เพราะอะไรที่ทำให้อยากเรียนนอก แล้วการเรียนป.ตรี ในมหาลัยที่อเมริกาเนี่ยมันเป็นยังไงกันนะ? อยากรู้ ตามมาค่าาา

สวัสดีค่ะ ทุกๆท่าน อมยิ้ม02 นี่เป็นกระทู้แรกเลยนะคะเนี่ย ตื่นเต้นจังเลย ฮ่าๆๆ จุดประสงค์ของกระทู้นี้ เราอยากจะแชร์ประสบการณ์ บอกเล่าความรู้สึก และความในใจ เผื่อคนที่มีความสนใจ อยากจะเรียนต่อต่างประเทศ หรือ คนอื่นๆที่กำลังคลำหาหนทางอนาคตของตัวเองอยู่ แล้วก็ เพื่อนๆที่ไทยเราถามกันมาหลายคนมาก ว่ามาเรียนเมกาเนี่ย มันเป็นยังไง เหมือนที่ไทยมั้ย ต่างยังไง เราเลยคิดว่า คนอื่นๆ อาจจะสงสัยเหมือนกัน // และก็.. ช่วงนี้เรียนหนัก เหนื่อยใจ เลยอยากเล่าเรื่อง(เกี่ยวมั้ยเนี่ย?) เขียนเปเปอร์ส่งครูยังไม่ตั้งใจขนาดนี้เลย โอเค เกริ่นพอละ ทีนี้ เราจะท้าวความไปถึงตั้งแต่จุดเริ่มต้น ความเป็นมา ขั้นตอนของการมาเรียนต่อต่างประเทศของเราค่ะ เรามีความฝันมาตั้งแต่เด็กๆค่ะ ว่าอยากเที่ยวรอบโลก ฝันใหญ่มาก ฮ่าๆๆ เราสนใจวัฒนธรรมและผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ เราเลยใส่ใจและสนใจในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษมากๆ และก็อยากที่จะเรียนต่อต่างประเทศ.

จุดเริ่มต้น
เราจบมัธยมปลายมาแบบงงๆค่ะ ด้วยเกรด 3.หน่อยๆ ไม่ถึงกับดีมากมาย แต่ก็ไม่แย่ ถึงแม้ว่าเราจะรู้ตัวว่าเราอยากทำอาชีพสายทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ อยากทำงานที่ได้เทคแคร์สุขภาพผู้สูงอายุ แต่การศึกษาในประเทศไทยในมุมมองของเรา ค่อนข้างที่จะบังคับ และกำหนดชะตาเรา เช่น ตอนที่เราจะแอดมิดชั่นเข้ามหาลัย เราต้องเลือกแล้ว ว่าตกลงอยากเป็นอะไร หมอ พยาบาล นักกายภาพบำบัด หรือนักสาธารณสุข ทั้งๆที่ยังไม่มีประสบการณ์ในสายไหนมาก่อนเลย เราจะรู้ได้ไงว่าเราชอบสิ่งไหน อะไรที่จะเป็นสิ่งที่เราถนัด เรามืดเลยค่ะ ฮ่าๆๆ สารภาพตรงนี้นะคะ ว่าเราสมัครสอบหมอหลายๆโครงการ ทั้งๆตัวเองยังไม่แน่ใจเลย ว่าอยากเป็นหมอหรอ ที่ทำไปเพราะคุณแม่อยากให้เป็นหมอเหมือนๆกับครอบครัวไทยอื่นๆแหละค่ะ ที่อยากให้ลูกเป็นหมอ ฮ่าๆๆ ผลก็คือ ไม่ติดเลย ที่ไปสอบเราก็ตั้งใจนะคะ ไม่ใช่ว่าแค่ขอไปที แต่เราไม่ได้ทุ่มไปเต็มร้อยเต็มพันเปอร์เซ็น เพราะเราไม่แน่วแน่พอ เราเลยวางแผนต่อไป ที่นี้ถึงคราวสอบตรงเข้ามหาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง เราเลยเลือกที่จะเข้าคณะวิทยาศาสตร์ สาขาจุลชีววิทยาและตั้งเป้าที่จะต่อจุลวิทยาทางการแพทย์ ซึ่งก้เป็นอีกส่วนนึงที่เราสนใจ และยังเกือบข้องกับสุขภาพและการแพทย์ แต่เป็นสายนักวิทย์ คุณพ่อคุณแม่ท่านก็ไม่คัดค้าน และเคารพในการตัดสินใจของเรา เราภูมิใจมากค่ะที่สอบตรงติด แต่พอเรียนไปได้ครึ่งเทอม เราเรื่องรู้ตัวว่าวิทยาศาสตร์แบบเต็มขั้นมันไม่ใช่ทางที่เราชอบซะเท่าไหร่ เราเลยปรึกษาคุณพ่อคุณแม่และคุณป้า(พี่สาวของคุณพ่อ)ค่ะ ด้วยว่าเราก็มีพื้นฐานที่ค่อนข้างดีด้านภาษาอังกฤษ เราอยากไปเรียนต่อที่อเมริกา คุณป้าของเราท่านนี้ ท่านเป็นคู่มีพระคุณที่สนับสนุนด้านการเรียนเรามาตลอด และท่านก็บอกเรามานานแล้วว่า ถ้าอยากมาเรียนก็อเมริกา ท่านก็จะสนับสนุนเราเรื่องทุนการศึกษาและที่พักคือมาพักกับท่าน เพราะตัวคุณป้าเองก็ได้โอกาสมาเรียนที่อเมริกาจากผู้มีประคุณกับท่าน ท่านจึงอยากส่งต่อโอกาสนี้มาให้กับเรา... เราเป็นเด็กคนนึงที่โชคดีมากๆค่ะ เราได้รับโอกาสในการสานฝันของเราให้สามารถเป็นจริงได้

ตัดสินใจแล้วนะ ว่าจะโกอินเตอร์!
คุณพ่อคุณแม่ก็สนับสนุนเราเต็มที่ค่ะ จากนั้น เราเลยดรอปเรียนและทุ่มเทเต็มที่กับการอ่านหนังสือและติวสอบ Toefl เราต้องสอบถึงสองครั้งค่ะ เพราะครั้งแรก คะแนนไม่ถึงขึ้นต่ำของมหาลัยที่จะสมัครเข้า ขาดไปสองคะแนน (เจ็บใจมากกกก ค่าสอบแพง ฮ่าๆๆ) เลยสอบอีกครั้ง กะว่า ถ้าครั้งนี้ไม่ได้อีกก็เรียนที่ไทยนี่แหละ พอสอบครั้งที่สองก็ผ่านค่ะ! ดีใจมากกก สิ่งที่อยากจะบอกคือ ล้มครั้งแรก อย่าพึ่งท้อนะคะ พรุ่งนี้ที่สดใส รอเราอยู่วววว! ฮี่ๆ จากนั้นเราจึงยื่นคะแนน และส่ง transcripts ของตอนมัธยมปลายไปสมัคร มหาลัยที่สมัครเป็นมหาลัยรัฐที่อยู่ไม่ไกลจากบ้านคุณป้า เพราะจะได้ไม่ต้องอยู่หอเพื่อเป็นการประหยัดค่าใช้จ่าย และค่าเทอมสำหรับนักเรียนต่างชาติอยู่ในระดับที่ไม่ถึงกับแพงสลบ ฮ่าๆๆ หลังจากส่งหลักฐานและ requirements ต่างๆไปเรียบร้อย ทางมหาลัยใช่เวลาประมาณเดือนเศษ ในการพิจารณา ถ้าจำไม่ผิดเราได้รับใบตอบรับเข้าเรียน พร้อมกับ I-20 มาในต้นเดือน มีนา ของปี 2013 ค่ะ ดีใจมาก เย๊! ฮ่าๆๆ จากนั้น เรากับแม่ วิ่งวุ่นเลยค่ะ ทั้งทำเอกสาร ขอวีซ่า ไปสัมภาษณ์วีซ่า และเตรียมจัดกระเป๋า เพราะเพื่อเป็นการไม่เสียเวลาไปมากกว่านี้ เราจะเริ่มเรียนใน Summer semester ที่จะเริ่มในเดือนพฤษภาเลย เราซื้อตั๋ว และบินในวันที่ 10 เมษายน 2013 ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วม๊ากกก ชีวิตเปลี่ยนในสองเดือนค่ะ ฮ่าๆๆๆ

วันแรกของที่ใหม่ๆ บรรยากาศใหม่ๆ ภาษา..ใหม่ๆ
พอเดินทางมาถึง เรามีเวลาพักหายใจประมาณหนึ่งเดือน แล้วก็เริ่มเรียนเลยค่ะ ไม่มีการเข้าคลาสเรียนปรับภาษาเตรียมตัวใดๆทั้งสิ้น Hardcore มาก ฮ่าๆๆ  ทางมหาลัยจะ Assigns Academic Advisor ให้กับนักศึกษาใหม่ทุกคนค่ะ เค้าจะช่วยเราในการวางแผน เลือกคลาสเรียนที่จำเป็นต่อเมเจอร์ของเราและช่วงจัดการเวลาเพื่อให้เราจบได้เร็วที่สุด (ภายในสี่ปี) Advisor ของเราคนนี้น่ารักมากค่ะ เค้าช่วยเลือกคลาสเรียนให้เรา อันที่ไม่ยากเกินไปที่จะเข้าใจ ในช่วงที่เรายังต้องทำความคุ้นเคยกับหลายๆสิ่งอยู่  International student ของที่นี่ ไม่มีสิทธิพิเศษใดๆทั้งสิ้นนะคะ ฮ่าๆๆ เรียนก็เรียนคลาสธรรมดาร่วมกันกับนักเรียนอเมริกันคนอื่นๆ เข้าเรียนวันแรก คลาสแรก เป็น Sociology ค่อนข้าง”เงิบ”ค่ะ ฮ่าๆๆ Professor พูดเร็วมากกกกก นั่งกระพริบตาปริบๆ และจดตามสไลด์ โน๊ตแต่พอที่ตัวเองเข้าใจ ใช้หลายประสาทสัมผัสมาก เพลียเลยที่เดียว พอจบคลาส เราเข้าจู่โจมประชิด Professor เลยค่ะ แล้วอธิบายให้เค้าฟังถึงสถานการณ์ของเรา  Professor ของมหาลัยที่นี่เป็นมิตรกับนักเรียนต่างชาติมากๆค่ะ เค้าอธิบายส่วนที่เราไม่เข้าใจให้ฟัง และค่อนข้างมีความอดทนมากๆค่ะ ตกเย็นมา เราไปหาเครื่องอัดเสียงเลยค่ะ เอาไว้อัดเลกเชอร์เพื่อกลับมาฟังที่บ้านอีกที ดังนั้นตอนอยู่ในคลาส เราจะจดโน๊ตไว้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แล้วกลับบ้านมาทบทวนพร้องเปิดฟังเสียงอีกที ช่วยได้มากๆเลยค่ะ

การเรียนการสอนและบรรยากาศในแบบที่ส่งผลดีกับเรา
พอผ่าน summer เทอมนั้นไป ทุกอย่างดีขึ้นมาก เกรดเราจะอยู่ที่ A หรือ B ค่ะ ตั้งใจเรียน ทุ่มเทสุดๆ เพราะบรรยากาศการเรียนมันได้ค่ะ ฮ่าๆๆ ทุกคนที่นี่เคารพกัน เมื่ออยู่ในห้องเรียน สาเหตุนั้นเราคิดว่าเป็นเพราะนักเรียนในชั้นไม่ได้มีความสนิทกันมากนัก เราเรียนแบบ independent เลือกคลาสเรียนตามใจ แล้วแต่ว่าใครอยากจะเรียนอะไรก่อนในวิชาจำเป็นของเมเจอร์นั้นๆ เมเจอร์เดียวกัน เลยไม่จำเป็นจะต้องเรียนไปพร้อมๆกัน แต่เรียนๆไป เราก็สามารถหาเพื่อนได้นะคะ เพราะในคลาสจะมี discussion และ group work คลาสที่เราเข้าเรียนที่นี่จนถึงตอนนี้ เป็นคลาสที่ Active ไม่ใช่แค่นักเรียนที่เป็นฝ่ายฟังอย่างเดียว จะมีการถกประเด็นจากบทเรียน ยกตัวอย่างต่างๆ และนักเรียนอเมริกัน ไม่มีใครกลัวที่จะออกความเห็นหรือถามคำถาม  ดังนั้น ถ้าเราอยากเรียนเข้าใจ แล้วสามารถพูดคุยกันเพื่อนๆได้ เราต้องอ่านหนังสือก่อนเข้าเรียนค่ะ ส่วนมากแล้ว Professor จะให้การบ้านเราเป็นการอ่านบทเรียนที่เราจะพูดถึงในคลาสต่อไป นี่ทำให้การเรียนเห็นผลมากขึ้น เราเรียนรู้จริงๆ ไม่ใช่แค่นกแก้วนกขุนทอง ท่องๆจำๆ สอบแล้วก็คืนครู ฮ่าๆๆ อีกอย่างที่ทำให้บรรยาศในห้องเรียนสงบน่าจะเป็นนักเรียนวัยโตกว่าค่ะ อย่าที่บอกว่าเราเรียนคละกัน แล้วแต่ใครจะลงเรียน นักเรียนในชั้นนั้น จึงมีอายุตั้งแต่ 18 ไปจบถึง 40-50 เลยก็ว่าได้ เป็นเรื่องน่าสนใจสำหรับเรามากๆค่ะ ว่าคนอเมริกันหลายคนๆ มาเรียนมหาลัยตอนที่เค้าค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่มากๆแล้ว ที่มาเรียนเพราะต้องการ ดีกรีเพื่อพัฒนาไปในตำแหน่งที่สุงขึ้นในอาชีพของพวกเขา และมันไม่ใช่เรื่องแปลกเลยค่ะ เพราะความคิดของคนที่นี่ส่วนมากนั้นคือ เราไม่จำเป็นที่จะต้องเรียนต่อมหาลัยทันทีที่จบจากมัธยม จริงๆก็น่าจะเป็นเพราะหลายๆคนมีงานทำแล้ว เพราะเริ่มทำพาร์ทไทม์ตั้งแต่เข้าวัยรุ่น แล้วการเรียนมหาลัยที่นี่ ต้องมีทุนทรัพย์ที่จะซัพพอร์ตตัวเองได้จนจบ ค่าเทอมมันแพงงงงง! ฮ่าๆๆ เพื่อนวัยรุ่นเมกันวัย 19-20ต้นๆหลายๆคนที่เราได้คุยด้วย ทำงาน full-time สองสามจ๊อบขึ้นไป หาเงินส่งตัวเองเรียน พอเอามาเทียบกันเรา หรือเด็กมหาลัยในไทยส่วนมากที่เรียนอย่างเดียว พ่อแม่ผู้ปกครองจ่ายค่าเทอมค่ากินอยู่ให้ ดูหน่อมแน้ม เราอายไปเลยค่ะ

อันเนี๊ย เน้นมาก ห้ามทำเด็ดขาด
อ๊อ อีกอย่างที่สำคัญมากๆในการเข้าเรียนระดับอุดมศึกษาของที่นี่และย้ำนักย้ำหนาของทุกคลาส ก็คือ Plagiarism ค่ะ มันคือการไม่ซื่อสัตย์ค่ะ เช่น การลอกข้อสอบ copyงานเพื่อน หรือ copy จากอินเตอร์เน็ตโดยที่ไม่ใส่ quotation และ reference ที่มาของงานที่เอามาเขียน พูดถึง หรืออ้าง ต้อง cited ค่ะ ให้เครดิตต่อเจ้าของ นักเรียนต่างชาติหลายคน (ของที่มหาลัยเราจะเป็นพวกตะวันออกกลาง) ที่ไม่คุ้นเลยกันสิ่งนี้ โดนเตะกลับประเทศไปหลายคนแล้วค่ะ เรื่องนี้สำคัญมากกกก พลาดได้บ้าง แต่ถ้าเห็นว่าจงใจ ตายอย่างเขียดค่ะ ไม่โดน F ก็ไล่ออก ฮ่าๆๆ Professor จะมีโปรแกรมไว้เช็คค่ะ แล้วถ้าเค้าพบ เค้าจะเรียกมาสอบสวนหรือตักเตือน แต่ถ้าเป็นเคสหนักมาก เค้าก็จะส่งไปหน่วยงานเฉพาะให้จัดการ มันเป็นเรื่องใหญ่จริงๆของที่นี่ แต่มันเป็นการฝึกให้เราซื่อสัตย์  เพราะที่อเมริกา เรื่องการฟ้องร้องเป็นเรื่องธรรมดา ดังนั้น ฝึกนิสัย ป้องกันตัวไว้ก่อนจะดีกว่าเนอะ

เราเริ่มเรียนภาษาอังกฤษจากตรงไหน?
เราอยากจะบอกกับทุกคนที่เรียนภาษาอังกฤษและท้อแท้อยู่ตอนนี้นะคะ ว่า แกรมม่า ถึงแม้ว่ามันจะสำคัญ แต่มันไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างค่ะ ถ้าอยากใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารได้คล่อง คำแนะนำของเราคือ ฟังเพลงฝรั่งและดูหนังซาวน์แทรคเยอะๆค่ะ เลือกหนังที่ชอบ ดูซ้ำไปซ้ำมา และลองเลียนแบบสำเนียง พูดตามดู แล้วเราจะเริ่มจำได้ค่ะ เราจะเริ่มจำพวกประโยคหรือแสลงต่างๆที่มันจะโผล่ขึ้นมาบ่อยในเหตุการณ์ต่างๆกันไป แล้วเราจะเรียนรู้ค่ะ ว่าในสถานการณ์นั้นๆ เราควรจะพูดอย่างไร ใช้คำอย่างไร อีกอย่างก็คือ การฟังบ่อย จะทำให้เราคุ้นกับสำเนียงของเจ้าของภาษาค่ะ แล้วทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น ทั้งฟังและพูด ส่วนเรื่องของแกรมม่าและการเขียนนั้น เราจะค่อยๆ build ขึ้นมา จากการพูดค่ะ พูดได้สื่อสารรู้เรื่อง เข้าใจกันกับเจ้าของภาษาได้ สะสมคำศัพท์ต่างๆก่อน แล้วค่อยมาเรียนรู้การสร้างประโยคที่ถูกต้องที่สุดทีหลัง ทั้งหมดนี้เป็นวิธีการเรียนภาษาอังกฤษที่ได้ผลของเราค่ะ จากประสบการณ์ที่มาเรียนที่นี่ปีกว่าๆ เราเรียนรู้จากเพื่อนๆต่างชาติคนอื่นๆที่ไม่ใช่อเมริกันว่า ไม่ว่าจะเก่งแกรมม่าขนาดไหน ถ้าพูดออกมา แล้วคนฟังฟังไม่รู้เรื่องก็จบกันค่ะ ฮ่าๆๆ ที่มหาลัยเรามีนักเรียนนานาชาติเยอะ เราเลยมีโอกาสได้คุยกับเพื่อนๆจากหลายๆประเทศ ทั้งอินเดีย จีน เวียดนาม เกาหลี และประเทศแถบแอฟริกา เช่น โรวันด้า และจากโซนตะวันออกกลาง อีกหลายประเทศ เช่น คูเวต ซาอุ ทั้งหมดที่ว่ามา สำเนียงฟังยากม๊ากค่ะ พวกเราจะสื่อสารด้วยกันเอง ต้องใช้เวลากว่าจะเข้าใจกันได้ เพราะเราต่างก็ไม่ใช่เจ้าของภาษา สำเนียงแตกต่างกันไป ฮ่าๆ

สุดท้ายนี้.. ที่เล่ามา นี่แค่เพียงคร่าวๆ ถ้าให้เล่าละเอียด สามเดือนก็ไม่จบค่ะ ฮ่าๆๆ และอย่างที่บอกข้างต้น นี่เป็นกระทู้แรกของเรา และเราก็ไม่ค่อยเก่งเรื่องการเขียนเท่าไหร่ อาจมีไทยคำอังกฤษคำบ้าง เพราะนึกคำไทยที่ตรงตัวไม่ออก ต้องขอโทษจริงๆนะคะ และ ทุกอย่างที่เล่ามา มาจากมุมมองของเรา ประสบการณ์ของเราที่มหาลัยที่เราเรียนอยู่ เราก็ไม่แน่ใจเหมือนกันค่ะ ว่ามหาลัยอื่นๆในอเมริกา จะเหมือนกันกับของเรามั้ย เราอาศัยอยู่ในรัฐๆหนึ่งที่อยู่ในเขต Midwest ของอเมริกาค่ะ เมืองที่เราอยู่ คนไทยน้อยมากกกก เศร้าไปเลยสิ อมยิ้ม08 ยังไงก็ตาม เราหวังว่า กระทู้นี้ จะเป็นประโยชน์ให้แก่ผู้อ่านทุกท่าน ไม่มากก็น้อย หากผิดพลาดประการใด ก็ขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย.. ขอบพระคุณค่ะ อมยิ้ม02
(จบเหมือนpatternคำนำยอดฮิตสมัยประถม แต่ทำไมคำนำมาอยู่สุดท้ายหล่ะ เอ..) อมยิ้ม20
แถม 1 รูปของมหาลัย ถ่ายเมื่อตอนฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่