ปูและพวกถึงเวลาใช้กรรม สร่างบรรทัดฐานใหญ่แค่ไหนผิดต้องลงโทษ ...ผ่าประเด็นร้อน
การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)
แสดงจุดยืนส่งสัญญาณชัดเจนว่า ปรองดองต้องไม่ใช่ปล่อยคนทำผิดกฏหมายทำลายชาติ
ลอยนวล คนทำผิดต้องถูกลงโทษ และจะไม่ยอมให้มีกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านหลัง
วันชี้ชะตาถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิดในวันที่ 23 ม.ค.นี้ฐานละเว้น
ปฏิบัติหน้าที่ปล่อยให้เกิดมหกรรมโกงชาติปล้นแผ่นดินอย่างมโหฬารในโครงการรับจำนำ
ข้าวซึ่งสร้างความเสียหายครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ถือเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพราะ
หากกฏหมายไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ปล่อยให้คนเลวทำผิดแล้วลอยนวล ประเทศก็คงอยู่ไม่ได้
เพราะไร้หลักยึด
ส่วนที่ฝ่ายระบอบทักษิณจับประเทศเป็นตัวประกันและขู่ว่า หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพวกถูกลงโทษ
ตามความผิดที่ก่อขึ้นเท่ากับล้มการปรองดองนั้น ถือเป็นข้ออ้างแบบตะแบงของอันธพาลถ่อยดิบเถื่อน
และสะท้อนทัศนคติฉ้อฉลคิดไม่ซื่ออยู่ตลอดเวลาโดยพร้อมจะทำสิ่งชั่วร้ายได้ทุกอย่างเพื่อให้บรรลุ
เป้าหมายของตัวเอง ทั้งนี้การสร้างความปรองดองกับการลงโทษผู้กระทำผิดกฏหมายบ้านเมืองเป็น
คนละเรื่องกันอย่างสิ้นเชิง เพราะไม่อย่างนั้นโจรที่ฆ่าคนตายหรือคนที่โกงชาติปล้นแผ่นดินคนอื่นๆอาจ
เรียกร้องขอให้ตัวเองพ้นผิดแล้วอ้างเพื่อความปรองดอง ซึ่งหากเป็นอย่างนั้นสังคมจะอยู่ได้อย่างไร
กรณีโครงการรับจำนำข้าวนั้นทั้งข้อกฏหมายและข้อเท็จจริงปรากฏชัดเจนว่าเป็นโครงการที่ออกแบบ
มาเพื่อโกงชาติปล้นแผ่นดินอย่างมโหฬาร เพราะไม่มีที่ไหนที่รัฐรับจำนำข้าวทุกเมล็ดโดย
ตั้งราคารับจำนำสูงกว่าราคาตลดเกือบเท่าตัว เท่ากับซื้อขาดจากชาวนานั่นเองแล้วใช้เงินแผ่นดิน
มหาศาลที่กู้มาสร้างภาระการคลังให้ประเทศเกือบ 1 ล้านล้านบาทซึ่งต้องใช้เวลาอีกไม่ต่ำกว่า 30 ปี
ถึงใช้หนี้หมดละเลงไปกับการรับจำนำข้าว ซึ่งการตั้งราคารับจำนำสูงกว่าราคาตลาดเกือบเท่าตัวก็ด้วย
เหตุผล 2 ประการคือ ด้านหนึ่งเพื่อใช้เงินแผ่นดินหาเสียงสร้างคะแนนจากชาวนาแบบอัฐยายซื้อขนม
ยายโดยไม่คำนึงถึงความพินาศล่มจมที่จะเกิดกับประเทศ แต่ที่สำคัญและเป็นเป้าหมายหลักก็คือ ช่อง
ทางโกงชาติปล้นแผ่นดินมโหฬารด้วยการนำเข้าข้าวคุณภาพต่ำราคาแค่ตันละ 3,000-4,000 บาทจาก
ประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ เขมร พม่า เวียดนาม เข้ามาสวมสิทธิ์เข้าโครงการรับจำนำข้าวในราคาตันละ
15,000 บาทกินส่วนต่างกำไรถึงตันละกว่า 10,000 บาท และยังมีวิธีโกงอีกสารพัด
นอกจากเป็นโครงการมหกรรมโคตรโกงแล้ว หายนะที่ตามมาจากโครงการรับจำนำข้าว
ในราคาสูงกว่าตลาดเกือบเท่าตัวยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็คือทำให้รัฐขาดทุนเบื้องต้นกว่า 5 แสนล้านบาท
ไม่รวมข้าวที่ขายไม่ออกเสื่อมคุณภาพค้างอยู่ในสต๊อกอีกเกือบ 20 ล้านบาท และข้าวหายอีกมูลค่า
มหาศาลซึ่งคาดว่าจะทำให้ยอดความเสียหายรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 7 แสนล้านบาท
การถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ นั้นแม้จะไม่ได้ถูกชี้มูลความผิดฐานทุจริตโดยตรง แต่ก็ส่อพฤติกรรมรู้เห็น
เป็นใจเพราะหลายฝ่ายเตือนแล้ว แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กลับดึงดันเดินหน้าโครงการทั้งๆที่มีข่าวการทุจริต
และสร้างความล่มจมแก่ประเทศมูลค่ามหาศาล
สำหรับการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวนั้นปรากฏหลักฐานชัดเจนจากผลการตรวจสอบของคณะกรรมการ
ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ในกรณีการจัดซื้อข้าวแบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจีจาก
สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีการชี้มูลความผิดรัฐมนตรียุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ 2 คนคือ นายบุญทรง
เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ และ นายภูมิ สาระผล อดีตรมช.พาณิชย์ โดยมีผู้ร่วมขบวนการทั้งที่เป็น
ข้าราชการระดับสูงและพ่อค้าซึ่งใกล้ชิดตระกูลชินอีกนับสิบคน
เพราะฉะนั้นเมื่อก่อกรรมอุกฤษณ์ไว้กับชาติบ้านเมืองก็ต้องรับกรรม และเชื่อว่าวันชี้ชะตา น.ส.ยิ่งลักษณ์
23 ม.ค.นี้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)คงไม่ปล่อยคนผิดลอยนวลโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนระดับอดีต
นายกฯและอดีตรัฐมนตรีหากโกงชาติปล้นแผ่นดินสร้างความเสียหายแก่ประเทศอย่างร้ายแรงต้องถูกลง
โทษอย่างสาสมเหมือนในนานาอารยะประเทศเพื่อเป็นบรรทัดฐานไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง
http://www.naewna.com/creative/140596
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีอะไรต้องปิดบังประชาชน ... คอลัมน์การเมือง ..แมวน้ำ..
วันที่23 มกราคมนี้ สนช.-สภานิติบัญญํติแห่งชาติก็จะลงมติว่า จะถอดถอน ค้อน
(สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์)- ไวรัสนิคม ไวยรัชพานิช)-ปู(ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร)หรือไม่ แต่เป็นที่น่าเสียดาย
ที่ สนช.เลือกที่จะประชุมลับ ทำให้การแก่ไขปัญหาเรื่องการละเมิดบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่ทั้งสามได้
กระทำอย่างโจ่งแจ้ง แต่ สนช. เลือกจะแก้ไขปัญหาในที่ลับ ซึ่งเท่ากับเป็นการกินในที่แจ้ง (แก้)ไข
ในที่ลับ
สนช.มีอะไรต้องปิดบังประชาชน จึงเลือกที่จะประชุมลับ ทำให้ประชาชนไม่สามารถทราบได้ว่าสมาชิก
คนใดเลือกที่จะถอดถอน และคนใดบ้างเลือกที่จะไม่ถอดถอน เพื่อที่จะได้สามารถสอบถามความเห็น
ของสมาชิกแต่ละคนได้
สนช.ถูกตั้งขึ้น โดยโปรแกรมให้ทำหน้าที่ “แก้ไขปัญหาของชาติ” ดังนั้นประชาชนก็มีสิทธิที่จะทราบว่า
แต่ละคนเลือกที่จะแก้ไขปัญหาด้วยการโหวตให้ถอดถอน หรือเลือกที่จะสร้างปัญหาเพิ่มเติมให้ประเทศ
ด้วยการโหวตไม่ถอดถอน
ทั้งนี้ก็เพราะ สนช.ชุดนี้กำลังทำหน้าที่เป็น “รัฐสภา” ซึ่งมีหน้าที่ถอดถอนนักการเมืองที่ศาลรัฐธรรมนูญ
วินิจฉัยแล้วว่า มีความผิด แต่เมื่อกระบวนการยังไม่สิ้นสุดเพราะไม่มีรัฐสภาทำให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ต้องทำหน้าที่รัฐสภา เพื่อสานต่อภารกิจในการถอดถอน ดังนั้นประเด็นที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ไม่สามารถนำมาอ้างว่า ทำไมจึงไม่ถอดถอน มีดังต่อไปนี้
1.
อ้างว่ารัฐธรรนูญฉบับที่ 18 ไม่มีผลบังคับใช้แล้ว เพราะว่าอำนาจนั้นอยู่ที่ตัวสมาชิกแต่ละคนแล้ว
เพราะสามารถโหวตถอดถอนหรือไม่ถอดถอน ไม่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญฉบับที่ 18 แต่อย่างใด
2.อ้างว่าไม่มีอำนาจเพราะรัฐธรรมนูญฉบับที่ 19(ฉบับชั่วคราว) มิได้มอบหมาย ซึ่งเมื่อสภานิติบัญญัติ
แห่งชาติบรรจุเรื่องถอดถอนเข้าเป็นวาระการประชุม ก็หมายความว่าสามารถพิจารณาเรื่องนี้ได้ และเมื่อ
มีมติแล้วว่า จะต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นกระบวนการถอดถอน ก็หมายความว่า สมาชิกทุกคนมีอำนาจ
ที่จะถอดถอนหรือไม่ถอดถอน นอกจากนั้นเมื่อสภานิคิบีญญัติแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภาที่มีหน้าที่ในการ
ถอดถอน ดังนั้นก็สามารถใช้มาตรา 6 เพราะถือเป็นประเพณีปฏิบัติ
3
.อ้างว่าไม่มีความผิดหรือความผิดไม่ชัดเจนเพราะรัฐธรรมนูญฉบับที่ 18 ไม่มีผลบังคับ คงอ้างไม่ได้
เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วว่า มีความผิดจริง ซึ่งทำให้ต้องพ้นตำแหน่งในทันที ถ้า
สภานิติบัญญัติเลือกที่จะไม่ถอดถอน ก็หมายความว่าไม่มึความผิด ผู้เสียหายทั้งสามก็สามารถฟ้องร้อง
ศาลรัฐธรรมนูญได้ ซึ่งก็หมายความว่า ปัญหายังไม่จบ
4.
อ้างว่าผู้เสียหายทั้งสามจะฟ้องร้องว่าสภานิติบัญญัติแห่งชาติใช้อำนาจเกินขอบเขต เรื่องนี้เป็นเรื่อง
ตลกปัญญาอ่อนที่สุด เพราะเมื่อรัฐธรรนูญฉบับที่ 20 กำลังจะมีผลบังคับใช้ ก็จะต้องมีมาตราหนึ่งที่ห้าม
มิให้มีการฟ้องร้อเอาผิด คสช.,สนช.สปช.ฯอย่างแน่นอน
ก็น่าเสียดายที่ประชาชนจะไม่สามารถทราบได้ว่า สมาชิกแต่ละคนที่โหวตไม่ถอดถอนนั้นคิดอย่างไร
แต่ที่แน่ๆก็คือ เมื่อสภานิติบัญญัติลงมติไม่ถอดถอน ซึ่งสวนกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และความ
เห็นของประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งก็เชื่อแน่ว่า จะเป็นการสร้างปัญหาซ้ำเติมมากกว่าการแก้ไขปัญหา อย่าง
น้อยก็จะเป็นแบบอย่างที่คนชั่วสามารถเดินตามรอยได้ ถึงรัฐบาลจะสามารถสยบความเคลื่อนไหวได้
แต่ก็เชื่อได้ว่า ระบอบทักษิณไม่หยุดแค่นี้
ป้ายแรก”ไม่ถอดถอน” ป้ายที่สองตามมาด้วย “ไม่ส่งฟ้อง” ป้ายสุดท้าย”นิรโทษ” รวมถึงได้รัฐธรรมนูญ
ฉบับไม้หลักปักขี้เลน ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญกลายเป็นเครื่องมือในการกดขี่ประชาชน ก็ยิ่งจะทำให้ปัญหา
ของประเทศเพิ่มมากขึ้น จนอาจจะทำให้เกิด “รัฐไทยใหม่”ได้จริงๆ และก็เชื่อว่าประชาชนที่เป็นขี้ข้า
แผ่นดินไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน รัฐบาลจะสามารถสยบปัญหาได้หรือ
ดังนั้น สนช.ก็จะกลายเป็นคำย่อของ“สำนึกชั่ว” หรือ”สุนัขรับใช้” หรือ”สภานิรโทษแห่งชาติ” เพราะ
ไม่ทำงานตามที่โปรแกรมไว้ แต่ทำไม “โปรแกรมเมอร์”ไม่สามารถแก้ไขได้
แมวน้ำ
http://www.naewna.com/politic/columnist/1649
มุมมอง "แนวหน้า" .... มั่นคง ตรงไป ตรงมา ... กับประเด็น "การถอดถอน" .../sao..เหลือ..noi
การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)
แสดงจุดยืนส่งสัญญาณชัดเจนว่า ปรองดองต้องไม่ใช่ปล่อยคนทำผิดกฏหมายทำลายชาติ
ลอยนวล คนทำผิดต้องถูกลงโทษ และจะไม่ยอมให้มีกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านหลัง
วันชี้ชะตาถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิดในวันที่ 23 ม.ค.นี้ฐานละเว้น
ปฏิบัติหน้าที่ปล่อยให้เกิดมหกรรมโกงชาติปล้นแผ่นดินอย่างมโหฬารในโครงการรับจำนำ
ข้าวซึ่งสร้างความเสียหายครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ถือเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพราะ
หากกฏหมายไม่มีความศักดิ์สิทธิ์ปล่อยให้คนเลวทำผิดแล้วลอยนวล ประเทศก็คงอยู่ไม่ได้
เพราะไร้หลักยึด
ส่วนที่ฝ่ายระบอบทักษิณจับประเทศเป็นตัวประกันและขู่ว่า หาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพวกถูกลงโทษ
ตามความผิดที่ก่อขึ้นเท่ากับล้มการปรองดองนั้น ถือเป็นข้ออ้างแบบตะแบงของอันธพาลถ่อยดิบเถื่อน
และสะท้อนทัศนคติฉ้อฉลคิดไม่ซื่ออยู่ตลอดเวลาโดยพร้อมจะทำสิ่งชั่วร้ายได้ทุกอย่างเพื่อให้บรรลุ
เป้าหมายของตัวเอง ทั้งนี้การสร้างความปรองดองกับการลงโทษผู้กระทำผิดกฏหมายบ้านเมืองเป็น
คนละเรื่องกันอย่างสิ้นเชิง เพราะไม่อย่างนั้นโจรที่ฆ่าคนตายหรือคนที่โกงชาติปล้นแผ่นดินคนอื่นๆอาจ
เรียกร้องขอให้ตัวเองพ้นผิดแล้วอ้างเพื่อความปรองดอง ซึ่งหากเป็นอย่างนั้นสังคมจะอยู่ได้อย่างไร
กรณีโครงการรับจำนำข้าวนั้นทั้งข้อกฏหมายและข้อเท็จจริงปรากฏชัดเจนว่าเป็นโครงการที่ออกแบบ
มาเพื่อโกงชาติปล้นแผ่นดินอย่างมโหฬาร เพราะไม่มีที่ไหนที่รัฐรับจำนำข้าวทุกเมล็ดโดย
ตั้งราคารับจำนำสูงกว่าราคาตลดเกือบเท่าตัว เท่ากับซื้อขาดจากชาวนานั่นเองแล้วใช้เงินแผ่นดิน
มหาศาลที่กู้มาสร้างภาระการคลังให้ประเทศเกือบ 1 ล้านล้านบาทซึ่งต้องใช้เวลาอีกไม่ต่ำกว่า 30 ปี
ถึงใช้หนี้หมดละเลงไปกับการรับจำนำข้าว ซึ่งการตั้งราคารับจำนำสูงกว่าราคาตลาดเกือบเท่าตัวก็ด้วย
เหตุผล 2 ประการคือ ด้านหนึ่งเพื่อใช้เงินแผ่นดินหาเสียงสร้างคะแนนจากชาวนาแบบอัฐยายซื้อขนม
ยายโดยไม่คำนึงถึงความพินาศล่มจมที่จะเกิดกับประเทศ แต่ที่สำคัญและเป็นเป้าหมายหลักก็คือ ช่อง
ทางโกงชาติปล้นแผ่นดินมโหฬารด้วยการนำเข้าข้าวคุณภาพต่ำราคาแค่ตันละ 3,000-4,000 บาทจาก
ประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ เขมร พม่า เวียดนาม เข้ามาสวมสิทธิ์เข้าโครงการรับจำนำข้าวในราคาตันละ
15,000 บาทกินส่วนต่างกำไรถึงตันละกว่า 10,000 บาท และยังมีวิธีโกงอีกสารพัด
นอกจากเป็นโครงการมหกรรมโคตรโกงแล้ว หายนะที่ตามมาจากโครงการรับจำนำข้าว
ในราคาสูงกว่าตลาดเกือบเท่าตัวยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็คือทำให้รัฐขาดทุนเบื้องต้นกว่า 5 แสนล้านบาท
ไม่รวมข้าวที่ขายไม่ออกเสื่อมคุณภาพค้างอยู่ในสต๊อกอีกเกือบ 20 ล้านบาท และข้าวหายอีกมูลค่า
มหาศาลซึ่งคาดว่าจะทำให้ยอดความเสียหายรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 7 แสนล้านบาท
การถอดถอน น.ส.ยิ่งลักษณ์ นั้นแม้จะไม่ได้ถูกชี้มูลความผิดฐานทุจริตโดยตรง แต่ก็ส่อพฤติกรรมรู้เห็น
เป็นใจเพราะหลายฝ่ายเตือนแล้ว แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์กลับดึงดันเดินหน้าโครงการทั้งๆที่มีข่าวการทุจริต
และสร้างความล่มจมแก่ประเทศมูลค่ามหาศาล
สำหรับการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวนั้นปรากฏหลักฐานชัดเจนจากผลการตรวจสอบของคณะกรรมการ
ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ในกรณีการจัดซื้อข้าวแบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจีจาก
สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยมีการชี้มูลความผิดรัฐมนตรียุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ 2 คนคือ นายบุญทรง
เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ และ นายภูมิ สาระผล อดีตรมช.พาณิชย์ โดยมีผู้ร่วมขบวนการทั้งที่เป็น
ข้าราชการระดับสูงและพ่อค้าซึ่งใกล้ชิดตระกูลชินอีกนับสิบคน
เพราะฉะนั้นเมื่อก่อกรรมอุกฤษณ์ไว้กับชาติบ้านเมืองก็ต้องรับกรรม และเชื่อว่าวันชี้ชะตา น.ส.ยิ่งลักษณ์
23 ม.ค.นี้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)คงไม่ปล่อยคนผิดลอยนวลโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนระดับอดีต
นายกฯและอดีตรัฐมนตรีหากโกงชาติปล้นแผ่นดินสร้างความเสียหายแก่ประเทศอย่างร้ายแรงต้องถูกลง
โทษอย่างสาสมเหมือนในนานาอารยะประเทศเพื่อเป็นบรรทัดฐานไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง
http://www.naewna.com/creative/140596
สภานิติบัญญัติแห่งชาติ มีอะไรต้องปิดบังประชาชน ... คอลัมน์การเมือง ..แมวน้ำ..
วันที่23 มกราคมนี้ สนช.-สภานิติบัญญํติแห่งชาติก็จะลงมติว่า จะถอดถอน ค้อน
(สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์)- ไวรัสนิคม ไวยรัชพานิช)-ปู(ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร)หรือไม่ แต่เป็นที่น่าเสียดาย
ที่ สนช.เลือกที่จะประชุมลับ ทำให้การแก่ไขปัญหาเรื่องการละเมิดบทบัญญัติรัฐธรรมนูญที่ทั้งสามได้
กระทำอย่างโจ่งแจ้ง แต่ สนช. เลือกจะแก้ไขปัญหาในที่ลับ ซึ่งเท่ากับเป็นการกินในที่แจ้ง (แก้)ไข
ในที่ลับ
สนช.มีอะไรต้องปิดบังประชาชน จึงเลือกที่จะประชุมลับ ทำให้ประชาชนไม่สามารถทราบได้ว่าสมาชิก
คนใดเลือกที่จะถอดถอน และคนใดบ้างเลือกที่จะไม่ถอดถอน เพื่อที่จะได้สามารถสอบถามความเห็น
ของสมาชิกแต่ละคนได้
สนช.ถูกตั้งขึ้น โดยโปรแกรมให้ทำหน้าที่ “แก้ไขปัญหาของชาติ” ดังนั้นประชาชนก็มีสิทธิที่จะทราบว่า
แต่ละคนเลือกที่จะแก้ไขปัญหาด้วยการโหวตให้ถอดถอน หรือเลือกที่จะสร้างปัญหาเพิ่มเติมให้ประเทศ
ด้วยการโหวตไม่ถอดถอน
ทั้งนี้ก็เพราะ สนช.ชุดนี้กำลังทำหน้าที่เป็น “รัฐสภา” ซึ่งมีหน้าที่ถอดถอนนักการเมืองที่ศาลรัฐธรรมนูญ
วินิจฉัยแล้วว่า มีความผิด แต่เมื่อกระบวนการยังไม่สิ้นสุดเพราะไม่มีรัฐสภาทำให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ต้องทำหน้าที่รัฐสภา เพื่อสานต่อภารกิจในการถอดถอน ดังนั้นประเด็นที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
ไม่สามารถนำมาอ้างว่า ทำไมจึงไม่ถอดถอน มีดังต่อไปนี้
1.อ้างว่ารัฐธรรนูญฉบับที่ 18 ไม่มีผลบังคับใช้แล้ว เพราะว่าอำนาจนั้นอยู่ที่ตัวสมาชิกแต่ละคนแล้ว
เพราะสามารถโหวตถอดถอนหรือไม่ถอดถอน ไม่เกี่ยวกับรัฐธรรมนูญฉบับที่ 18 แต่อย่างใด
2.อ้างว่าไม่มีอำนาจเพราะรัฐธรรมนูญฉบับที่ 19(ฉบับชั่วคราว) มิได้มอบหมาย ซึ่งเมื่อสภานิติบัญญัติ
แห่งชาติบรรจุเรื่องถอดถอนเข้าเป็นวาระการประชุม ก็หมายความว่าสามารถพิจารณาเรื่องนี้ได้ และเมื่อ
มีมติแล้วว่า จะต้องดำเนินการให้เสร็จสิ้นกระบวนการถอดถอน ก็หมายความว่า สมาชิกทุกคนมีอำนาจ
ที่จะถอดถอนหรือไม่ถอดถอน นอกจากนั้นเมื่อสภานิคิบีญญัติแห่งชาติทำหน้าที่รัฐสภาที่มีหน้าที่ในการ
ถอดถอน ดังนั้นก็สามารถใช้มาตรา 6 เพราะถือเป็นประเพณีปฏิบัติ
3.อ้างว่าไม่มีความผิดหรือความผิดไม่ชัดเจนเพราะรัฐธรรมนูญฉบับที่ 18 ไม่มีผลบังคับ คงอ้างไม่ได้
เพราะศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยแล้วว่า มีความผิดจริง ซึ่งทำให้ต้องพ้นตำแหน่งในทันที ถ้า
สภานิติบัญญัติเลือกที่จะไม่ถอดถอน ก็หมายความว่าไม่มึความผิด ผู้เสียหายทั้งสามก็สามารถฟ้องร้อง
ศาลรัฐธรรมนูญได้ ซึ่งก็หมายความว่า ปัญหายังไม่จบ
4.อ้างว่าผู้เสียหายทั้งสามจะฟ้องร้องว่าสภานิติบัญญัติแห่งชาติใช้อำนาจเกินขอบเขต เรื่องนี้เป็นเรื่อง
ตลกปัญญาอ่อนที่สุด เพราะเมื่อรัฐธรรนูญฉบับที่ 20 กำลังจะมีผลบังคับใช้ ก็จะต้องมีมาตราหนึ่งที่ห้าม
มิให้มีการฟ้องร้อเอาผิด คสช.,สนช.สปช.ฯอย่างแน่นอน
ก็น่าเสียดายที่ประชาชนจะไม่สามารถทราบได้ว่า สมาชิกแต่ละคนที่โหวตไม่ถอดถอนนั้นคิดอย่างไร
แต่ที่แน่ๆก็คือ เมื่อสภานิติบัญญัติลงมติไม่ถอดถอน ซึ่งสวนกับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และความ
เห็นของประชาชนส่วนใหญ่ ซึ่งก็เชื่อแน่ว่า จะเป็นการสร้างปัญหาซ้ำเติมมากกว่าการแก้ไขปัญหา อย่าง
น้อยก็จะเป็นแบบอย่างที่คนชั่วสามารถเดินตามรอยได้ ถึงรัฐบาลจะสามารถสยบความเคลื่อนไหวได้
แต่ก็เชื่อได้ว่า ระบอบทักษิณไม่หยุดแค่นี้
ป้ายแรก”ไม่ถอดถอน” ป้ายที่สองตามมาด้วย “ไม่ส่งฟ้อง” ป้ายสุดท้าย”นิรโทษ” รวมถึงได้รัฐธรรมนูญ
ฉบับไม้หลักปักขี้เลน ทำให้ศาลรัฐธรรมนูญกลายเป็นเครื่องมือในการกดขี่ประชาชน ก็ยิ่งจะทำให้ปัญหา
ของประเทศเพิ่มมากขึ้น จนอาจจะทำให้เกิด “รัฐไทยใหม่”ได้จริงๆ และก็เชื่อว่าประชาชนที่เป็นขี้ข้า
แผ่นดินไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน รัฐบาลจะสามารถสยบปัญหาได้หรือ
ดังนั้น สนช.ก็จะกลายเป็นคำย่อของ“สำนึกชั่ว” หรือ”สุนัขรับใช้” หรือ”สภานิรโทษแห่งชาติ” เพราะ
ไม่ทำงานตามที่โปรแกรมไว้ แต่ทำไม “โปรแกรมเมอร์”ไม่สามารถแก้ไขได้
แมวน้ำ
http://www.naewna.com/politic/columnist/1649