แชร์ประสบการณ์ผ่าคลอดท้องสองค่ะ

เคยเขียนเล่าประสบการณ์ผ่าท้องคลอดครั้งแรกไปแล้วเมื่อประมาณ 4 ปีที่แล้ว ตอนนั้นคิดว่าคงจะเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิตกับประสบการณ์แบบนี้ เพราะเป็นคนที่ท้องยากพอสมควร แต่เมื่อฟ้ามีใจส่งเจ้าลูกชายมาให้อีกหนึ่งคน ก็ขอเล่าเรื่องราวการผ่าคลอดของเด็กคนนี้ด้วยเลยละกันนะค่ะ เผื่อเป็นความรู้สำหรับแม่ๆ มือใหม่ในพันทิพนะค่ะ

หลังจากนัดวันผ่ากับคุณหมอเรียบร้อย (ที่ผ่าเพราะว่าท้องแรกก็มีสาเหตุให้ผ่าค่ะ ท้องนี้เลยต้องผ่าอีกครั้ง) สิ่งแรกที่พอจะเซ็งล่วงหน้าคือ การที่ต้องนอนใน รพ หลายวัน เพราะจำได้ว่าท้องแรก นอนไป สะ 4 คืน 5 วัน อยู่ รพ จนอยากจะร้องไห้ แต่ท้องนี้ รพ ปรับแพ็กเก็ตการคลอด เป็น 3 คืน 4 วัน แทน โอ้ว ดีขึ้นมาหน่อย

ถึงวันนัด ไปเตรียมตัวที่ รพ แต่เข้า มีคิวผ่ากับคุณหมอประมาณ 11 น. แต่ต้องไปถึง รพ ตั้งแต่ 8.00 เพื่อเตรียมเรื่องเอกสาร เตรียมตัวให้พร้อมก่อนเข้าห้องผ่าคลอด ก็คือ การทำความสะอาดหน้าท้อง การสวน อะไรแนวนี้

หลังจากเสร็จตามกระบวนการเตรียมตัวทุกอย่างแล้ว ก็รอให้ถึงเวลา ระหว่างนั้นพยาบาลก็มาเจาะเลือด เจาะเข็มน้ำเกลือ ปรากฏว่าต้องโดนเจาะไปสองรอบ เพราะมือซ้ายเลือดไม่เดิน เลยต้องเจาะข้างขวาใหม่อีกที ท้องสอง เจ็บสองต่อ โอเคค่ะ ท้องนี้เหมือนจะไม่ค่อยตื่นเต้นกับขั้นตอนของการเตรียมการสักเท่าไหร่ เพราะรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว

พอถึงเวลาเจ้าหน้าที่ก็ให้ขึ้นนอนบนเตียงเข็นเข้าห้องผ่าคลอด ส่วนคุณสามี ก็ต้องรอคำอนุญาติจากคุณหมอวิสัญญีอีกทีว่าจะให้เข้าไปด้วยรึเปล่า ส่วนหมอสูติผ่านไม่มีปัญหา แต่ครั้งนี้ทาง รพ ไม่อนุญาติให้ถ่ายรูปในห้องผ่าคลอด เพราะเคยมีกรณีที่เข้าไปถ่ายวิดีโอแล้วเอาไปโพสลงใน youtube แล้วเค้าถ่ายเห็นในลักษณะการทำงานของแพทย์ และภาพน่าหวาดเสียวในขั้นตอนการผ่าตัด ทาง รพ ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิคนไข้และแพทย์ ตอนหลังเลยไม่อนุญาติให้ถ่ายรูป อิช้านเลยอดได้รูปคุณลูกชายและเสียงแรกตอนออกจากท้องแม่เลย

เข้าไปถึงห้องผ่าตัด คุณหมอวิสัญญียังไม่มา เลยต้องนอนรอก่อน ย้ายจากเตียงรถเข็นเข้าไปประจำการที่เตียงผ่าตัด  ซึ่งมีขนาดเท่าลำตัวจริงๆ ขยับไม่ได้นะ ตกเตียงเลยแหละ ตอนนั้นยังรู้สึกชิลๆ ความตื่นเต้นยังไม่มา ก็นอนรอพร้อมสังเกตสภาพห้องไปเรื่อยๆ (ท้องแรกไม่ได้สังเกตอะไรเลย ตื่นเต้น และอีกอย่างตอนท้องแรกหมอวิสัญญีมารออยู่ก่อนแล้ว) สภาพในห้องก็เหมือนห้องผ่าตัดทั่วไป มีโคมไฟใหญ่สามชุด กลางหัวเตียงที่นอนอยู่ตรงกลางห้อง จนท ก็เตรียมอุปกรณ์ต่างๆ เพื่อรอหมอมาปฏิบัติการ แอบสังเกตอย่างหนึ่งว่าอุปกรณ์ที่นำมาใช้ จะได้รับการห่อผ้าสีเขียวมาอย่างดี โดยจะห่อมา 2 ชั้น ชั้นแรกจะใช้สำหรับรองมือ จนท ที่มาจัดเรียงอุปกรณ์มาวาง คือ มือของ จนท จะไม่สามารถหยิบจับสัมผัสอุปกรณ์ได้โดยตรงเลย นอกจากนั้นก็จะมี จนท อีกส่วนที่เตรียมเหมือนเป็นชุดเตียงเล็กๆ สำหรับรับเด็กหลังออกมาแล้ว ตรงฝาผนังของห้องก็จะมีบอร์ดที่เขียนรายละเอียดของเคส การผ่าเอาไว้ คนไข้ ชื่ออะไร รายละเอียดอื่นๆ ทั้งอายุ วันเดือนปีเกิด กรุ๊ปเลือด อายุครรภ์ หมอสูติเป็นใคร หมอวิสัญญีเป็นใคร ประมาณนี้ค่ะ

นอนรอไปสักพัก เริ่มปวดหลัง หายใจไม่ออก หนักท้อง เพราะนอนหงาย เลยขอ จนท ขอเปลี่ยนเป็นนอนตะแคงรอแทนได้มั้ย จนท ก็ใจดีมาช่วยกัน ขยับให้นอนตะแคง เพราะถ้าขยับเองมีหวังตกเตียงก่อนได้ผ่าค่ะ รออีกแป๊ป หมอวิสัญญีก็เข้ามา แนะนำตัว ซักถามประวัติกับเราอีกรอบ ชวนคุยโน่น นั่น นี่ เพื่อให้เราผ่อนคลาย แล้วอธิบายขั้นตอนการบล็อกหลัง ก่อนจะเริ่มปฏิบัติการ พยาบาลก็ถามหมอว่าสามีอยากจะเข้ามาให้กำลังใจ หมอจะอนุญาติมั้ย คุณหมอใจดีให้เข้ามาได้ค่ะ เอ้อ ดีใจสุดๆ เพราะตอนนี้ความตื่นเต้นที่คิดว่าไม่น่าจะมีมันมาแล้วค่ะ ถึงจะเคยมีประสบการณ์ แต่ยังไงมันก็ยังตื่นเต้นและกลัวอยู่ดี

คุณหมอเริ่มปฏิบัติการบล็อกหลัง เข็มขนาดไหนอย่าได้ถามไม่ทราบค่ะ รู้แต่ว่าให้นอนงอตัวกอดเข่าเหมือนกุ้ง แล้วนึกสภาพคนท้องโตๆ ต้องนอนกอดเข่าคุดกู้ขนาดนั้น ความอึดอัดก็บังเกิดสิค่ะ คุณหมอเริ่มลงเข็ม ก็รู้สึกเจ็บนิดหน่อยแต่ไม่ถึงขั้นมากมาย ตามที่เคยจินตนาการ เพราะเคยได้ยินว่าใช้เข็มใหญ่มากกก แต่ทั้งสองครั้งที่ผ่านมาไม่เคยมีโอกาสเห็นเข็มเลย เลยไม่รู้ว่ามันใหญ่จริงรึเปล่า ยาเริ่มออกฤทธิ์ เริ่มรู้สึกเป็นเหน็บชาไปทั้งช่วงล่าง ตอนนั้น จนท ช่วยกันพลิกตัวกลับมานอนหงายในท่าเตรียมพร้อมแล้วนะค่ะ พยาบาลมาบอกขอสวนสายฉี่ ก็ไม่รู้สึกหรอกว่าเจ็บยังไง

ตอนนั้นยายังออกฤทธิ์ไม่เต็มที่ ขายังกระดิกได้อยู่ แต่รู้สึกชาไปหมดแล้ว เริ่มรู้สึกหายใจไม่ออก ก็เลยบอกหมอวิสัญญี แกก็บอกว่าใจเย็นๆ เดี่ยวดีขึ้นค่ะ แล้ว แกก็สั่งเพิ่มตัวยาอะไรสักอย่างไม่รู้ ตอนนั้นความกลัวมันบังเกิดขึ้นมาเลยค่ะ กลัวตาย กลัวหายใจไม่ออก บอกหมอตลอดเวลา หมอก็บอกว่าตอนนี้ยังไม่มีอะไรผิดปกตินะ หมอก็พยายามชวนคุยเรื่องโน่นเรื่องนี้ไปเรื่อย เพื่อให้เราผ่อนคลาย ถามเรื่องลูกคนโน้น คนนี้ คุยไปเรื่อย แต่ตอนนั้นรู้สึกว่าจะเริ่มชามาถึงปลายมือ ช่วงบ่าก็รู้สึกหนักๆ เลยรีบถามหมอว่ามันปกติมั้ย คือ ในใจกลัวมันชามากเกินไปจนถึงหัวใจ 55 แอบกลัวหัวใจหยุดเต้น กลัวตาย ระหว่างนั้นหมอก็เอาเครื่องช่วยหายใจมาใส่ให้เป็นระยะ เพื่อให้หายใจคล่องขึ้น พร้อมบอก หมอให้ยามากกว่าปกตินิดหน่อยเพราะในเคสนี้ต้องทำหมันต่อ ไม่อย่างงั้นเกรงว่ายาจะหมดฤทธิ์เร็วไป

ก็สรุปว่าอยู่กับความกลัว ความทรมานของการหายใจไม่ออก สักพักนึง ก็ดีขึ้น จนคุณหมอสูติเข้ามาคุยด้วย ตอนนั้นยังรู้สึกว่าเท้ายังสามารถกะดิกได้อยู่ ความกลัวมาอีกรอบรีบบอกหมอเลยว่าเท้ายังกระดิกได้อยู่เลยหมอ 55 หมอเลยต้องคอนเฟริมว่า ไม่ต้องกลัวค่ะ ถ้ายังรู้สึกเจ็บเราจะไม่ผ่าแน่นอนค่ะ

หมอสูติลงมีดไปตอนไหนไม่ทราบ จู่ๆหมอวิสัญญีบอกว่าหมอเริ่มผ่าแล้วนะค่ะ อิช้านก็ อ้าวหมอผ่าแล้วเหรอ เออช้านไม่เจ็บนี่หว่า โอเคค่ะงั้น 55 หลังจากนั้นคุณสามีก็ได้เข้ามาให้กำลังใจ ยืนกุมมือเราไว้ ความอุ่นใจมันเกิดขึ้น อย่างน้อยถ้าช้านเป็นอะไรไปในห้องนี้ ก็ยังได้มีเธอยืนกุมมือช้านอยู่ ตอนนั้นคิดแบบนั้นจริงๆ นะค่ะ

ผ่านไปแค่อึดใจ เริ่มรู้สึกแน่นที่กน้าอก รู้เลยว่าเค้ากำลังจะเอาน้องออกมาจากท้องละ เลยถามหมอว่า ลูกกำลังจะออกมาแล้วใช่มั้ยค่ะ หมอบอกเค้ากำลังดึงน้องออกมานะ อึดอัดแป๊ปนึง ก็ตามนั้นค่ะ แค่แป๊ปเดียวก็ได้ยินเสียงเด็กชายน้อยของแม่ร้องไห้เสียงดังเลยค่ะ ทีม จนท ที่รับเด็กก็รับเด็กไปเช็คทำความสะอาดที่เตียงเล็กๆ ตามที่บอกตอนต้นนะค่ะ ซึ่งวางด้านข้างของเตียงผ่าตัด แม่มันก็เลยได้มีโอกาสมองดูลูกในตอนนั้นก็ลืมไอ้ที่หมอกำลัง ทำๆ กับท้องตัวเองไปเลยค่ะ

หลังจาก จนท จัดการตามขั้นตอนกับเด็กเรียบร้อยก็เอามาให้แม่หอมแก้มสองฟอด แล้วก็ต้องพาออกไปอีกห้อง ถึงตอนนั้นก็ให้คุณสามีตามไปดูลูก ส่วนตัวแม่ก็จัดการกับการทำหมันและเย็บปิดแผลต่อไป แต่หลังจากที่เอาลูกออกไปจากท้องแล้ว ความกลัวความกังวลมันหายไปหมดเลยค่ะ ตอนนั้นเริ่มง่วงเลยนอนหลับตาสบาย แต่ไม่หลับนะค่ะ

จนเสร็จหมอสูติเดินมารายงานการผ่าตัด แล้วก็ขอตัว ก็ขอบคุณคุณหมอไป หลังจากนั้นก็เป็นงานของ จนท ในเรื่องของการทำความสะอาด แล้วส่งตัวเราไปพักที่ห้องสังเกตุอาการหลังผ่าตัด ก่อนออกจากห้องก็มีโอกาสได้ขอบคุณทีมงาน จนท ทุกท่าน พร้อมกับคุณหมอวิสัญญี ซึ่งถ้าเทียบกับครั้งแรก ประสบการณ์การบล๊อกหลังของเราไม่ค่อยดีนัก ตอนนั้นความดันลดต่ำมาก หมอต้องช่วยกันวุ่นวาย กว่าจะเริ่มผ่าตัดได้

ความตื่นเต้นยังไม่หมดแค่นี้ค่ะ หลังจากที่โดนส่งตัวมานอนที่ห้องสังเกตอาการหลังผ่าตัด คุณหมอวิสัญญีก็น่ารักนะ แกยังตามมาดูแลต่อในห้องนี้อีก พยาบาลเริ่มเข้ามาเช็คอาการ และจับตรงท้อง พร้อมพูดออกมาว่า ทำไมมดลูกสูงจัง ตอนแรกอิช้านก็ยังไม่คิดอะไร เห็นพยาบาลเดินออกไป สักพักกลับเข้ามาใหม่ พร้อมพยาบาลคนอื่นด้วย มามุงดูมดลูกอิช้านกันใหญ่ พยาบาลก็พูดๆ กันมันสูงกว่าปกตินะ คือพวกเธอบอกว่าปกติมันไม่น่าสูงเกินสะดือไปกว่า 2 ข้อนิ้วอะไรแบบนี้แหละค่ะ แต่ของอิช้านมันปาเข้าไปตั้ง 4 ข้อนิ้ว ประมาณนั้น หลังจากนอนฟังอยู่สักแป๊ป ปากไวกว่าความคิด ถามออกไปเลย มันสูงแบบนี้อันตรายมั้ยค่ะ ได้คำตอบกลับมา แบบไม่ค่อยเต็มใจตอบ คงกลัวคนไข้ตกใจ แต่ยังไงก็ต้องตอบว่า ถ้าเป็นแบบนี้ มันมีโอกาสตกเลือดสูงค่ะ เอาแล้วค่ะ พารานอยซ์กลัวตายมาอีกรอบ พยาบาลเข้าไปคุยกับหมดวิสัญญีปรึกษากัน ได้ยินว่า ได้เข้าไปบอกหมอสูติเรียบร้อยแล้ว คือตอนนี้หมอสูติท่านนั้นกำลังติดผ่าคลอดอีกห้องนึงอยู่ เสร็จแล้วจะรีบออกมาดูเลย คือ ต่อจากเคสเราหมอท่านก็วิ่งเข้าห้องผ่าอีกห้องต่อเลยค่ะ

ระหว่างนั้นก็นอนอกสั่นขวัญหายกันไปก่อนค่ะ คือนอกจากกลัวตาย ตอนนั้นยังกลัวต้องโดนผ่าอีกรอบเพื่อจัดการกับมดลูกรึเปล่า 55 คิดไปได้เนอะ ไม่เกินครึ่งชม. หมอสูติ ก็แวะมาดู แกบอกว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร มดลูกแข็งดี เดี๋ยวจะค่อยๆ เลื่อนลงไปเอง ตอนนี้สูงนิดหน่อย หมอออกไป พร้อมทีมพยาบาลเข้ามา 2-3 มารุมกันที่หน้าท้องของอิช้าน กดมดลูกคร่า กดให้มันต่ำลงไป แล้วก็รีดเลือดที่คั่งอยู่ข้างในให้ออกมา พยาบาลกดทีนึง เลือดกระฉูดออกมายังกะกำลังฉี่เลยค่ะ แต่ได้ผลค่ะ มดลูกค่อยๆ เลื่อนต่ำลง

จนสักพักก็ได้ย้ายเข้าห้องพักปกติ โดยคุณหมอให้นอนราบ 1 คืน ถ้าตะแคงได้ ก็ให้พยายามตะแคง แล้วคืนที่ 1 ก็ผ่านไป พร้อมกับอิช้านโดนพยาบาลจัดหนักกดมดลูกรีดเลือดไปทุก 2-3 ชม ยังไงก็ต้องขอบคุณพวกเธอค่ะ เพราะอิช้านไม่ตกเลือด รอดตายมาได้ ก็เพราะมือหนักๆของพวกเธอทุกคนค่ะ ส่งผลให้รุ่งเช้าของวันต่อมา มีความรู้สึกว่ามันเจ็บระบมไปหมดทั้งมดลูก คงเพราะแรงกด แต่ดีกว่าตกเลือดตายค่ะ

หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรตื่นเต้นแล้วค่ะ ตามสภาพ ถอดสายฉี่ออกในวันรุ่งขึ้น ถอดสายน้ำเกลือ เริ่มลุกขึ้นเดิน ไม่ค่อยรู้สึกปวดแผลสักเท่าไหร่ อยากจะบอกแม่ๆ ที่ผ่าคลอดว่าให้พยายามลุกขึ้นเดินนะค่ะ แล้วจะไม่ค่อยเจ็บแผล ยิ่งนอนนานเท่าไหร่ ยิ่งเจ็บแผลมากเท่านั้นค่ะ

ระหว่างนอนรอให้ครบ 3 คืน 4 วัน ก็เอาลูกมาเลี้ยงบ้างค่ะ ในช่วงเช้าๆ ของแต่ละวัน ช่วงบ่ายๆ ก็ส่งกลับค่ะ ด้วยสภาพร่างกายยังไม่พร้อมจะเลี้ยงลูกทั้งวันทั้งคืนค่ะ

ข้อดีอย่างนึงของ รพ ที่นี่คือ เค้าจะดูแลเด็กให้ค่ะ ไม่ได้ให้มาอยู่กับแม่ทั้งวันทั้งคืน แล้วแต่ว่าแม่จะรับมาตอนไหน เพราะเราว่าในสภาพของแม่หลังคลอด ความเจ็บป่วยทางร่างกายคงจะไม่ค่อยอำนวยกับการเลี้ยงลูกสักเท่าไหร่ การที่ รพ รับเลี้ยงให้ก็ถือเป็นสิ่งที่ดี ที่แม่จะได้พักผ่อน เพราะยังไงเดี๋ยวหลังกลับมาบ้าน อิแม่ก็ต้องดูแลดูเต็มที่อยู่แล้วค่ะ เคยไปเยี่ยมเพื่อนที่ รพ อื่นบางที แม่เพิ่งคลอดลูกเสร็จ ยังนอนไม่รู้สึกตัว เค้าก็เอาลูกมาให้นอนอยู่ข้างๆ แล้ว คือมองในมุมความผูกพันแม่ลูก ก็คงจะดีค่ะ แต่ถ้ามองในมุมความพร้อมของแม่ มันก็ไม่ใช่นะ อันนี้ก็แล้วแต่คนค่ะ ใครชอบแบบไหน

ก็ขอจบแค่นี้นะค่ะ ยาวไปหน่อย เพราะอิช้านมีความรู้สึกกลัวเยอะคร่า 55 อาจจะพอเป็นประโยชน์กับแม่ๆ มือใหม่คนอื่นได้บ้างนะค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่