บางทีการมีเงินเดือนเยอะๆ อาจไม่ใช่คำตอบสำหรับชีวิตเสมอไป เพราะจริงๆแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตก็คือ...

พักหลังผมเห็นว่ามีคนพูดถึงเรื่องการมีเงินเดือนสูงๆค่อนข้างมาก ผมเองก็เคยเป็นคนนึงที่มีรายได้ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับวัย คือตอนนั้นรับอยู่แสนกว่าๆ ด้วยวัยเพียงสามสิบกว่าปี ผมก็เลยอยากแชร์เรื่องของตัวเองนิดนึงครับ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับใครในที่นี้บ้างไม่มากก็น้อย

ผมเกิดในครอบครัวข้าราชการจนๆ แต่ด้วยความที่สมัยเด็กๆขยัน อดทน และยอมลำบาก เลยเป็นคนเรียนเก่งมาตั้งแต่เด็กๆ ภาษาอังกฤษดีที่สุดในโรงเรียน(ผมจบจากรร.มัธยมไม่ดังแถบชานเมือง คนเลยไม่เก่งภาษาอังกฤษเท่าไรสู้รร.ในเมืองไม่ได้) เป็นคนแรกของตระกูลที่ได้เรียนมหาลัยสีชมพู จบมาได้ทำงานในบริษัทยักษ์ใหญ่เงินเดือนสูงๆมาตลอด แต่แล้วชีวิตไม่ค่อยมีความสุขเท่าไรเพราะต้องแข่งขัน เครียด พัฒนาตัวเองอยู่เสมอๆๆ คิดเยอะ คิดทุกอย่าง เจ้าแห่งการวางแผน และคอยมองคนที่ประสบความสำเร็จอยู่เสมอๆว่าเค้าทำอย่างไรถึงมาถึงจุดนี้ได้ บอกตรงๆว่าเหนื่อยอ่ะ ต้องวิ่งตลอดเวลา ทำงานมา 10ปี เงินเดือนขึ้นไปหกหลัก ตอนนั้นในบรรดาญาติๆใครๆก็อิจฉาผม คิดว่าอีกไม่นานผมคงรายได้ 2-3 แสนได้เป็นแน่....


แต่ที่ไหนได้ ผมตัดสินใจลาออกจากงานรายได้หกหลัก มาเข้ารัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่ง เงินเดือนที่ได้ตอนนั้นคือสามหมื่นกว่า เพื่อนๆผมที่รู้ข่าวผมยังตกใจเลย ว่าเฮ้ยย มีคนในโลกนี้ยอมลดเงินเดือนตัวเองลงตั้ง 3เท่าด้วยจริงๆหรอ พอมีโอกาสได้เจอกันเลยคุยกันยาวๆ ผมเลยบอกทุกคนว่าทุกวันนี้ชีวิตผมมีความสุขขึ้นมาก

- ถ้าไม่ยึดติดกับว่าต้องเติบโตเร็ว ต้องมีตำแหน่งดีๆ ก็ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องแข่งขัน ไม่ต้องเปรียบเทียบ เพราะเงินเดือนขึ้นทุกปี ความมั่นคงไม่ต้องพูดถึง ต่อให้เศรษฐกิจแย่แค่ไหน คุณก็ยังมีงานทำและยังมีเงินเดือนขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย (ถึงจะเงินเดือนน้อยนิด และเงินเดือนขึ้นพอๆกะตัวเลขเงินเฟ้อก็ตาม)

- ได้นอนหลับสนิทเพราะตอนนอนไม่ต้องกังวลคิดนู้นคิดนี่เรื่องงาน และก็ไม่ต้องถูกปลุกขึ้นกลางดึกจากโทรศัพท์ด่วนของเจ้านาย ทุกวันนี้ตอนนอนปิดมือถือ นอนไม่ต้องคิดอะไร นอนหลับสนิทตลอดขึ้น ตื่นมาสดชื่นแจ่มใส ขับถ่ายสะดวก

- เลิกงานเป็นเวลา 4-5โมงกลับบ้าน มีเวลาออกกำลังกายรักษาสุขภาพ ได้ออกกำลังกายในสวนสาธารณะสูดออกซิเจน ได้เห็นสีเขียวๆ ได้เห็นวิถีชีวิตผู้คน ได้พูดได้คุยกับเพื่อนมนุษย์มากขึ้น จากแต่เดิมที่ไม่มีเวลาออกกำลังกายเพราะทำแต่งาน หรือถ้าออกก็ออกที่ฟิตเนสที่มีแต่อุปกรณ์ๆๆ และต่างคนต่างอยู่

- เสาร์-อาทิตย์หยุดงาน มีเวลาพาพ่อแม่ ครอบครัวไปหาอะไรอร่อยๆทาน ทั้งๆที่เมื่อก่อนบางเสาร์-อาทิตย์ต้องไปทำงาน บางวันคิดว่าไม่ต้องไปแล้ว วางแผนไปนู่นนี่นั่นกะครอบครัวซะดิบดี พอเย็นวันศุกร์เจ้านาย Assign งานด้วยเข้ามาก็ต้องไปทำ

มี "Work-Life Balance" อย่างแท้จริง  ถึงแม้ว่าสิ่งที่คุณทำ รายได้มันอาจจะน้อยกว่าถ้าเทียบกับคนอื่นๆ แต่สิ่งที่คุณมีแน่ๆคือ “ความสุข” “สุขในการใช้ชีวิต” “สุขในการทำงาน”

ผมไม่ได้บอกว่าเงินเดือนเยอะๆมันไม่ดีนะครับ แค่ต้องการนำเสนออีกมุมมองว่าบางทีการมีเงินเดือนเยอะๆอาจไม่ใช่คำตอบสำหรับชีวิตเสมอไป การมีเงินเดือนน้อยกว่า แต่ถ้าชีวิตมีความสุขมากกว่าและมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า ผมว่าบางที นั่นแหละ อาจเป็นคำตอบที่หลายๆคนกำลังมองหาอยู่ก็เป็นได้นะครับ

ป.ล.หลายคนอาจสงสัยว่าเงินน้อยแล้วมันจะพอค่าใช้จ่ายหรอ ไหนจะค่ากินค่าใช้ ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ บอกตรงๆครับว่า keyword ไม่ได้อยู่ที่คุณรายได้เท่าไร แต่อยู่ตรงที่คุณสามารถเก็บเงินได้เท่าไร เพราะรายได้มากแต่รสนิยมหรู ผมเห็นมาเยอะแล้วแทบไม่เหลือเก็บ แต่ของผม สมัยที่ผมทำงานเอกชนรายได้ดี ผมมีรายได้พอที่จะผ่อนรถได้สบายๆแต่ผมเลือกที่จะนั่งรถเมล์ไปทำงาน ผมยอมลำบากในช่วงต้นๆของชีวิต ผมเลือกที่จะเก็บเงินจำนวนเท่าๆกับที่ต้องผ่อนรถ+ค่าน้ำมัน+ค่าประกัน+ค่าซ่อมบำรุง เอามาใส่พอร์ตหุ้นทุกๆเดือน แล้วปล่อยให้เงินทำงานแทนผมไปเรื่อยๆ ทุกเดือนๆ ในที่สุดอายุไม่ถึง 30 ผมสามารถมีบ้านเป็นของตัวเองได้ ทุกวันนี้บ้านที่ผมอยู่ เป็นบ้านที่ผมซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวผมเอง และไม่มีภาระหนี้สินแล้ว นอกจากนั้นพอรายได้มากขึ้นๆ ผมยังเก็บเงินอีกส่วนนึงไว้เป็นกองทุนสำหรับเลี้ยงตัวเองเผื่อไม่ได้ทำงาน นี่แหละครับที่มาว่าทำไมผมถึงอยู่ได้ ทั้งๆที่ผมก็เริ่มต้นมาจากศูนย์ พ่อแม่ผมเป็นข้าราชการจนๆธรรมดาๆ ไม่ได้มีทรัพย์สินให้ผมเลย นอกจากเงินให้ผมไปจ่ายค่าเทอมสมัยเรียนมหาวิทยาลัย

แล้วคุณล่ะครับ คิดเห็นว่าอย่างไรกัน???
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่