเองที่ตั้งเงื่อนไขกับตัวเอง เราเองที่คิดไปเองว่าถ้าทำแบบนี้เราจะได้อะไรจากแม่เหมือนกัน ตอนนั้นเองที่เราเริ่มเกิดคำถามกับตัวเองขึ้นมา เรากำลังทำอะไรอยู่หรอ สิ่งที่ทุ่มเทไปทั้งหมด ตลอดมา เราทำไปเพื่ออะไร ทำไมถึงโง่และเชื่อมั่นมากขนาดนี้ว่าแม่ทุกคนจะต้องรักลูก จริงๆคำว่ารักของคนเป็นแม่แต่ละคนคงมีคำนิยามที่ต่างกัน สุดท้ายแล้วการกระทำของเรามันคือการกระทำของคนโง่ เฝ้ารอให้แม่หยิบยื่นความรักมาให้
หลังจากนั้นอาการของเราก็ทรุด สภาพจิตใจก็แย่มากๆเราไม่รู้จะพูดให้ใครฟังได้ว่าเรารู้สึกยังไง เรายังคงขาดเรียนอย่างต่อเนื่องแต่โชคดีที่ได้อาจารย์เจ้าของหอพักทำเรื่องแจ้งไปที่โรงเรียนให้ทำให้เราไม่ต้องไปเรียน แต่ต้องหาเวลาไปสอบนอกรอบแทนการเก็บคะแนนในห้อง เราต้องทนอยู่กับปริมาณของยาและความปวดที่มากขึ้นเรื่อยๆ ใช้ชีวิตอยู่ในห้องแคบๆกินข้าววันละมื้อตอนเย็นที่เพื่อนจะซื้อข้าวมาให้ ปลายสัปดาห์พ่อมาหาและพาเราไปหาหมอ เราอยากบอกพ่อมากๆว่าเราเสียใจ เราเจ็บปวด ถึงอาการที่ปวดหัวมันทรมานจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ แต่ที่รู้สึกอยู่ในใจมันยิ่งกว่า แต่ถ้าบอกถ้าพูดไปพ่อก็จะปกป้องเรา แล้วพ่อก็จะทะเลาะกับแม่ เราจะทำให้พ่อกับแม่มีปัญหากัน พ่อจะไม่สบายใจถ้ารู้ว่าเราเสียใจ เรารักพ่อ รักมากๆ เพราะพ่อทำให้เราเชื่อเหลือเกินว่าสำหรับพ่อแล้วเราสำคัญที่สุด มีค่ามากที่สุด ถ้าเราเจ็บพ่อจะเจ็บ พ่อมักจะพูดเสมอเวลาเราไม่สบายว่าพ่อเสียใจที่ช่วยอะไรเราไม่ได้ พ่อเสียใจที่ป่วยแทนเราไม่ได้ เราเริ่มคิดได้ว่าทำไมเราถึงขวนขวายอยากได้ความรักจากแม่ ทั้งๆที่พ่อรักเรามากขนาดนี้
ในขณะที่เข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่อง ไม่เคยมีสักครั้งที่แม่จะมาหาเรา แม่ไม่ยอมเสียรายได้ที่ควรจะได้ใน1วันถ้าต้องปิดร้านมาหาเรา แต่แม่ก็ยังคงโทรมาหาและต่อว่าด้วยเรื่องเดิมๆความเชื่อเดิมๆที่แม่เชื่อว่าเรามีปัญหากับเพื่อนที่โรงเรียน ขี้เกียจเรียน ทั้งที่ความจริงแล้วเรารักเพื่อนมากๆและชอบที่จะเรียนที่สุด เราเป็นลูกของแม่แต่แม่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเราเลย ไม่รู้เลยว่าเพื่อนเรามีใครบ้าง ไม่รู้เลยว่าเราชอบการเรียนมากแค่ไหน จนถึงวันนึงที่เราได้รับการปลดปล่อย...
วันนั้นเป็นวันที่เรามีนัดกับหมอหลังจากเข้ารับการรักษาอยู่ร่วมสองเดือนและพ่อก็เข้ามารับจากหอพาไปหาหมอ หมอคนนี้เป็นหมอผู้หญิงที่ครอบครัวเราเป็นคนไข้ประจำ ในการหาหมอแต่ละครั้งจะใช้เวลาราวๆ10-20นาทีโดยหมอจะเริ่มถามอาการว่าหลังจากให้ยาตัวนี้ไปมีอาการยังไงบ้าง ดีขึ้นบ้างไหม เพราะเราปรับยาหลายครั้งมากและปริมาณเยอะมาก(ตอนนั้นเรากินยาเกือบ17เม็ด/วัน) แล้วก็มักจะถามถึงเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น เจออะไรมาบ้าง ได้ทำอะไรบ้าง กินข้าวกับอะไร เมื่อวานเช้ากลางวันเย็นทำอะไร ฯลฯ เหมือนพูดคุยกันปกติ เรารู้สึกว่าเรายังโอเคนะ ไม่เป็นไร คุยไปสักสิบกว่านาทีหมอก็ขอให้พ่อต่อสายโทรหาแม่เรา หมอบอกกับแม่ว่า...พาลูกกลับไปพักที่บ้านเถอะ หมอจะทำใบรับรองแพทย์ให้พัก3เดือน เราไม่รู้ว่าแม่ตอบอะไรกลับมา แต่ประโยคที่หมอพูดกับแม่ก่อนจะส่งโทรศัพท์คืนให้พ่อคือ ...เขาขาดความอบอุ่น ลูกคุณเขาเหนื่อยมากนะ หมอรู้
ทั้งๆที่เราคิดว่าเราโอเค ไม่เป็นไร แต่ทันทีที่หมอพูดออกมาว่าหมอรู้ ว่าเราเหนื่อย เรารู้สึกเหมือนความอดทนอดกลั้นทุกอย่างมันพังทลาย เราควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้ น้ำตามันไหลทะลักและเราร้องไห้เสียงดังมากจนเราเองก็ตกใจ ตั้งแต่ที่เราผิดหวังจากคำพูดของแม่วันนั้น เรามีแต่น้ำตาที่แสดงให้เรารู้ว่าเรารู้สึกกับมันแต่เราร้องไม่ออกเหมือนมันติดขัดมีอะไรกั้นอยู่ ...ในที่สุดก็มีคนเข้าใจเรา หมอเข้าใจจริงๆใช่ไหมว่าเราเหนื่อยแค่ไหน กับการต้องทนฝืนว่าเราโอเค เราไม่เป็นอะไร เราอยู่ได้ด้วยตัวเอง เราดีใจมากจริงๆที่ได้ยินคำนี้จากหมอ
หมอบอกกับพ่อว่า...ลูกไม่ได้มีอาการแค่ไมเกรนนะ เขามีภาวะของโรคซึมเศร้า พากลับไปอยู่ที่บ้านเถอะ ไม่ต้องห่วงเรื่องที่โรงเรียน ให้เขาพักก่อน หมอมีลูก3คน อายุรุ่นราวเดียวกันเลย ขนาดหมอกับสามีสลับกันคอยไปรับไปส่งลูก ที่โรงเรียนที่เรียนพิเศษเองทุกวัน ลูกหมอยังเหนื่อยเลย เขาเรียนหนักมากนะ แล้วลูกคุณเขาอยู่คนเดียว เขาต้องทำอะไรด้วยตัวเอง ไปเรียนเอง บังคับตัวเองให้เรียนในแต่ละวันเกือบ12ชั่วโมง คิดดูว่าเขาพยายามมากขนาดไหน หมอถึงได้เข้าใจเขา เขาต้องการความเข้าใจและการสนับสนุนจากครอบครัวมากนะ
แล้วหมอก็หันมาพูดกับเราว่า...เรื่องแม่เรา ปล่อยเขาไปเถอะนะ ถ้าเขาไม่เข้าใจ หนูยื้อเขาแล้วหนูเหนื่อย หนูหยุดแล้วปล่อยเขาไปดีไหม แม่เขาอายุขนาดนี้แล้ว หนูคงไปเปลี่ยนหรือหวังอะไรจากแม่ไม่ได้ หมอรู้จักแม่หนูมานาน เขาทำไม่ได้หรอก รักตัวเองนะลูก หนูมีคุณพ่อที่อยู่ข้างๆหนูนะเห็นไหม
หลังจากนั้นหมอก็คุยกับพ่อต่ออีกนิดหน่อยโดยที่เรานั่งซับน้ำตาอยู่ข้างๆ หมอบอกกับเราว่าเดี๋ยวต้องหาหมออีกคนนะเป็นจิตแพทย์ สามีของหมอเองไม่ต้องกังวล การเข้าพบจิตแพทย์ครั้งแรกของเราไม่มีอะไรน่ากลัว หมอบอกว่าตอนอยู่ที่บ้านเคยคุยเรื่องของเรากับภรรยามาก่อนหน้านี้ พอจะรู้ข้อมูลคร่าวๆ แม่เราเองก็พบจิตแพทย์คนนี้อยู่เหมือนกัน เรียกได้ว่าหมอสองคนนี้รู้ประวัตินิสัยครอบครัวเราจนถึงรุ่นปู่ย่าตายายเลย
รับยาเสร็จพ่อก็พาเรากลับบ้าน การกลับบ้านครั้งนี้มันต่างไปจากทุกครั้งเมื่อหลังจากที่หมอบอกกับแม่ว่าลูกขาดความอบอุ่น เราไม่ได้คิดเลยว่าปฏิกิริยาของแม่คืออะไร แต่เราก็กลัวเหลือเกินว่าจะได้ยินคำพูดอะไรจากปากของแม่อีก พอกลับถึงบ้านสิ่งที่แม่ทำคือสิ่งที่เรารอคอยมาตลอดชีวิตว่าจะได้รับ แม่เดินเข้ามากอดเรา แล้วบอกว่าไหน...ลูกของแม่จะขาดความอบอุ่นได้ยังไง แม่มีอะไรให้ลูกทุกอย่าง ตอนเด็กๆนะมีแต่คนอิจฉาลูกแม่เพราะแม่พาไปเที่ยวบ่อย...
แม่มีให้เราทุกอย่าง...ยกเว้น "เวลา ความเอาใจใส่ การแสดงความรัก" แม่อาจมีเงินมาให้แต่แม่ไม่เคยรับรู้เลยว่าเราชอบอะไร ต้องการอะไร เราไม่ได้อยากได้เงินของแม่ อ้อมกอดของแม่ที่เราได้รับเป็นครั้งแรก ความรู้สึกที่เราเฝ้าฝันถึงมันช่างเหน็บหนาว ทำไมอ้อมกอดของแม่มันไม่เห็นอบอุ่นเหมือนตอนเรากอดย่า กอดพ่อ เรามีคำถามมากมายที่อยากฟังคำตอบจากแม่
แม่...ไม่รักหนูหรอ...หนูต้องทำยังไงแม่ถึงจะรัก
ทำไมการพยายามเพื่อจะได้รับความรักของแม่มันถึงเหนื่อยนัก
ทำไมความรักของแม่...มันถึงได้มายากกว่าความรักของพ่อ