[CR] [เที่ยวเป็นเอก.เลขเป็นโท#1]ทริปแรกแบกเป้เที่ยว@จำปาสัก part1: หลงเมืองปากเซ

.. ลมหนาว เป็นสิ่งที่เด็กกรุงเทพฯอย่างผมไม่คุ้นเคย ถึงฤดูหนาวทีหนึ่งอย่างมากก็มีแค่อากาศเย็นๆมาให้ชื่นใจได้เป็นครั้งคราวแล้วก็ผ่านไป แต่หนาวนี้จะต่างออกไปเพราะตอนนี้กำลังผมยืนรับลมหนาวอยู่ตรงปากทางออกจากเครื่องบินหางแดงกลางลานจอดของสนามบินนานาชาติอุบลราชธานี ..

01: แสงเช้าของวันแรกที่มาพร้อมกับการออกเดินทาง



อุณหภูมิยี่สิบกว่าองศานี้สำหรับคนอื่นอาจจะธรรมดาแต่สำหรับผมแค่นี้ก็ชื่นใจแล้วครับ แต่วันนี้ผมไม่ได้มาแค่รับลมหนาวแต่เป็นครั้งแรกที่จะได้ออกเดินทางแบบแบกเป้สะพายกล้องไปกับเพื่อนในต่างประเทศ!! ใช่ครับ จุดหมายเราไม่ใช่ที่อุบลนี้แต่อยู่อีกฟากหนึ่งของแม่น้ำโขงซึ่งก็คือเมืองปากเซ แขวงจำปาสักแห่งสปป.ลาว

จุดเริ่มต้นของการเดินทางนี้ต้องย้อนกลับไปประมาณหนึ่งปีที่แล้วที่มีโปรโมชั่นของแอร์เอเชียออกมาหลายเส้นทาง ด้วยความเหนื่อยกับการเรียน(ทั้งกายและใจ)ก็เลยคุยกับเพื่อนว่าจะหาที่เที่ยวกันสักที่นึงจนมาลงเอยที่ปากเซเพราะมีเพื่อนคนนึงเป็นคนอุบลน่าจะเที่ยวได้ง่าย หลังจากคุยกันเรื่องเวลาลงตัวก็ได้สมาชิกสิริรวมแล้วเป็นชายโฉด5คนครับ

ช่วงเวลาหลังจากที่จองตั๋วเครื่องบินไปเรียกว่าว่างเปล่าครับเพราะต่างคนต่างก็ต้องเรียน จนมารู้ตัวอีกทีเหลือเวลาอีกประมาณสองสามเดือนในการเตรียมตัวซึ่งก็ถือว่าน้อยแล้วเพราะช่วงเดียวกันนั้นก็ต้องเตรียมตัวสอบปลายภาคด้วย การวางแผนเลยเป็นไปแบบคร่าวๆครับ คุยกันแบบครบๆคนแค่รอบเดียวและได้แผนแบบหลวมๆมา


จากสนามบินดอนเมืองสู่สนามบินอุบลราชธานี ไปถึงสถานีขนส่ง และจากสถานีขนส่งสู่ด่านผ่านแดนช่องเม็กใช้เวลานานพอสมควรครับแต่วิวสองข้างทางก็พอให้เพลินได้ในช่วงที่ไม่ได้หลับ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ผ่านเขื่อนสิรินธรซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพัทยาน้อยแห่งเมืองอุบลด้วยคือมักจะมีคนมาเล่นน้ำตกปลานั่งทานอาหารกันแต่ช่วงที่ผ่านนั้นยังเช้าอยู่เลยยังไม่มีคนมาเล่น

เวลาผ่านไปได้สักงีบสองงีบ(งีบยาวๆ)เราก็มาถึงด่านช่องเม็ก ตรงนี้ก็ต้องลงจากรถแล้วผ่านขั้นตอนออกนอกเมือง เราก็คว้าพาสสปอร์ตแล้วก็ลงไปเข้าแถวเพื่อปั๊มตราออกนอกประเทศแต่ยืนไปได้สักพักก็เริ่มสังเกตว่าทำไมคนอื่นเขามีใบยาวๆให้กรอกข้อมูลกัน(หน้าตาเหมือนใบที่ต้องกรอกเวลาจะขึ้นเครื่องบินออกนอกประเทศ) เลยลองถามพี่ที่นั่งรถมาด้วยกันได้ความว่าเจ้าหน้าที่เขาแจกบนรถก่อนออกจากขนส่งแต่ด้วยกลุ่มเรามาขึ้นรถตอนใกล้เวลารถออกแล้วเลยไม่ได้รับบัตรขาออก เราก็ลองยืนตีมึนต่อไปในแถวเผื่อว่าถึงด่านแล้วเขาจะมีบัตรแจกครับ

"น่องกลุ่มนั้นน่ะ มีบัตรขาออกกันรึยัง?" เสียงพี่ตำรวจลอยมาจากตู้ประจำการที่หัวแถวเลยครับ นี่ขนาดยังอยู่ไกลอยู่เลย สงสัยพิรุธเราจะแสดงออกทางสีหน้ามากเกิน

สรุปว่าก็โดนเรียกออกไปเอาบัตรขาออกแล้วไล่ไปต่อแถวใหม่ไปตามระเบียบครับ หลังจากไปกรอกข้อมูลแล้วกลับมาเข้าแถวใหม่สุดท้ายเราก็ได้ประทับตราออกจากไทยซักที ทันทีที่ออกพ้นด่านไทยเราก็ถูกจู่โจมทันทีด้วยกองทัพแม่ค้าขายซิมโทรศัพท์!!  โอ้โหวว มาทุกค่ายทุกโทละคม แทบจะยัดใส่มือเลยมีทั้งโปรสามจีสี่จีห้าจี ปากพี่แกก็พร่ำคำหวานซะจนตัวลอยเลยครับ สุดหล่ออย่างนู้นสุดหล่ออย่างนี้ แต่พวกเราคิดกันแล้วว่าคงไม่จำเป็นจะต้องใช้โทรศัพท์เลยทำหูทวนลมแล้วเดินลอดอุโมงค์ข้ามฝั่งไป


จากอุโมงค์เดินขึ้นมาก็เจอกับบรรยากาศที่ต่างจากฝั่งไทยอย่างสิ้นเชิง ที่เห็นชัดๆคือดินแดงๆกับฝุ่นที่ปลิวไปตามแรงลม เดินไประยะเหงื่อไม่ทันหยดก็ถึงตม.ของฝั่งลาวครับ จุดนี้เราก็เขียนบัตรเข้าแดนและยื่นพาสสปอร์ตพร้อมเงินอีกคนละ 100บาทผ่านช่องหน้าต่างไป รอบๆตม.ก็จะมีที่แลกเงิน อัตราแลกเปลี่ยนตรงนี้คือประมาณ 249กีบกว่าต่อหนึ่งบาท.. อีกครั้งนะครับ ประมาณ 249กีบต่อหนึ่งบาท แต่ด้วยความที่เคยอ่านเจอมาว่าอัตราแลกเปลี่ยนในเมืองจะดีกว่าเราก็เลยยังไม่ได้แลกเงินที่ตรงนี้

หลังจากทำเรื่องผ่านแดนเรียบร้อยกลับไปนั่งรอบนรถสักพักก็ออกเดินทางต่อ การนั่งรถบนฝั่งลาวนี่นั่งเพลินๆอาจจะนึกว่าตัวเองอยู่อเมริกาได้เพราะรถทุกคันจะขับชิดขวา แต่ถ้าใส่ใจรายละเอียดรอบข้างสักเล็กน้อยก็จะพบว่าสองข้างทางนี่ไม่อเมริกาเลยแต่เหมือนต่างจังหวัดบ้านเราเน้นๆเลยครับ มีทุ่งนา มีวัวมีควาย ที่จะแตกต่างจากบ้านเราที่สุดก็ถนนนี่ละครับ เป็นถนนขนาดสองเลนสวนกันที่ไม่มีเส้นแบ่งกลางกับเส้นขอบทาง ตลอดทางก็เป็นถนนลาดยางสลับดินแดงบ้างเป็นจังหวะๆไป อีกสิ่งที่พบได้บ่อยเป็นระยะๆยิ่งกว่าป้ายบอกทางไปสุวรรณภูมิก็คือหลุม เห้ยนี่มันถนนหลวงนะเว้ยย

จากด่านเข้าไปตัวเมืองปากเซต้องใช้เวลาอีกนานพอสมควรซึ่งก็เหมือนเดิมครับหลับๆตื่นๆ ระหว่างทางก็ได้คุยกับกลุ่มพี่ผู้หญิงสามคนที่นั่งใกล้ๆกันได้ความว่าพี่แกมางานแต่งเพื่อนคนลาว

นั่งมาสักพักใหญ่ๆก็ถึงแล้วครับเมืองปากเซโดยการเข้าเมืองรถจะข้ามแม่น้ำโขงผ่านสะพานมิตรภาพลาว-ญี่ปุ่น แม่น้ำโขงกว้างมากครับ กว้างมาก .... กว้าง....... .. เยสโด้โคอาล่า.. นี่มันจะกว้างเกินไปละ สำหรับผมที่ปกติเห็นแม่น้ำเจ้าพระยาว่ากว้างแล้วมาเจอแม่น้ำโขงช่วงนี้คือเจ้าพระยานี่เป็นคลองรังสิตไปเลย



สภาพตัวเมืองปากเซมองผ่านก็คล้ายๆกับบ้านเมืองในไทยนี่แหละครับ มีตึกแถว ตลาด มีรถตุ๊กๆมอเตอร์ไซค์วิ่งกันตามถนน รถบัสเราวิ่งวนในเมืองแล้วก็เข้าจอดที่สถานีขนส่งหลักสี่ ขึนชื่อว่าสถานีขนส่งแต่จริงๆแล้วก็เป็นแค่ห้องแถวสองคูหาริมถนนเท่านั้นเองครับ

พอลงจากรถมาก็มีพี่ๆคนตุ๊กๆเข้ามารุมถามเลยครับว่าจะไปไหน? มีรถหรือยัง? เราก็ยังไม่ได้ตัดสินใจกันว่าจะไปไหนต่อเพราะไม่ได้จองโรงแรมไว้ กะว่าจะคอสเพลย์ตัวเองเป็นเรย์แมคฯกับอนันดา แบกเป้วอล์คอินชิคๆหาที่พัก เพราะเท่าที่ดูมาปากเซเป็นเมืองที่มีเกสต์เฮาส์และโรงแรมเยอะมาก แต่หันไปดูแดดตอนเที่ยงข้างนอกแล้วท้อแท้เลยครับ หนูจะมีแรงเดินหาโรงแรมมั้ยเนี่ยยย จนซื้อตั๋วเที่ยวกลับอุบลไว้แล้วก็ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอายังไง เพราะถึงขึ้นตุ๊กๆไปก็ไม่รู้จะบอกให้เขาไปส่งที่ไหนเพราะในหัวผมตอนนี้มีชื่อโรงแรมเดียวครับคือโรงแรมลานคำที่เห็นบ่อยๆตามกระทู้รีวิว

ระหว่างที่เรย์แมคฯกับอนันดากำลังตัดสินใจว่าจะไปทางไหนดีก็มีเสียงสวรรค์ดังขึ้นมา
“น้องจะไปไหน? ไปกับพวกพี่มั้ยเดี๋ยวเพื่อนพี่มารับ แล้วไปไหนบอกได้เดี๋ยวเขาไปส่งให้”

พี่ผู้หญิงสามคนบนรถนั่นเองงง เรามองหน้ากันแล้วก็ตัดสินใจในเสี้ยววิฯ ดูเป็นคนใจง่ายนะครับแต่จังหวะนั้นคือมันเคว้งจริงๆ ตอนเดินออกไปขึ้นรถผมเห็นหน้าพี่ตุ๊กๆนี่เซ็งเลยครับ ได้แต่คิดในใจว่าไว้โอกาสหน้าละกันเนอะ เค้าล้อเล่น


รถที่จอดรอรับเราอยู่เป็นรถโตโยต้าฟอร์จูเนอร์สีขาว เจ้าของเป็นพี่ผู้ชายชื่อพี่ทิพย์ เป็นคนลาวที่เป็นเพื่อนของพี่ต่าย, พี่ออ และอีกคนที่ผมจำชื่อไม่ได้ ต้องขอโทษจริงๆครับแล้วถ้าพี่ผ่านมาเห็นขออย่าน้อยใจแล้วช่วยPMมาหาหน่อยนะครับบ ร้องไห้

“ค่อยๆคิดละกันนะว่าจะไปไหน เดี๋ยวพี่ทิพย์เขาจะพาไปกินข้าวก่อน” คือสิ่งที่พี่ต่ายบอกเราหลังจากรู้ว่าเรายังไม่มีที่ไปและไม่ได้เล็งโรงแรมไหนไว้เลย ระหว่างทางก็นั่งคุยกันไปเพลินๆพร้อมกับชมตัวเมืองไปด้วย พี่ต่ายคุยให้ฟังว่าพี่ทิพย์เป็นเพื่อนเขาสมัยเรียนที่ราชภัฏอุบล เป็นเสี่ยใหญ่ในปากเซ O,.O เพราะฉะนั้นอยากไปไหนบอกเดี๋ยวพี่เขาพาไป

สักพักพี่ทิพย์ก็มาจอดที่ร้านเฝอซึ่งเป็นก๋วยเตี๋ยวเวียดนาม พี่เขาอธิบายว่าที่ลาวจะมีอาหารเวียดนามเยอะทั้งพวกเฝอ, ไข่กระทะ, แซนด์วิชขนมปังฝรั่งเศส อะไรพวกนี้เพราะที่ลาวนี้มีคนเวียดนามมาอาศัยอยู่เยอะ ถ้าเปรียบกันก็จะเหมือนคนจีนที่มาตั้งรกรากอยู่ในประเทศไทย

เฝอร้านนี้ชามใหญ่มากกแถมอร่อยด้วย มีทั้งเฝอเนื้อ/หมู/ไก่ ให้เลือก พี่เขาใจดีมากครับ ชวนคุยถามชื่อ ถามว่ามาจากไหนเรียนอะไร แถมยังชวนกินชามที่สองด้วยครับแต่เราก็ปฏิเสธไป พอเชคบิลพี่ทิพย์แกก็จ่ายให้ครับ ดีไปมื้อแรกมีเสี่ยเลี้ยงแต่เราแอบได้ยินราคาว่าเฝอมื้อนี้ชามละ 25,000 กีบหรือประมาณ 100บาท!! อ้อหอวว หน้าชาเลยครับทำไมมันแพงอย่างนี้ ดีนะไม่ได้เบิ้ล นาทีนั้นคือเกรงใจพี่เขามาก จนเดินออกมาหน้าร้านเห็นป้ายชื่อถึงอ๋อว่าร้านนี้คือร้านเฝอลานคำ เฝอร้านยอดนิยมของคนไทยที่มาเที่ยวปากเซโดยร้านออริจินัลเขาอยู่ใต้ถุนโรงแรมแต่ร้านที่ผมมานั่งกินกันเป็นสาขาที่อยู่ริมแม่น้ำเซโดนครับ

หลังทานข้าวพี่เขาก็จะพาไปหาที่พักต่อ เราที่ไม่รู้เรื่องอะไรก็เลยบอกไปว่าขอราคาประมาณไม่เกินสามร้อยบาทต่อคนละกัน พี่เขาพาวนสักพักแล้วไปจอดที่โรงแรมคำฟองแล้วลงไปคุยเรื่องห้องให้ปรากฎว่าเราได้ราคาพิเศษเพราะเจ้าของโรงแรมเป็นเพื่อนพี่ทิพย์โดยได้ห้องเตียงคู่มาสองห้องในราคา 1,100บาทก็ตกคนละ 220บาทเอง ประหลาดใจ

หลังจากส่งเราเข้าโรงแรมเรียบร้อยพวกพี่เขาก็ลาไปทำธุระเขาต่อครับ ก่อนจะไปก็ยังมีการให้เบอร์โทรศัพท์ไว้เผื่อมีปัญหาอะไรให้เราโทรหาได้แต่เราก็โชคดีที่ไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องขอความช่วยเหลืออะไรไป แต่ก็ทำให้นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เจอพวกพี่เขา

02: แก๊งพี่ต่าย+พี่ทิพย์



หลังจากเก็บของเข้าห้องและเข้าสู่โลกโซเชี่ยลได้สักพักเราก็ได้เวลาออกไปเดินเล่นในเมืองปากเซแล้วครับ
ชื่อสินค้า:   ปากเซ - นครจำปาสัก - ล่องมหานทีศรีพันดร - หลี่ผี - คอนพะเพ็ง
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่