เวลาเครียดๆอย่างนี้ไปอ่านประวัติขนมชื่อดังกันดีกว่าครับ
ย้อนอดีตไปประเทศจีน
ประเทศจีนมียอดขุนพลหลายท่าน หมายเลขหนึ่งที่เก่งที่สุด เกรียงไกรที่สุด และโดนลงโทษอย่างไม่เป็นธรรมที่สุด หมายเลขหนึ่งนั้นชื่อ เย่ว์เฟย หรือที่คนไทยเรารู้จักนามว่า "งักฮุย"
งักฮุยผู้นี้สร้างกองทัพที่แม้แต่ศัตรูยังตั้งสโลแกนให้ว่า "โยกภูเขานั้นง่าย คลอนทัพงักฮุยนั้นยากยิ่ง"
แต่งักฮุยผู้นี้กลับเสียชีวิตลงจากปากคอเราะร้ายของคนไม่กี่คน งักฮุยที่กวาดพิชิตทั่วอาณาจักร รบครั้งไหนชนะครั้งนั้น กลับเสียชีวิตด้วยลมปากของขุนนางกังฉินกระจอกๆคนนึง
ขุนนางคนนั้นกล่าวหางักฮุย มักใหญ่ใฝ่สูง ใส่ไคล้ ป้ายสี ต่างๆนานา โดยเมื่อมีคนอื่นทักท้วง และตั้งคำถามไอ้สารเลวตัวนั้นว่ามีหลักฐานในการกล่าวโทษงักฮุยหรือไม่ ไอ้บร้านี่ก็ตอบว่า "อาจจะมีก็ได้ (莫须有)" คำตอบของไอ้..(จงเติมคำในช่องว่าง)...ที่ว่า "อาจจะมีก็ได้" นี้ ภายหลังกลายเป็นศัพท์ที่ถูกจารึกไว้ต่อๆ มาว่ามีความหมาย คือการให้ร้ายผู้อื่นโดยปราศจากหลักฐาน
งักฮุย ..ตาย.. ตายด้วยต้องโทษ แต่ชื่อของท่านกลับตลบขึ้น ตัวท่านได้รับการยกย่องเป็นเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์
ส่วนคนดีที่ตัดสินท่านอย่างไม่เป็นธรรม ชื่อของมันกับเมียถูกเอาไปตั้งเป็นขนมที่ทำจากแป้งสองชิ้น มัดเข้าด้วยกัน จากนั้นทอดด้วยน้ำมันร้อนๆจนสุก เวลาจะกิน ทุกคนจะฉีกมันเป็นชิ้นๆ เคี้ยวเสียให้หายแค้น กินมันมาร่วม 900 ปี จนถึงทุกวันนี้
ท่านที่ไม่เคยอ่านมาก่อน พอจะเดาออกหรือยังครับว่า ขนมนี้ชื่อว่าอะไร
ติ๊กต่อก .. ติ๊กต่อก
ใช่แล้วครับ คำตอบคือ..
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ปาท่องโก๋
ยังไงก็ขอให้เช้านี้ ท่านใดกิน
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ปาท่องโก๋ ก็ขอให้กินอร่อยกว่าเดิม เคี้ยวมันกว่าเดิม กินไปก็ถามแป้งในมือท่านด้วยว่า "ส่อทุจริต??" "อาจจะมีก็ได้" พ่อง??!!
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เหตุการณ์นี้เกิดในปี ค.ศ.1142 หรือ พ.ศ.1685 (873 ปีที่แล้ว) แต่ก็น่าแปลกที่ประวัติศาสตร์คล้ายจะหมุนเวียนมาเสมอ และดูเหมือนเราจะไม่ได้ก้าวหน้าไปไหนเลย
หนุ่มเมืองเพรียว
"อาจจะมีก็ได้" คำตอบของกังฉินสไตล์
ย้อนอดีตไปประเทศจีน
ประเทศจีนมียอดขุนพลหลายท่าน หมายเลขหนึ่งที่เก่งที่สุด เกรียงไกรที่สุด และโดนลงโทษอย่างไม่เป็นธรรมที่สุด หมายเลขหนึ่งนั้นชื่อ เย่ว์เฟย หรือที่คนไทยเรารู้จักนามว่า "งักฮุย"
งักฮุยผู้นี้สร้างกองทัพที่แม้แต่ศัตรูยังตั้งสโลแกนให้ว่า "โยกภูเขานั้นง่าย คลอนทัพงักฮุยนั้นยากยิ่ง"
แต่งักฮุยผู้นี้กลับเสียชีวิตลงจากปากคอเราะร้ายของคนไม่กี่คน งักฮุยที่กวาดพิชิตทั่วอาณาจักร รบครั้งไหนชนะครั้งนั้น กลับเสียชีวิตด้วยลมปากของขุนนางกังฉินกระจอกๆคนนึง
ขุนนางคนนั้นกล่าวหางักฮุย มักใหญ่ใฝ่สูง ใส่ไคล้ ป้ายสี ต่างๆนานา โดยเมื่อมีคนอื่นทักท้วง และตั้งคำถามไอ้สารเลวตัวนั้นว่ามีหลักฐานในการกล่าวโทษงักฮุยหรือไม่ ไอ้บร้านี่ก็ตอบว่า "อาจจะมีก็ได้ (莫须有)" คำตอบของไอ้..(จงเติมคำในช่องว่าง)...ที่ว่า "อาจจะมีก็ได้" นี้ ภายหลังกลายเป็นศัพท์ที่ถูกจารึกไว้ต่อๆ มาว่ามีความหมาย คือการให้ร้ายผู้อื่นโดยปราศจากหลักฐาน
งักฮุย ..ตาย.. ตายด้วยต้องโทษ แต่ชื่อของท่านกลับตลบขึ้น ตัวท่านได้รับการยกย่องเป็นเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์
ส่วนคนดีที่ตัดสินท่านอย่างไม่เป็นธรรม ชื่อของมันกับเมียถูกเอาไปตั้งเป็นขนมที่ทำจากแป้งสองชิ้น มัดเข้าด้วยกัน จากนั้นทอดด้วยน้ำมันร้อนๆจนสุก เวลาจะกิน ทุกคนจะฉีกมันเป็นชิ้นๆ เคี้ยวเสียให้หายแค้น กินมันมาร่วม 900 ปี จนถึงทุกวันนี้
ท่านที่ไม่เคยอ่านมาก่อน พอจะเดาออกหรือยังครับว่า ขนมนี้ชื่อว่าอะไร
ติ๊กต่อก .. ติ๊กต่อก
ใช่แล้วครับ คำตอบคือ..
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ยังไงก็ขอให้เช้านี้ ท่านใดกิน [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ ก็ขอให้กินอร่อยกว่าเดิม เคี้ยวมันกว่าเดิม กินไปก็ถามแป้งในมือท่านด้วยว่า "ส่อทุจริต??" "อาจจะมีก็ได้" พ่อง??!!
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หนุ่มเมืองเพรียว