เพราะเหตุใด เมื่อครั้งเจ้าชายสิทธัตถะ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จึงไม่อยากสอนใคร

กระทู้สนทนา
เมื่อพระพุทธองค์ทรงพิจารณาจึงเกิดความท้อแท้ ทรงดำริว่าถ้าไปสั่งสอนแล้วจะมีใครเชื่อหรือเปล่า  หรือจะถูกหาว่าบ้า  ก็เลยทรงมีความรู้สึกไม่อยากจะสั่งสอน ไม่อยากประกาศพระธรรมที่ได้ทรงตรัสรู้ ได้ทรงเห็นมา ต่อมาท้าวมหาพรหมได้มากราบพระพุทธเจ้าแล้วอาราธนาให้พระพุทธองค์ทรงโปรดเมตตาสัตว์โลก โปรดสั่งสอนสัตว์โลกที่ยังมืดบอดด้วยโมหะ ความหลง ด้วยอวิชชา ความไม่รู้  ขอให้ได้โปรดให้เขาเหล่านั้นได้ มีแสงสว่าง มีธรรมจักษุ ดวงตาเห็นธรรมด้วยเถิด  ถึงแม้ว่าสัตว์โลกจะไม่สามารถรับคำสอนของพระพุทธองค์ได้ทั้งหมดก็ตาม  แต่สัตว์โลกที่ฉลาดก็มี ที่ไม่ฉลาดก็มี ผู้ที่จะรับการสั่งสอนของพระพุทธองค์ก็มี  ที่ไม่รับก็มี

หลังจากพระพุทธองค์ได้ทรงพิจารณาแล้ว ก็ทรงจำแนกสัตว์โลกไว้เป็น ๔ ประเภท  เปรียบเหมือนบัว ๔ เหล่า คือประเภทที่
๑. อุคฆฏิตัญญู เป็นคนที่ฉลาดมาก เพียงแต่ยกหัวข้อขึ้นมาก็เข้าใจแล้ว เปรียบเหมือนกับบัวที่อยู่เหนือน้ำ  พอได้รับแสงอาทิตย์ก็จะบาน  ประเภทที่

๒. วิปจิตัญญู เป็นผู้ที่จะรู้จะเข้าใจหลังจากได้ฟังการอธิบายขยายความ เปรียบเหมือนกับบัวที่ตั้งอยู่เสมอน้ำ จักบานในวันพรุ่งนี้  ประเภทที่

๓. เนยยะ คือผู้ที่พอสั่งสอนได้  ต้องใช้เวลานานหน่อย  ต้องสอนไปเรื่อยๆ อาจจะเป็นเดือน เป็นปี ก็จะสามารถบรรลุธรรมได้  เปรียบเหมือนกับดอกบัวที่ยังอยู่ในน้ำ ยังไม่โผล่พ้นน้ำ  จักบานในวันต่อไป บุคคลทั้ง ๓ ประเภทที่กล่าวมา ยังพอสั่งสอนได้  ส่วนประเภทที่

๔. ปทปรมะ เป็นพวกมืดบอด  ได้แค่ตัวบทคือถ้อยคำเป็นอย่างยิ่ง ไม่อาจเข้าใจความหมาย เปรียบเหมือนกับบัวจมอยู่ในน้ำที่กลายเป็นอาหารของปลาและเต่า จะสั่งสอนอย่างไรก็ไม่เชื่อฟัง คิดว่าเป็นการหลอกลวง เช่นเรื่องนรก เรื่องสวรรค์  เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เห็นเป็นของโกหกหลอกลวง เป็นไปไม่ได้ที่ตายแล้วจะเกิดอีก  ตายแล้วสูญ  เป็นลักษณะของคนมืดบอด ที่พระพุทธเจ้าจะไม่ทรงสั่งสอน  สอนไปก็เปล่าประโยชน์  เปรียบเหมือนกับการสาดน้ำใส่หลังสุนัข  สุนัขจะสะบัดทิ้งทันทีฉันใด  การสั่งสอนคนมืดบอดก็เสียเวลาเปล่าๆฉันนั้น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่