ท่ามกลางความรู้สึกที่บอกไม่ถูก ผมขับรถขึ้นทางด่วนไปตามปกติ หลังเลิกงาน
เวลาตอนนี้ตีสองกว่าแล้ว เป็นเวลาสำหรับการพักผ่อนของคนทั่วไป... ที่ทำงานบนถนนพระราม 4 ใช้เวลาเพื่อมาขึ้นทางด่วนหัวลำโพงไม่ถึง 5 นาที งานก่ะกลางคืน เป็นอะไรที่ผมเลี่ยงที่จะไม่ทำ หลังจากครั้งสุดท้ายเมื่อสองเดือนที่แล้ว แต่ไม่เคยจะปฏิเสธตามที่คิดได้ ถ้านายจ้างคิดจะจ้างเรามาทำงาน เค้าย่อมคาดหวังจะได้งานจากเรามากกว่าที่เราคิดอยู่หลายเท่าเสมอ
"ขอใบเสร็จด้วยครับ" พนักงานเก็บค่าทางด่วนรับเงินจากผมไป สีหน้านิ่งเฉย
"คุณครับใบเสร็จด้วยครับ"
ผมต้องเรียกซ้ำแบบนี้เป็นประจำ อาจเป็นได้ว่าพนักงานเก็บเงินคงไม่ได้ยิน หรือมันควรเป็นเวลานอนมากกว่าทำงาน
ผ่านด้านเก็บเงินมา ผมสังเกตเห็นว่าทางด่วนไม่มีรถวิ่งซักคัน บรรยากาศดูโหวงเหวง ท้องฟ้ามืดยามราตรี แสงไฟยังคงส่องประกายสว่างแจ้งตามตึกอาคารบ้านเรือน
...เมืองหลวงที่ชื่อว่ากรุงเทพแห่งนี้ไม่เคยหลับไหล...
นึกถึงเมื่อหลายวันก่อน นั่งคุยกับไอ้ชัย เพื่อนสนิท เกี่ยวกับเรื่องสัพเพเหระ แชร์เรื่องที่บ้าน เรื่องส่วนตัวบ้าง
จนกระทั่งมาจบที่เรื่องงาน และลงท้ายมาที่เรื่องที่ทำให้ผมนึกขึ้นได้พอดี...
"เอ็งกลับบ้านดึกบ่อยๆเคยสังเกตบนทางด่วนไหมว่ะ"
"สังเกตไร"
"พี่ที่ทำงานกูเล่าให้ฟังว่า เสาไฟบนทางด่วนจากทางขึ้นหัวลำโพงไปจนถึงทางลงแถวบ้านเอ็งน่ะ มันมีสองร้อยต้น แต่ช่วงดึกๆ มันจะมีต้นที่สองร้อยหนึ่งเพิ่มมา"
"พี่เค้าไปรู้ได้ไงว่ามันมีสองร้อยต้น"
"จะไปรู้หรอ เค้าเล่ามาก็เอามาเล่าต่อ เค้าบอกว่าพวกพี่แท๊กซี่ เค้ารู้กันว่า หลังตีสองจะเลี่ยงไม่ลงทางด่วนตรงนั้น..."
"ทำไมว่ะมันมีอะไรไอ้เสาต้นที่เพิ่มมาเนี่ยะ"
"เค้าบอกว่าใครขึ้นบนทางด่วนแล้วนับเสาจนถึงสองร้อยต้นหลังตีสอง จะเห็นเสาต้นที่สองร้อยหนึ่ง แต่เค้าไม่ได้บอกหว่ะว่ามันเป็นเสาอะไร"
"เออน่าสนุกดีหว่ะ ไว้เดี๋ยวว่างๆจะลองนับดู"
"เออดี มาบอกกูด้วยว่าไอ้เสาต้นนั้นมันคืออะไร"
อากาศเรื่อยๆเอื่อยๆ ยิ่งตามเส้นทางไม่มีเพื่อนร่วมทางซักคัน ยิ่งชวนให้คนขับรถยามดึก หลับในได้ไม่ยากเย็น
การหากิจกรรมเพื่อให้ร่างกายตื่นตัวจึงเป็นสิ่งที่ผมคิดจะทำทุกครั้ง ครั้งนี้ก็ไม่รอช้าที่จะทำตามที่นึกได้หลังจากคุยกับชัยวันก่อน
ผมเริ่มต้นนับเสาต้นแรกทันที
"หนึ่ง สอง สาม" ความเร็ว 60 กีโลเมตรต่อชั่วโมงทำให้การนับไม่ยากลำบากมากนัก
แสงจากหลอดบนยอดเสาส่องสว่าง ระยะห่างแต่ละเสา ไม่น่าเกิน 50 เมตร
รถควรวิ่งที่ระดับ 120 หรือ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่เรื่องนี้มันขึ้นมาให้หัวผมพอดี ถ้าไม่ได้ทำตามที่คิดไว้ กลับไปผมคงจะเปลี่ยนจากง่วงนอนเป็นนอนไม่หลับ
มีรถวิ่งแซงผมไปอย่างรวดเร็วสองสามคัน หลังจากนับจำนวนเสาไฟมาพักใหญ่ๆ คงเป็นวัยรุ่นที่เมาแล้วขับกลับบ้าน
"หนึ่งร้อยหนึ่ง หนึ่งร้อยสอง" ครึ่งทางแล้วผมเริ่มรู้สึกเหนื่อยอ่อน กาแฟที่อัดมาตอนช่วงหัวค่ำเริ่มจะหมดฤทธิ์ แต่ความตั้งใจยังเต็มเปี่ยม
วูบหนึ่งในความรู้สึก ผมเห็นรถวิ่งสวนทางมา...เฮ้ย บนทางด่วนจะมีรถสวนมาได้ยังไง หรือว่าจะเป็นรถเจ้าหน้าที่ทางด่วน
แสงไฟหน้ารถส่องสว่างจ้า มันค่อยๆเคลื่อนไกล้เข้ามา ตาผมเริ่มหรี่ลงนิดๆเพราะแสงไฟ...ไกล้ทางลงที่ผมลงประจำทุกที
รถคันนั้นมาจอดตรงข้าง แบรีเออร์ ประตูรถเปิดออก ชายรูปร่างสัดทัด ก้าวลงมาจากรถ มองดูจากการแต่งกายแล้วน่าจะเป็นชายอายุไม่เกิน 30 เหมือนนักเที่ยวยามราตรี
"พี่ๆ ช่วยผมหน่อยได้ไหม เพื่อนผมรถมันชนแบริเออร์"
คงเป็นรถสองคันที่ขับแซงผมไป ขับเร็วขนาดนั้น
"ได้ๆครับ ชนตรงไหน โทรหาเจ้าหน้าที่ทางด่วนหรือยัง"
"ผมโทรที่ตู้ข้างทางแล้วไม่มีคนรับสาย"
นอกจากพนักงานเก็บเงินแล้ว พนักงานฉุกเฉินของทางด่วนคงจะไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์เช่นกัน
"คุณมากันกี่คัน แล้วมีโทรแจ้งโรงพยาบาล ตำรวจ หรือร่วมกตัญญูหรือยัง?"
"ไม่มีใครรับสายผมเลยไม่รู้ทำไม"
คืนนี้มันแปลกดี เหมือนทุกคนจงใจจะไม่อยากทำงาน
ผมขับรถตามรถคันหน้าไป ไกล้ป้ายทางลงที่ผมจะลง สภาพที่เห็นข้างหน้า รถยนต์ยุโรปคันงามสีดำ ด้านหน้าอัดยุบเข้ากับแบริเออร์ด้านซ้าย สภาพพังยับ
มีควัน และไฟลุกด้านหน้า คนขับเหมือนจะหมดสติอยู่ตรงที่นั่ง
"เราต้องโทรเรียกตำรวจแล้ว แต่เบื้องต้นเอาเพื่อนคุณออกมาก่อน"
"ระวังพี่ รอคนนู้นบอกก่อน"
ผมหันไปที่เสาไฟด้านขวา ตามที่ชายหนุ่มชี่ แสงไฟจากด้านบน ส่องให้เห็นชายคนหนึ่งยืนกัมหน้า ความรู้สึกเย็นวาบที่สันหลัง ขนลุกซู่
ชายคนนั้นค่อยๆเงยหน้า เสียงดังกังวาลแต่ชัดเจน
"เฮ้ย! ผิดคันแล้ว นี่มันไม่ใช่ทีมงาน ไอ้ตืด!"
ข้างๆมีเสาเครนใหญ่ยึดกล้องถ่ายมุมสูง มีกระดาษแปะคำว่าสองร้อยหนึ่งลืมตาย
ผมต้องจอดรถรออีกพักใหญ่ กว่าจะได้กลับบ้าน มิน่าหล่ะ พี่แท็กซี่ถึงไม่อยากลงทางนี้
เสาต้นที่สองร้อยหนึ่ง
เวลาตอนนี้ตีสองกว่าแล้ว เป็นเวลาสำหรับการพักผ่อนของคนทั่วไป... ที่ทำงานบนถนนพระราม 4 ใช้เวลาเพื่อมาขึ้นทางด่วนหัวลำโพงไม่ถึง 5 นาที งานก่ะกลางคืน เป็นอะไรที่ผมเลี่ยงที่จะไม่ทำ หลังจากครั้งสุดท้ายเมื่อสองเดือนที่แล้ว แต่ไม่เคยจะปฏิเสธตามที่คิดได้ ถ้านายจ้างคิดจะจ้างเรามาทำงาน เค้าย่อมคาดหวังจะได้งานจากเรามากกว่าที่เราคิดอยู่หลายเท่าเสมอ
"ขอใบเสร็จด้วยครับ" พนักงานเก็บค่าทางด่วนรับเงินจากผมไป สีหน้านิ่งเฉย
"คุณครับใบเสร็จด้วยครับ"
ผมต้องเรียกซ้ำแบบนี้เป็นประจำ อาจเป็นได้ว่าพนักงานเก็บเงินคงไม่ได้ยิน หรือมันควรเป็นเวลานอนมากกว่าทำงาน
ผ่านด้านเก็บเงินมา ผมสังเกตเห็นว่าทางด่วนไม่มีรถวิ่งซักคัน บรรยากาศดูโหวงเหวง ท้องฟ้ามืดยามราตรี แสงไฟยังคงส่องประกายสว่างแจ้งตามตึกอาคารบ้านเรือน
...เมืองหลวงที่ชื่อว่ากรุงเทพแห่งนี้ไม่เคยหลับไหล...
นึกถึงเมื่อหลายวันก่อน นั่งคุยกับไอ้ชัย เพื่อนสนิท เกี่ยวกับเรื่องสัพเพเหระ แชร์เรื่องที่บ้าน เรื่องส่วนตัวบ้าง
จนกระทั่งมาจบที่เรื่องงาน และลงท้ายมาที่เรื่องที่ทำให้ผมนึกขึ้นได้พอดี...
"เอ็งกลับบ้านดึกบ่อยๆเคยสังเกตบนทางด่วนไหมว่ะ"
"สังเกตไร"
"พี่ที่ทำงานกูเล่าให้ฟังว่า เสาไฟบนทางด่วนจากทางขึ้นหัวลำโพงไปจนถึงทางลงแถวบ้านเอ็งน่ะ มันมีสองร้อยต้น แต่ช่วงดึกๆ มันจะมีต้นที่สองร้อยหนึ่งเพิ่มมา"
"พี่เค้าไปรู้ได้ไงว่ามันมีสองร้อยต้น"
"จะไปรู้หรอ เค้าเล่ามาก็เอามาเล่าต่อ เค้าบอกว่าพวกพี่แท๊กซี่ เค้ารู้กันว่า หลังตีสองจะเลี่ยงไม่ลงทางด่วนตรงนั้น..."
"ทำไมว่ะมันมีอะไรไอ้เสาต้นที่เพิ่มมาเนี่ยะ"
"เค้าบอกว่าใครขึ้นบนทางด่วนแล้วนับเสาจนถึงสองร้อยต้นหลังตีสอง จะเห็นเสาต้นที่สองร้อยหนึ่ง แต่เค้าไม่ได้บอกหว่ะว่ามันเป็นเสาอะไร"
"เออน่าสนุกดีหว่ะ ไว้เดี๋ยวว่างๆจะลองนับดู"
"เออดี มาบอกกูด้วยว่าไอ้เสาต้นนั้นมันคืออะไร"
อากาศเรื่อยๆเอื่อยๆ ยิ่งตามเส้นทางไม่มีเพื่อนร่วมทางซักคัน ยิ่งชวนให้คนขับรถยามดึก หลับในได้ไม่ยากเย็น
การหากิจกรรมเพื่อให้ร่างกายตื่นตัวจึงเป็นสิ่งที่ผมคิดจะทำทุกครั้ง ครั้งนี้ก็ไม่รอช้าที่จะทำตามที่นึกได้หลังจากคุยกับชัยวันก่อน
ผมเริ่มต้นนับเสาต้นแรกทันที
"หนึ่ง สอง สาม" ความเร็ว 60 กีโลเมตรต่อชั่วโมงทำให้การนับไม่ยากลำบากมากนัก
แสงจากหลอดบนยอดเสาส่องสว่าง ระยะห่างแต่ละเสา ไม่น่าเกิน 50 เมตร
รถควรวิ่งที่ระดับ 120 หรือ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่เรื่องนี้มันขึ้นมาให้หัวผมพอดี ถ้าไม่ได้ทำตามที่คิดไว้ กลับไปผมคงจะเปลี่ยนจากง่วงนอนเป็นนอนไม่หลับ
มีรถวิ่งแซงผมไปอย่างรวดเร็วสองสามคัน หลังจากนับจำนวนเสาไฟมาพักใหญ่ๆ คงเป็นวัยรุ่นที่เมาแล้วขับกลับบ้าน
"หนึ่งร้อยหนึ่ง หนึ่งร้อยสอง" ครึ่งทางแล้วผมเริ่มรู้สึกเหนื่อยอ่อน กาแฟที่อัดมาตอนช่วงหัวค่ำเริ่มจะหมดฤทธิ์ แต่ความตั้งใจยังเต็มเปี่ยม
วูบหนึ่งในความรู้สึก ผมเห็นรถวิ่งสวนทางมา...เฮ้ย บนทางด่วนจะมีรถสวนมาได้ยังไง หรือว่าจะเป็นรถเจ้าหน้าที่ทางด่วน
แสงไฟหน้ารถส่องสว่างจ้า มันค่อยๆเคลื่อนไกล้เข้ามา ตาผมเริ่มหรี่ลงนิดๆเพราะแสงไฟ...ไกล้ทางลงที่ผมลงประจำทุกที
รถคันนั้นมาจอดตรงข้าง แบรีเออร์ ประตูรถเปิดออก ชายรูปร่างสัดทัด ก้าวลงมาจากรถ มองดูจากการแต่งกายแล้วน่าจะเป็นชายอายุไม่เกิน 30 เหมือนนักเที่ยวยามราตรี
"พี่ๆ ช่วยผมหน่อยได้ไหม เพื่อนผมรถมันชนแบริเออร์"
คงเป็นรถสองคันที่ขับแซงผมไป ขับเร็วขนาดนั้น
"ได้ๆครับ ชนตรงไหน โทรหาเจ้าหน้าที่ทางด่วนหรือยัง"
"ผมโทรที่ตู้ข้างทางแล้วไม่มีคนรับสาย"
นอกจากพนักงานเก็บเงินแล้ว พนักงานฉุกเฉินของทางด่วนคงจะไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์เช่นกัน
"คุณมากันกี่คัน แล้วมีโทรแจ้งโรงพยาบาล ตำรวจ หรือร่วมกตัญญูหรือยัง?"
"ไม่มีใครรับสายผมเลยไม่รู้ทำไม"
คืนนี้มันแปลกดี เหมือนทุกคนจงใจจะไม่อยากทำงาน
ผมขับรถตามรถคันหน้าไป ไกล้ป้ายทางลงที่ผมจะลง สภาพที่เห็นข้างหน้า รถยนต์ยุโรปคันงามสีดำ ด้านหน้าอัดยุบเข้ากับแบริเออร์ด้านซ้าย สภาพพังยับ
มีควัน และไฟลุกด้านหน้า คนขับเหมือนจะหมดสติอยู่ตรงที่นั่ง
"เราต้องโทรเรียกตำรวจแล้ว แต่เบื้องต้นเอาเพื่อนคุณออกมาก่อน"
"ระวังพี่ รอคนนู้นบอกก่อน"
ผมหันไปที่เสาไฟด้านขวา ตามที่ชายหนุ่มชี่ แสงไฟจากด้านบน ส่องให้เห็นชายคนหนึ่งยืนกัมหน้า ความรู้สึกเย็นวาบที่สันหลัง ขนลุกซู่
ชายคนนั้นค่อยๆเงยหน้า เสียงดังกังวาลแต่ชัดเจน
"เฮ้ย! ผิดคันแล้ว นี่มันไม่ใช่ทีมงาน ไอ้ตืด!"
ข้างๆมีเสาเครนใหญ่ยึดกล้องถ่ายมุมสูง มีกระดาษแปะคำว่าสองร้อยหนึ่งลืมตาย
ผมต้องจอดรถรออีกพักใหญ่ กว่าจะได้กลับบ้าน มิน่าหล่ะ พี่แท็กซี่ถึงไม่อยากลงทางนี้