ผมรอติดตามเรื่องนี้ตั้งแต่ใบปิดออกมา แถมยังซื้อหนังสือมาอ่านก่อนที่จะเข้าไปดู(ซึ่งอ่านจบก่อนดูแค่วันเดียว เนื้อเรื่องในหนังสือยังกรุ่นอยู่) เพราะผมเป็นคนชอบอะไรเกี่ยวกับสไนเปอร์มากคนนึงแถมยังชอบอ่านหนังสือตามหนังที่ออกด้วย(แต่เรื่องนี้มั่นใจว่าดีเลยอ่านก่อนดู)
ถือว่าไม่ผิดหวังครับ ใช้ได้เลย ถ้าคุณอ่านหนังสือมาก่อนก็คงจะพอเดาๆได้ว่ามันต้องไม่บู๊ระห่ำแน่นอน มันเป็นแนวดราม่าแอ๊คชั่นเพราะเป็นการเล่าเรื่องชีวประวัติของคริส ถือเป็นการให้เกรียรติเขาอย่างมาก ถ้าใครคิดว่าจะได้เข้าไปดูการดวลกันตูมตามทั้งเรื่องคงแอบผิดหวังเพราะหนังจะคั่นเนื้อเรื่องชีวิตของเขาอยู่ทั้งเรื่อง เหตุการณ์ต่างๆในหนังเมื่อเทียบกับในหนังสือถือว่าเกทครับ มีบางอย่างไม่ตรงบ้างนิดหน่อยแต่ก็ตามสไตล์ของหนังต้องเดินเรื่องไวกว่าหนังสือ (ผมไม่ได้มาจับผิดนะครับ เพียงแค่อยากเปรียบเทียบให้คนที่ไม่ได้อ่านหนังสือได้รู้เท่านั้น)
ที่ว่าไม่ตรงและปรับแต่เมื่อเทียบกับหนังสือก็เช่น ฉากสุดท้ายไปสอยสไนเปอร์ข้าศึกได้ ในหนังสือนั้นเขียนไว้แยกกันระหว่างมือสไนเปอร์ข้าศึกที่ได้เหรียญโอลิมปิกจริง นั่นคือเหตุการณ์นึง(ต้นเล่ม) อีกเหตุการณ์คือช็อตที่ยิงไกลที่สุดคือ2100หลา(2,100 หลาก็ราวๆ1.92 กิโลเมตรเลยครับ โคตรไกล)ที่หนังสือบรรยายไว้ว่าคริสต้องการจะยิงเพื่อเตือนหน่วยทหารแถวนั้น(เพราะติดปัญหาวิทยุหากันไม่ได้)แต่ดันโดนจริงๆ และนั่นก็คือระยะไกลที่สุดที่สังหารข้าศึกได้ที่ถูกบันทึก ซึ่งหนังเอา2เหตุการณ์มารวมกันให้คนดูรู้สึกลุ้นตามสไตล์คนทำหนัง
ส่วนเรื่อง"กฏการใช้กำลัง" ที่เปิดเรื่องมาไม่นานก็สอยเด็กกับผู้หญิงโชว์ซะ2ดอก ถ้าใครไม่รู้เรื่องกฎนี้อาจดูว่าหนังป่าเถื่อนไปนิดที่ยิงเด็กกับผู้หญิง แต่"กฎการใช้กำลัง"ระบุไว้พอสังเขปว่า อนุญาตให้ยิงได้เมื่อเห็นว่าใครก็ตามมีจุดประสงค์มุ่งร้ายต่อหน่วยทหารอเมริกัน ยิงได้หมด เด็กถือปืนเล็งมาหาเราก็ยิงได้ แต่ถ้าเกิดเห็นเป็นคนน่าสงสัยจริงๆหรือจำได้ว่าหมอนี่เคยยิงเพื่อนแต่ตอนเจอเขาไม่มีอาวุธเลย เราก็ไม่มีสิทธิยิงเขา (คริสเล่าในหนังสือว่า กฎการใช้กำลังบอกไว้ชัดเจนว่าถ้ามีใครเข้ามายิงลูกเมียผมแล้ววางปืนทิ้ง ผมทำได้แค่จับเขาอย่างละมุนละม่อมเท่านั้น ยิงไม่ได้) เพราะการยิงนอกกฎการใช้กำลังถือเป็นการฆาตกรรมและต้องขึ้นศาลทหาร(อย่างที่เพื่อนในหนังบอกครับว่าเลือกผิดนายติดคุกแน่)
คงมีเรื่องใหญ่ๆที่คนไปดูอาจติดใจนะ อาจมีอีกแต่ผมนึกไม่ออก ฉากที่ผมหวังขณะดูคือฉากสอยตัวโกงระยะ2กิโลนั่นแหละ เสียดายตายง่ายไปนิด น่าจะประมาณว่ามันซุ่มอยู่หาไม่เจอแล้วให้เดาให้หายากๆหน่อย (อย่างน้อยก็รอให้เห็นประกายไฟหน่อยก็ได้ อันนี้เดาไปที่มืดๆไปนิด กล้องยังส่องไม่เห็นเลยแต่ดันรูปว่ายิงโดน) ฉากที่ชอบที่สุดไม่พ้นตอนจบเรื่องครับ ถึงจะรู้ว่าเขาตายแล้วแต่ก็ไม่คิดว่าหนังจะเอามาเล่าด้วย ในหนังบอกตามเรื่องจริงครับว่าคริสโดนทหารผ่านศึกคนนั้นยิง ตามข่าวบอกประมาณว่าเป็นโรคจิตหลังสงครามครับ คริสพยายามจะช่วยแต่เขาเกิดคลั่งขึ้นมาเลยยิงคริสกับเพื่อนอีกคนทิ้ง ฉากสุดท้ายที่น่าจะเอาภาพจริงของงานศพและขบวนไว้อาลัยของคริสมาลงปิดฉากหนังทำผมเกือบน้ำตาซึม สงสารครับ รู้สึกได้ถึงความรักชาติและต่างๆมากมายจริงๆ มันดราม่าสุดตอนจบนี่แหละ คนในโรงเดินออกกันเงียบเลยเหมือนยังไว้อาลัยให้เขาอยู่ ซึ่งก็น่าจะเป็นจุดประสงค์ที่ทำหนังเรื่องนี้ออกมาครับ
ถ้าผมให้คะแนนเล่นๆนะ ให้8.5เต็ม10 คงหักฉากสอยตัวโกงตอนจบกับอะไรอีกนิดหน่อย แต่คอหนังสงครามน่าจะชอบครับ ไม่ได้บู๊ล้างผลาญแต่แฝงความดราม่าให้เราอาลัยถึงวีรบุรุษของเขาครับ อารมณ์เดียวกับหนังรถถังเรื่องFuryที่ฉายไปก่อนหน้านี้เลยครับ
American sniper ความรู้สึกหลังอ่านหนังสือและดูมาแล้ว (สปอยเต็มๆ)
ถือว่าไม่ผิดหวังครับ ใช้ได้เลย ถ้าคุณอ่านหนังสือมาก่อนก็คงจะพอเดาๆได้ว่ามันต้องไม่บู๊ระห่ำแน่นอน มันเป็นแนวดราม่าแอ๊คชั่นเพราะเป็นการเล่าเรื่องชีวประวัติของคริส ถือเป็นการให้เกรียรติเขาอย่างมาก ถ้าใครคิดว่าจะได้เข้าไปดูการดวลกันตูมตามทั้งเรื่องคงแอบผิดหวังเพราะหนังจะคั่นเนื้อเรื่องชีวิตของเขาอยู่ทั้งเรื่อง เหตุการณ์ต่างๆในหนังเมื่อเทียบกับในหนังสือถือว่าเกทครับ มีบางอย่างไม่ตรงบ้างนิดหน่อยแต่ก็ตามสไตล์ของหนังต้องเดินเรื่องไวกว่าหนังสือ (ผมไม่ได้มาจับผิดนะครับ เพียงแค่อยากเปรียบเทียบให้คนที่ไม่ได้อ่านหนังสือได้รู้เท่านั้น)
ที่ว่าไม่ตรงและปรับแต่เมื่อเทียบกับหนังสือก็เช่น ฉากสุดท้ายไปสอยสไนเปอร์ข้าศึกได้ ในหนังสือนั้นเขียนไว้แยกกันระหว่างมือสไนเปอร์ข้าศึกที่ได้เหรียญโอลิมปิกจริง นั่นคือเหตุการณ์นึง(ต้นเล่ม) อีกเหตุการณ์คือช็อตที่ยิงไกลที่สุดคือ2100หลา(2,100 หลาก็ราวๆ1.92 กิโลเมตรเลยครับ โคตรไกล)ที่หนังสือบรรยายไว้ว่าคริสต้องการจะยิงเพื่อเตือนหน่วยทหารแถวนั้น(เพราะติดปัญหาวิทยุหากันไม่ได้)แต่ดันโดนจริงๆ และนั่นก็คือระยะไกลที่สุดที่สังหารข้าศึกได้ที่ถูกบันทึก ซึ่งหนังเอา2เหตุการณ์มารวมกันให้คนดูรู้สึกลุ้นตามสไตล์คนทำหนัง
ส่วนเรื่อง"กฏการใช้กำลัง" ที่เปิดเรื่องมาไม่นานก็สอยเด็กกับผู้หญิงโชว์ซะ2ดอก ถ้าใครไม่รู้เรื่องกฎนี้อาจดูว่าหนังป่าเถื่อนไปนิดที่ยิงเด็กกับผู้หญิง แต่"กฎการใช้กำลัง"ระบุไว้พอสังเขปว่า อนุญาตให้ยิงได้เมื่อเห็นว่าใครก็ตามมีจุดประสงค์มุ่งร้ายต่อหน่วยทหารอเมริกัน ยิงได้หมด เด็กถือปืนเล็งมาหาเราก็ยิงได้ แต่ถ้าเกิดเห็นเป็นคนน่าสงสัยจริงๆหรือจำได้ว่าหมอนี่เคยยิงเพื่อนแต่ตอนเจอเขาไม่มีอาวุธเลย เราก็ไม่มีสิทธิยิงเขา (คริสเล่าในหนังสือว่า กฎการใช้กำลังบอกไว้ชัดเจนว่าถ้ามีใครเข้ามายิงลูกเมียผมแล้ววางปืนทิ้ง ผมทำได้แค่จับเขาอย่างละมุนละม่อมเท่านั้น ยิงไม่ได้) เพราะการยิงนอกกฎการใช้กำลังถือเป็นการฆาตกรรมและต้องขึ้นศาลทหาร(อย่างที่เพื่อนในหนังบอกครับว่าเลือกผิดนายติดคุกแน่)
คงมีเรื่องใหญ่ๆที่คนไปดูอาจติดใจนะ อาจมีอีกแต่ผมนึกไม่ออก ฉากที่ผมหวังขณะดูคือฉากสอยตัวโกงระยะ2กิโลนั่นแหละ เสียดายตายง่ายไปนิด น่าจะประมาณว่ามันซุ่มอยู่หาไม่เจอแล้วให้เดาให้หายากๆหน่อย (อย่างน้อยก็รอให้เห็นประกายไฟหน่อยก็ได้ อันนี้เดาไปที่มืดๆไปนิด กล้องยังส่องไม่เห็นเลยแต่ดันรูปว่ายิงโดน) ฉากที่ชอบที่สุดไม่พ้นตอนจบเรื่องครับ ถึงจะรู้ว่าเขาตายแล้วแต่ก็ไม่คิดว่าหนังจะเอามาเล่าด้วย ในหนังบอกตามเรื่องจริงครับว่าคริสโดนทหารผ่านศึกคนนั้นยิง ตามข่าวบอกประมาณว่าเป็นโรคจิตหลังสงครามครับ คริสพยายามจะช่วยแต่เขาเกิดคลั่งขึ้นมาเลยยิงคริสกับเพื่อนอีกคนทิ้ง ฉากสุดท้ายที่น่าจะเอาภาพจริงของงานศพและขบวนไว้อาลัยของคริสมาลงปิดฉากหนังทำผมเกือบน้ำตาซึม สงสารครับ รู้สึกได้ถึงความรักชาติและต่างๆมากมายจริงๆ มันดราม่าสุดตอนจบนี่แหละ คนในโรงเดินออกกันเงียบเลยเหมือนยังไว้อาลัยให้เขาอยู่ ซึ่งก็น่าจะเป็นจุดประสงค์ที่ทำหนังเรื่องนี้ออกมาครับ
ถ้าผมให้คะแนนเล่นๆนะ ให้8.5เต็ม10 คงหักฉากสอยตัวโกงตอนจบกับอะไรอีกนิดหน่อย แต่คอหนังสงครามน่าจะชอบครับ ไม่ได้บู๊ล้างผลาญแต่แฝงความดราม่าให้เราอาลัยถึงวีรบุรุษของเขาครับ อารมณ์เดียวกับหนังรถถังเรื่องFuryที่ฉายไปก่อนหน้านี้เลยครับ