เมื่อพระพุทธองค์ทรงพิจารณาจึงเกิดความท้อแท้ ทรงดำริว่าถ้าไปสั่งสอนแล้วจะมีใครเชื่อหรือเปล่า หรือจะถูกหาว่าบ้า ก็เลยทรงมีความรู้สึกไม่อยากจะสั่งสอน ไม่อยากประกาศพระธรรมที่ได้ทรงตรัสรู้ ได้ทรงเห็นมา ต่อมาท้าวมหาพรหมได้มากราบพระพุทธเจ้าแล้วอาราธนาให้พระพุทธองค์ทรงโปรดเมตตาสัตว์โลก โปรดสั่งสอนสัตว์โลกที่ยังมืดบอดด้วยโมหะ ความหลง ด้วยอวิชชา ความไม่รู้ ขอให้ได้โปรดให้เขาเหล่านั้นได้ มีแสงสว่าง มีธรรมจักษุ ดวงตาเห็นธรรมด้วยเถิด ถึงแม้ว่าสัตว์โลกจะไม่สามารถรับคำสอนของพระพุทธองค์ได้ทั้งหมดก็ตาม แต่สัตว์โลกที่ฉลาดก็มี ที่ไม่ฉลาดก็มี ผู้ที่จะรับการสั่งสอนของพระพุทธองค์ก็มี ที่ไม่รับก็มี
หลังจากพระพุทธองค์ได้ทรงพิจารณาแล้ว ก็ทรงจำแนกสัตว์โลกไว้เป็น ๔ ประเภท เปรียบเหมือนบัว ๔ เหล่า คือประเภทที่
๑. อุคฆฏิตัญญู เป็นคนที่ฉลาดมาก เพียงแต่ยกหัวข้อขึ้นมาก็เข้าใจแล้ว เปรียบเหมือนกับบัวที่อยู่เหนือน้ำ พอได้รับแสงอาทิตย์ก็จะบาน ประเภทที่
๒. วิปจิตัญญู เป็นผู้ที่จะรู้จะเข้าใจหลังจากได้ฟังการอธิบายขยายความ เปรียบเหมือนกับบัวที่ตั้งอยู่เสมอน้ำ จักบานในวันพรุ่งนี้ ประเภทที่
๓. เนยยะ คือผู้ที่พอสั่งสอนได้ ต้องใช้เวลานานหน่อย ต้องสอนไปเรื่อยๆ อาจจะเป็นเดือน เป็นปี ก็จะสามารถบรรลุธรรมได้ เปรียบเหมือนกับดอกบัวที่ยังอยู่ในน้ำ ยังไม่โผล่พ้นน้ำ จักบานในวันต่อไป บุคคลทั้ง ๓ ประเภทที่กล่าวมา ยังพอสั่งสอนได้ ส่วนประเภทที่
๔. ปทปรมะ เป็นพวกมืดบอด ได้แค่ตัวบทคือถ้อยคำเป็นอย่างยิ่ง ไม่อาจเข้าใจความหมาย เปรียบเหมือนกับบัวจมอยู่ในน้ำที่กลายเป็นอาหารของปลาและเต่า จะสั่งสอนอย่างไรก็ไม่เชื่อฟัง คิดว่าเป็นการหลอกลวง เช่นเรื่องนรก เรื่องสวรรค์ เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เห็นเป็นของโกหกหลอกลวง เป็นไปไม่ได้ที่ตายแล้วจะเกิดอีก ตายแล้วสูญ เป็นลักษณะของคนมืดบอด ที่พระพุทธเจ้าจะไม่ทรงสั่งสอน สอนไปก็เปล่าประโยชน์ เปรียบเหมือนกับการสาดน้ำใส่หลังสุนัข สุนัขจะสะบัดทิ้งทันทีฉันใด การสั่งสอนคนมืดบอดก็เสียเวลาเปล่าๆฉันนั้น
เพราะเหตุใด เมื่อครั้งเจ้าชายสิทธัตถะ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว จึงไม่อยากสอนใคร
หลังจากพระพุทธองค์ได้ทรงพิจารณาแล้ว ก็ทรงจำแนกสัตว์โลกไว้เป็น ๔ ประเภท เปรียบเหมือนบัว ๔ เหล่า คือประเภทที่
๑. อุคฆฏิตัญญู เป็นคนที่ฉลาดมาก เพียงแต่ยกหัวข้อขึ้นมาก็เข้าใจแล้ว เปรียบเหมือนกับบัวที่อยู่เหนือน้ำ พอได้รับแสงอาทิตย์ก็จะบาน ประเภทที่
๒. วิปจิตัญญู เป็นผู้ที่จะรู้จะเข้าใจหลังจากได้ฟังการอธิบายขยายความ เปรียบเหมือนกับบัวที่ตั้งอยู่เสมอน้ำ จักบานในวันพรุ่งนี้ ประเภทที่
๓. เนยยะ คือผู้ที่พอสั่งสอนได้ ต้องใช้เวลานานหน่อย ต้องสอนไปเรื่อยๆ อาจจะเป็นเดือน เป็นปี ก็จะสามารถบรรลุธรรมได้ เปรียบเหมือนกับดอกบัวที่ยังอยู่ในน้ำ ยังไม่โผล่พ้นน้ำ จักบานในวันต่อไป บุคคลทั้ง ๓ ประเภทที่กล่าวมา ยังพอสั่งสอนได้ ส่วนประเภทที่
๔. ปทปรมะ เป็นพวกมืดบอด ได้แค่ตัวบทคือถ้อยคำเป็นอย่างยิ่ง ไม่อาจเข้าใจความหมาย เปรียบเหมือนกับบัวจมอยู่ในน้ำที่กลายเป็นอาหารของปลาและเต่า จะสั่งสอนอย่างไรก็ไม่เชื่อฟัง คิดว่าเป็นการหลอกลวง เช่นเรื่องนรก เรื่องสวรรค์ เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด เห็นเป็นของโกหกหลอกลวง เป็นไปไม่ได้ที่ตายแล้วจะเกิดอีก ตายแล้วสูญ เป็นลักษณะของคนมืดบอด ที่พระพุทธเจ้าจะไม่ทรงสั่งสอน สอนไปก็เปล่าประโยชน์ เปรียบเหมือนกับการสาดน้ำใส่หลังสุนัข สุนัขจะสะบัดทิ้งทันทีฉันใด การสั่งสอนคนมืดบอดก็เสียเวลาเปล่าๆฉันนั้น