สวัสดีครับวันนี้ผมมีเรื่องจะมาแชร์ให้เพื่อนๆฟัง มันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างนานแล้วแหละครับ แต่ทำไมไม่รู้แต่รู้ว่าอยากใกล้ชิด เอ้ย!!! ไม่ใช่ละ แต่ทำไมมันลืมไม่ได้สักที เฮ้อออ TT เอาเป็นว่าเพื่อไม่ให้เสียเวลา ไปอ่านกันเลยดีกว่า ^^
มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอน ม.ปลายครับ แต่ก่อนหน้านั้นเล่าให้ฟังสักหน่อย คือตั้งแต่อนุบาลถึงม.ต้น ผมเรียนที่โรงเรียนเอกชนประจำจังหวัดๆหนึ่ง ซึ่ง ณ ตอนนั้นยังไม่มี ม.ปลาย ผมเลยจำเป็นที่ต้องย้ายไปที่โรงเรียนรัฐบาลประจำจังหวัดแห่งนี้ เรื่องนี้มันจึงได้เริ่มขึ้น
ตอนนั้นผมย้ายมาที่โรงเรียนนี้แล้วก็เกิดความกลัวว่าจะไม่มีเพื่อนไม่มีไร เพราะสองโรงเรียนนี้ไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ 555 ตอน ม.4 ก็ยังไม่มีอะไรหรอกครับ มันเริ่มขึ้นจริงๆตอนช่วงใกล้จะเปิดเทอม ม.5 คือจะต้องมีการเปลี่ยนห้องเพราะจากเดิมเป็นการคละห้อง ทางโรงเรียนต้องการให้เรียงลำดับความเก่ง เค้าว่างั้นหนะนะ 5555 พอเช้าวันนึงทางโรงเรียนประกาศชื่อนักเรียนในห้องนั้นๆ แล้วบังเอิญผมได้อยู่กับเพื่อนห้องเดิมพอดี ก็เลยนัดกันว่าจะไปจองที่นั่งกัน ในวันที่เราไปจองโต๊ะนั้นเอง ผมก็ได้เจอเค้าคนนั้น หรือขอใช้ชื่อว่า K ละกันครับ เค้าเป็นเพื่อนๆของเพื่อนผมอีกทีครับ เค้าได้อยู่ห้องเดียวกับผมพอดี วันนั้นที่ๆเราจองกันเป็นด้านหน้าริมหน้าต่าง K เค้าก็นั่งใกล้ๆผมนั้นแหละ แต่ไม่ใช่นั่งติดกันนะ แต่ว่ามันก็เป็นพรมลิขิต เฮ้ยยยยยย 1 2 3 4 หรือ 5คืนต่อมานี้แหละครับ ทางโรงเรียนเค้าเปลี่ยนห้องอีกแล้ว แล้วเราก็ได้อยู่ห้องเดียวกัน 555 แล้วผมกับ K ก็มาจองที่นั่งอีกครั้งนั่งข้างหน้า ตอนแรกเหมือน K เค้าจะนั่งหลังแต่เค้าก็เลือกมานั่งกับผม >///< จากนั้นเรื่องของเราก็เริ่มต้นขึ้น (จริงๆนะ)
มันก็เป็นการเริ่มต้นที่ไม่ดีเท่าไหร่หรอกครับสำหรับผม คือเราก็เป็นเพื่อนใหม่กันปกติทั่วๆไปนั้นแหละครับ แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนหวงของกิน แต่ก็แบ่งอยู่นะ แต่ K นี้สิกินทีเอาไปเยอะเชียวก็เลยไม่ค่อยชอบ อีกอย่างนึง เค้าชอบเอาการบ้านไปลอกบ่อยเกิ้นน จริงๆก็ทั้งห้องนั้นแหละ ก็เลยไม่ชอบขี้หน้า K เท่าไหร่แต่หลังจากวันแรกๆผ่านไป ผมกับ K ก็เริ่มสนิทกันมากขึ้นๆจนกลายเป็นเพื่อนสนิทกันในที่สุด ก็ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองมั้ยแต่จากที่ผมดูๆมันใช่นะ เพราะในโทรศัพท์เราสองคนมีข้อความของกันและกันเยอะมากที่สุด สายโทรเข้าโทรออกก็เป็นของเราที่มากที่สุด โทรหากันตั้งแต่ก่อนไปโรงเรียน เข้าแถว หรือบางเวลาที่ผมหรือ K ลงไปข้างล่างก่อนเปลี่ยนคาบ จนกระทั่งกลับบ้านก็โทรหากัน ส่วนเรื่องที่บ้านนี้ก็ไปบ่อยมากๆเลย ตั้งแต่ก่อนกีฬาสีทำงานนู้นนี้นั้นก็ไปทำงานตลอดจนสนิทกับป้าแล้วก็ปู่ของ K มากๆเลยมันก็เป็นอย่างนั้นมาเรื่อยๆ จนในช่วง ม.6 ก่อนสอบกลางภาคของเทอม 1 เป็นช่วงที่ผมได้ฟังเพลง อดทนกับความเหงา – KLEAR ซึ่งไม่รู้ทำไมฟังได้ทั้งวันฟังอยู่เพลงเดียวแล้วก็นึกถึงคนๆเดียว K นั้นแหละ หลังจากนั้นอีกสักหน่อย เพลงนี้ก็มาครับ คิดถึงดังๆ – ณัฐ ศักดาธร แต่ว่าที่บ้านผมไม่มี Internet ก็เลยบอก K ก่อนกลับบ้านว่า “โหลดเพลงนี้มาให้หน่อยดิ แล้วพรุ่งนี้เอามาให้หน่อยนะ ^^” K ก็บอกว่า “อะเค” แล้วคืนนั้นเองผมก็กะว่าจะนอนแล้วแหละแต่ว่าอยากเปิด Facebook ซักแป๊ปในโทรศัพท์ ตอนนั้นผมใช้ Samsung One มันดหลดเพลงยากอ่ะตังก็ไม่มี 555 เสร็จแล้วทีนี้ผมก็เปิดดู Notifications ดูก็เลยงงๆนิดว่า เอ๊ะร้อยวันพันปี K เค้าไม่เคยโพสหน้าวอลก็เลยกดเข้าไปดู ปรากฏว่า เชี้ยยยยยยแล้ว K เอาเพลงนี้มาโพสหน้าวอล ก็เขิลสิครับ มาโพสแล้วเขียนว่า เพลงนี้ใช่ป้าวว(หลายๆคนอาจคิดว่าจะเขิลทำเชี้ยระ ก็คุณไม่ได้อยู่ ณ เวลานั้นหนิ) ซึ่งพอโพสปุ๊ปเพื่อนๆในห้องก็มาแซวกันประมาณว่า อุ๊ยหวานจัง แฟนกันป๊ะหนิ 5555 แต่ยังไม่หมดนะครับหลังจากนั้นมาอีกสักพักเค้าก็เอาเพลงๆนึงมาให้ฟังแล้วก็ให้ในห้องเรียนนั้นแหหละ ซึ่งปกติเค้าไม่เคยเอาอะไรให้ฟังเลย เพลงๆนั้นชื่อ Keep holding on - Avril Lavigne ตอนแรกก็ไม่ชอบหรอกครับเพราะไม่ชอบดนตรีกับทำนองเท่าไหร่ แต่พอตอนเย็นไปเปิดดูความหมายโหยยยย ผมนี้ยิ้มพร้อมน้ำตาเลย เห้ยความหมายดีมากๆเลยพอหลังจากนั้นผมก็รู้สึกดีกับ K มากขึ้นไปอีก จนกระทั้งวันนึงผม K กับเพื่อนๆไปกินข้าวกันแล้วผมก็กินเสร็จเณ้วพอดีเลยลากลากเพื่อนสนิทผมอีกคนนึงไปหน้าร้าน(ถนนฝั่งตรงข้าม)
เพื่อเล่าให้ฟังว่า “ กูรู้สึกดีกับมันหวะ ไม่รู้คืออะไร แต่กูมีความสุขหวะ”
เพื่อนเลยบอกว่า “กูรู้ กูดูออก”
ผมเลยบอกต่อว่า “กูควรบอกมันมั้ยว่ะ”
เพื่อน “ก็คิดเอาเพราะว่ามันก็มีผลต่อมาหลายอย่างนะ บลาๆ ก็ว่าไป”
หลังจากนั้นมาก็มาถึงช่วงกีฬาสีที่พวกผม ม.6 เป็นคนคุมแสตนเชียร์ ทำงานเตรียมงานต่างๆ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมกับ K อยู่ด้วยกันบ่อยมากๆเพราะเราไปนู้นมานี้บ่อยมาก ปกติที่ซ้อนท้ายรถก็ไม่บ่อยเท่าไหร่ นี้แทบทุกวันเลย 555 เพราะเราต้องเตรียมของไงจริงๆนะ แต่มีวันนึงผมไม่มีรถ แต่ K เค้าดูกีฬาอยู่ ผมก็เลยเดินไปหาแล้วก็กำลังจะยืมรถ K เค้าก็ยื่นมาให้แล้วก็บอกว่า “ไปเอาเอง” โถ่วเอ้ยยย วันนี้ไม่ได้ซ้อนเลย 555 พอไปเอารถมาก็เอามาจอดแล้วก็เดินไปกำลังจะพูด K ก็บอกว่า “ไปเติมเอง นี่เงิน” เห้ยคุณไม่ต้องบอกก็รู้ มองตาก็รู้ใจป่ะ 5555 พอมาถึงช่วงกีฬาสีเราก็ทำหน้าที่ของเราไป แล้วเพื่อนก็มาบอกว่า K จะลงวิ่งข่งนะไปเชียร์มั้ย(โหย ไม่ต้องถามหรอก ไปรอตั้งแต่ยังไท่ถึงเวลาแข่งเลย 5555) พอถึงเวลา K ลงสนามผมก็อยู่ตรงจุดสตาร์ทนั้นแหละ K เค้าก็ถอดรองเท้าแล้วก็วิ่ง ชนะมั้งนะถ้าจำไม่ผิด แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือเท้าที่แผลเหวอะหวะ เหมือนว่าไปเหยียบเศษแก้วหรือไรไม่รู้แล้วก็เป็นแผลใหญ่มากๆเลย ทีนี้ผมก็วิ่งสิครับหาอาจารย์ที่ห้องพยาบาลก็ไม่อยู่ ไปตามครูที่ปรึกษาขอให้พาไปโรงพยาบาล แต่ K ก็บอกว่าไม่เป็นไรล้างแผลก็พอ แต่ผมอยากให้ค้าไปโรงพยาบาล จะได้ทำดีๆ เผื่อจะได้ฉีดยาไรด้วย K ก็เลยยอม แล้วก็ได้ไปทำแผลแต่ไม่ได้รับยาเพราะคนเยอะมากเลยจะมารับตอนเย็น ในเย็นวันนั้นเองเป็นวันเลี้ยงฉลองหลังกีฬาสีเสร็จ ผมก็ไปตั้งแต่ตอน 18.00 น. ตามเวลานัด ก็มองไปรอบๆก็ไม่เห็น K เลย พอนักไปได้สักพักใหญ่ๆ เพื่อนก็ถามว่าทำไมไม่มา ผมก็เลยโทรถาม K K ก็บอกว่า ไม่ค่อยสบายมีไข้เลยไม่ไป นอนอยู่บ้านนี้แหละ ผมก็เลยถามต่อว่า ได้ไปเอายายัง ยากินหนะ K ก็บอกว่ายังเลยขี้เกียจไปเอา ตอนนั้นก็โกรธ K นิดๆ(โกรธทำไม) ว่าทำไมไม่ไปเอายาก็บ่นๆไปนิดหน่อยแล้วก็ถามว่ากินข้าวกินยายัง K ก็บอกว่ายังไม่ได้กิน ผมก็เลยรีบออกจากร้านเนื้อย่างเพื่อไปเอายา ตอนนั้นก็ประมาณ 20.00 น. ผมก็เอายาจากที่โรงพยาบาลไปให้ที่บ้านแล้วก็บ่นต่ออีก 5555(เป็นแม่หรือเพื่อนหนิ) แล้วก็ไล่ K ให้ไปกินยานอนซ่ะ
แล้วเรื่องก็ดำเนินต่อไปจนถึงช่วงนึงก่อนดือนธันวาซึ่งเป็นเดือนเกิดของผม ผมไปได้ยินเพลงนี้มา You belong with me – Taylor Swift แล้วความหมายมันตรงกับเรามากๆเลย ก็เลยยิ่งชอบไปใหญ่ แล้วในช่วงนั้นเอง K เค้าก็เหมือนจะแอบชอบเพื่อนคนนึงในห้องอยู่คนนึง ซึ่งผมก็รู้ ก็ผมเพื่อนสนิท K หนิเนาะ TT ก็บ่อยครั้งนะที่ผมไปยุให้ K ไปคุยกับเพื่อนคนนั้นซึ่งจริงๆแล้วผมทำใจไม่ได้นิดๆที่ K เค้าเหมือนไปชอบเพื่อนคนนี้ เพราะเค้าก็สนิทๆกับเราเหมือนกันแต่ก็ไม่มาก จนมาวันนั้นวันเกิดผม มันก็เป็นแค่คืนๆนึงในเดือนธันวาก่อนที่จะเข้าวันเกิดผม ผมก็เตรียมตัวนอนละ แต่จู่ๆ K ก็โทรมาประมาณเที่ยงคืนเป๊ะๆ แล้วก็ทำเรื่องที่ผมไม่เคยคิดเลยจริงๆ K เค้าโทรมาร้องเพลง HBD ผม เฮ้ยยคุณวันนั้นนอนหมุนไปหมุนมา นอนไม่หลับไปเลย ซึ่งเช้าวันต่อมาเป็นวันสอบพอดี ผมก็ไปสอบปกติ เพื่อนทั้งห้องก็ Surprise ในวันนั้นมีเค้กมีไร แต่ K เค้าไม่ออกมากินผมก็เลยแบ่งไปชิ้นนึงแล้วก็เอาไปบังคับให้กินแต่ K ก็ไม่กิน ผมก็เลยป้อน K ไป 555 แล้ววันนั้นก็เป็นวันที่มีความสุขมากๆเลย แล้วคืนนั้นผมก็ไปยุเค้าอีกว่าให้ลองไปคบหรือจีบเพื่อนในห้องคนนั้นดู วันต่อมาหลังจากวันเกิดเป็นวันหยุด 1 วันก่อนสอบวันต่อไป ผมก็อ่านหนังสือแบบไม่สนใจอะไรอย่างเคยๆ แต่อยู่ดีๆก็อยากเล่น Facebook ก็เลยเปิดไป โอ้โห น้ำตานี้ไหลเลยครับ K ขึ้น Relationship กับเพื่อนคนนั้นจริงๆ TT เชื่อมั้ยครับวันนั้น สูตร Phhysics นี้เปียกไปหมด ร้องไห้หนักมากๆ แต่ก็จำสูตรไปด้วย พอเช้าวันต่อมาเป็นวันที่ยากมากๆเลยเพราะต้องเจอทั้ง K และ เพื่อนคนนั้นวันนั้นผมนี้บ้าเลยครับ ทั้งตาแดงๆ ทั้งจำสูตรสอบ เดินออกจากห้องนี้ร้องเพลงนี้เลยครับ ผิดมากไหม – Zani AF ร้องแบบคนบ้า K ก็มองผมแบบแปลกๆ หลังจากสอบเสร็จก่อนปิดปีใหม่ ผมก็เลยประชดบ้างแบบว่าไป เดินไปหาเพื่อนที่ฮอตที่สุดในห้องตอนนั้นแล้วก็บอกว่า เรามาขึน Relationship กันป่ะ K ก็เดินมาบอกว่า ไม่ได้คนนั้นต้องขึ้นกับเราแบบงอลๆ 555(แต่ตอนนั้น K เอา Relationship ลงแล้ว) เราก็ดีใจนิดๆนะ แต่พอมาถึงปีใหม่ผมก็ปิด Facebook เพราะกลัวเห็นสิ่งต่างๆเกี่ยวกับ K (ตอนนั้นเค้าหัดเล่น Guitar มาได้สักพักแล้วเก่งขึ้นมากๆเลย จริงๆเราไม่อยากให้เค้าเล่นเพราะกลัวเค้าไปจีบใครโรคจิตป่ะ 555) พอเปิดเทอมมาได้สักพักวันศุกร์ก่อนวันเด็กผมต้องเดินทางไปที่ กทม. เพื่อสอบข้อเขียนคณะเภสัช มหา’ลัยนึง แต่ก็ยอมที่จะไปช้าเพราะจะได้อยู่กับเพื่อนในงานวันเด็กที่โรงเรียนซึ่งเป็นปีสุดท้ายของ ม.6 ผมก็ไปเต้นที่หน้าเวที ซึ่งพยายามเดินออกมาตรงข้ามของ K แล้วซักพักก็ไม่รู้ว่า K มองหาอะไร สักพัก K ก็วิ่งขึ้นไปเวทีแล้วก็ไปจับไมมาร้องเพลง ยังโสด – โอลีฟ แล้วก็ร้องบนเวทีตรงผม หันมาทางผม(คิดเองป่ะไม่รู้) แล้วพอร้องได้สักพักผมก็เดินออกมาไม่อยากอยู่ละ ไปนั่งที่โต๊ะ พอเพลงจบเค้าก็เดินออกมาที่โต๊ะผมแล้วก็เอาของบางอย่างกับผมไป
ในคืนที่ผมเดินทางนั้นเอง ที่ผมตัดสินใจว่าวันนี้แหละผมจะบอก K ว่าผมรู้สึกยังไงกับเค้า ผมก็อัพ Status ว่า วันนี้แหละจะเป็นวันที่บอกเค้าว่าคิดไง K เค้าก็มากดไลค์นะ แล้วประมาณ 21.00 หรือ 22.00 นี่แหละที่ผมทักเค้าไป
ผมก็เริ่มจากว่า “กูมีเรื่องอยากคุยด้วย”
“ว่า”
“คือกูไม่รู้นะว่ามันคืออะไร แต่รู้สึกมานานแล้ว แล้วไม่รู้ว่าควรพูดมั้ย คือทุกครั้งที่กูอยู่กับกูมีความสุขมากๆ คือกูรู้สึกดีกับมากๆเลย แต่ไม่รู้ว่ามันคือความรักหรือเปล่า”
“กูรู้มานานแล้ว”
“รู้ได้ไง”
“เออหนะ รู้ละกัน แต่ก็คงรู้นะว่าเราเป็นเพื่อนกันมันคงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะคบกันเพราะเราเป็นเพื่อนกัน”
“กูเข้าใจ แต่กูไม่ได้ต้องการให้เราคบกันเพียงแค่อยากบอกว่ากูรู้สึกยังไงเฉยๆ แต่อย่าไปบอกใครนะ เรื่องนี้อ่ะ เก็บไว้ให้เรารู้กันแค่สองคนได้มั้ย”
“ได้”
“แต่มันอาจจะยากหน่อยนะ ที่กูจะพยายามลืมเรื่องนี้ เพราะความรู้สึกแบบนี้มีให้ใครแล้วมันไม่ใช่แค่ วันสองวันที่จะลืมมันได้ อาจต้องใช้เวลานาน อาจจะ 1 เดือน 2 เดือนหรืออาจจะไม่ได้เลย”
“อือ” (อันนี้ผมจำได้แค่นี้นะครับ)
เดี๋ยวมาต่อวันหลังนะครับ ถ้ายังอยากอ่านนะครับ ^^
...เพื่อนรัก...รักเพื่อน...
มันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตอน ม.ปลายครับ แต่ก่อนหน้านั้นเล่าให้ฟังสักหน่อย คือตั้งแต่อนุบาลถึงม.ต้น ผมเรียนที่โรงเรียนเอกชนประจำจังหวัดๆหนึ่ง ซึ่ง ณ ตอนนั้นยังไม่มี ม.ปลาย ผมเลยจำเป็นที่ต้องย้ายไปที่โรงเรียนรัฐบาลประจำจังหวัดแห่งนี้ เรื่องนี้มันจึงได้เริ่มขึ้น
ตอนนั้นผมย้ายมาที่โรงเรียนนี้แล้วก็เกิดความกลัวว่าจะไม่มีเพื่อนไม่มีไร เพราะสองโรงเรียนนี้ไม่ค่อยถูกกันเท่าไหร่ 555 ตอน ม.4 ก็ยังไม่มีอะไรหรอกครับ มันเริ่มขึ้นจริงๆตอนช่วงใกล้จะเปิดเทอม ม.5 คือจะต้องมีการเปลี่ยนห้องเพราะจากเดิมเป็นการคละห้อง ทางโรงเรียนต้องการให้เรียงลำดับความเก่ง เค้าว่างั้นหนะนะ 5555 พอเช้าวันนึงทางโรงเรียนประกาศชื่อนักเรียนในห้องนั้นๆ แล้วบังเอิญผมได้อยู่กับเพื่อนห้องเดิมพอดี ก็เลยนัดกันว่าจะไปจองที่นั่งกัน ในวันที่เราไปจองโต๊ะนั้นเอง ผมก็ได้เจอเค้าคนนั้น หรือขอใช้ชื่อว่า K ละกันครับ เค้าเป็นเพื่อนๆของเพื่อนผมอีกทีครับ เค้าได้อยู่ห้องเดียวกับผมพอดี วันนั้นที่ๆเราจองกันเป็นด้านหน้าริมหน้าต่าง K เค้าก็นั่งใกล้ๆผมนั้นแหละ แต่ไม่ใช่นั่งติดกันนะ แต่ว่ามันก็เป็นพรมลิขิต เฮ้ยยยยยย 1 2 3 4 หรือ 5คืนต่อมานี้แหละครับ ทางโรงเรียนเค้าเปลี่ยนห้องอีกแล้ว แล้วเราก็ได้อยู่ห้องเดียวกัน 555 แล้วผมกับ K ก็มาจองที่นั่งอีกครั้งนั่งข้างหน้า ตอนแรกเหมือน K เค้าจะนั่งหลังแต่เค้าก็เลือกมานั่งกับผม >///< จากนั้นเรื่องของเราก็เริ่มต้นขึ้น (จริงๆนะ)
มันก็เป็นการเริ่มต้นที่ไม่ดีเท่าไหร่หรอกครับสำหรับผม คือเราก็เป็นเพื่อนใหม่กันปกติทั่วๆไปนั้นแหละครับ แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนหวงของกิน แต่ก็แบ่งอยู่นะ แต่ K นี้สิกินทีเอาไปเยอะเชียวก็เลยไม่ค่อยชอบ อีกอย่างนึง เค้าชอบเอาการบ้านไปลอกบ่อยเกิ้นน จริงๆก็ทั้งห้องนั้นแหละ ก็เลยไม่ชอบขี้หน้า K เท่าไหร่แต่หลังจากวันแรกๆผ่านไป ผมกับ K ก็เริ่มสนิทกันมากขึ้นๆจนกลายเป็นเพื่อนสนิทกันในที่สุด ก็ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองมั้ยแต่จากที่ผมดูๆมันใช่นะ เพราะในโทรศัพท์เราสองคนมีข้อความของกันและกันเยอะมากที่สุด สายโทรเข้าโทรออกก็เป็นของเราที่มากที่สุด โทรหากันตั้งแต่ก่อนไปโรงเรียน เข้าแถว หรือบางเวลาที่ผมหรือ K ลงไปข้างล่างก่อนเปลี่ยนคาบ จนกระทั่งกลับบ้านก็โทรหากัน ส่วนเรื่องที่บ้านนี้ก็ไปบ่อยมากๆเลย ตั้งแต่ก่อนกีฬาสีทำงานนู้นนี้นั้นก็ไปทำงานตลอดจนสนิทกับป้าแล้วก็ปู่ของ K มากๆเลยมันก็เป็นอย่างนั้นมาเรื่อยๆ จนในช่วง ม.6 ก่อนสอบกลางภาคของเทอม 1 เป็นช่วงที่ผมได้ฟังเพลง อดทนกับความเหงา – KLEAR ซึ่งไม่รู้ทำไมฟังได้ทั้งวันฟังอยู่เพลงเดียวแล้วก็นึกถึงคนๆเดียว K นั้นแหละ หลังจากนั้นอีกสักหน่อย เพลงนี้ก็มาครับ คิดถึงดังๆ – ณัฐ ศักดาธร แต่ว่าที่บ้านผมไม่มี Internet ก็เลยบอก K ก่อนกลับบ้านว่า “โหลดเพลงนี้มาให้หน่อยดิ แล้วพรุ่งนี้เอามาให้หน่อยนะ ^^” K ก็บอกว่า “อะเค” แล้วคืนนั้นเองผมก็กะว่าจะนอนแล้วแหละแต่ว่าอยากเปิด Facebook ซักแป๊ปในโทรศัพท์ ตอนนั้นผมใช้ Samsung One มันดหลดเพลงยากอ่ะตังก็ไม่มี 555 เสร็จแล้วทีนี้ผมก็เปิดดู Notifications ดูก็เลยงงๆนิดว่า เอ๊ะร้อยวันพันปี K เค้าไม่เคยโพสหน้าวอลก็เลยกดเข้าไปดู ปรากฏว่า เชี้ยยยยยยแล้ว K เอาเพลงนี้มาโพสหน้าวอล ก็เขิลสิครับ มาโพสแล้วเขียนว่า เพลงนี้ใช่ป้าวว(หลายๆคนอาจคิดว่าจะเขิลทำเชี้ยระ ก็คุณไม่ได้อยู่ ณ เวลานั้นหนิ) ซึ่งพอโพสปุ๊ปเพื่อนๆในห้องก็มาแซวกันประมาณว่า อุ๊ยหวานจัง แฟนกันป๊ะหนิ 5555 แต่ยังไม่หมดนะครับหลังจากนั้นมาอีกสักพักเค้าก็เอาเพลงๆนึงมาให้ฟังแล้วก็ให้ในห้องเรียนนั้นแหหละ ซึ่งปกติเค้าไม่เคยเอาอะไรให้ฟังเลย เพลงๆนั้นชื่อ Keep holding on - Avril Lavigne ตอนแรกก็ไม่ชอบหรอกครับเพราะไม่ชอบดนตรีกับทำนองเท่าไหร่ แต่พอตอนเย็นไปเปิดดูความหมายโหยยยย ผมนี้ยิ้มพร้อมน้ำตาเลย เห้ยความหมายดีมากๆเลยพอหลังจากนั้นผมก็รู้สึกดีกับ K มากขึ้นไปอีก จนกระทั้งวันนึงผม K กับเพื่อนๆไปกินข้าวกันแล้วผมก็กินเสร็จเณ้วพอดีเลยลากลากเพื่อนสนิทผมอีกคนนึงไปหน้าร้าน(ถนนฝั่งตรงข้าม)
เพื่อเล่าให้ฟังว่า “ กูรู้สึกดีกับมันหวะ ไม่รู้คืออะไร แต่กูมีความสุขหวะ”
เพื่อนเลยบอกว่า “กูรู้ กูดูออก”
ผมเลยบอกต่อว่า “กูควรบอกมันมั้ยว่ะ”
เพื่อน “ก็คิดเอาเพราะว่ามันก็มีผลต่อมาหลายอย่างนะ บลาๆ ก็ว่าไป”
หลังจากนั้นมาก็มาถึงช่วงกีฬาสีที่พวกผม ม.6 เป็นคนคุมแสตนเชียร์ ทำงานเตรียมงานต่างๆ ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมกับ K อยู่ด้วยกันบ่อยมากๆเพราะเราไปนู้นมานี้บ่อยมาก ปกติที่ซ้อนท้ายรถก็ไม่บ่อยเท่าไหร่ นี้แทบทุกวันเลย 555 เพราะเราต้องเตรียมของไงจริงๆนะ แต่มีวันนึงผมไม่มีรถ แต่ K เค้าดูกีฬาอยู่ ผมก็เลยเดินไปหาแล้วก็กำลังจะยืมรถ K เค้าก็ยื่นมาให้แล้วก็บอกว่า “ไปเอาเอง” โถ่วเอ้ยยย วันนี้ไม่ได้ซ้อนเลย 555 พอไปเอารถมาก็เอามาจอดแล้วก็เดินไปกำลังจะพูด K ก็บอกว่า “ไปเติมเอง นี่เงิน” เห้ยคุณไม่ต้องบอกก็รู้ มองตาก็รู้ใจป่ะ 5555 พอมาถึงช่วงกีฬาสีเราก็ทำหน้าที่ของเราไป แล้วเพื่อนก็มาบอกว่า K จะลงวิ่งข่งนะไปเชียร์มั้ย(โหย ไม่ต้องถามหรอก ไปรอตั้งแต่ยังไท่ถึงเวลาแข่งเลย 5555) พอถึงเวลา K ลงสนามผมก็อยู่ตรงจุดสตาร์ทนั้นแหละ K เค้าก็ถอดรองเท้าแล้วก็วิ่ง ชนะมั้งนะถ้าจำไม่ผิด แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือเท้าที่แผลเหวอะหวะ เหมือนว่าไปเหยียบเศษแก้วหรือไรไม่รู้แล้วก็เป็นแผลใหญ่มากๆเลย ทีนี้ผมก็วิ่งสิครับหาอาจารย์ที่ห้องพยาบาลก็ไม่อยู่ ไปตามครูที่ปรึกษาขอให้พาไปโรงพยาบาล แต่ K ก็บอกว่าไม่เป็นไรล้างแผลก็พอ แต่ผมอยากให้ค้าไปโรงพยาบาล จะได้ทำดีๆ เผื่อจะได้ฉีดยาไรด้วย K ก็เลยยอม แล้วก็ได้ไปทำแผลแต่ไม่ได้รับยาเพราะคนเยอะมากเลยจะมารับตอนเย็น ในเย็นวันนั้นเองเป็นวันเลี้ยงฉลองหลังกีฬาสีเสร็จ ผมก็ไปตั้งแต่ตอน 18.00 น. ตามเวลานัด ก็มองไปรอบๆก็ไม่เห็น K เลย พอนักไปได้สักพักใหญ่ๆ เพื่อนก็ถามว่าทำไมไม่มา ผมก็เลยโทรถาม K K ก็บอกว่า ไม่ค่อยสบายมีไข้เลยไม่ไป นอนอยู่บ้านนี้แหละ ผมก็เลยถามต่อว่า ได้ไปเอายายัง ยากินหนะ K ก็บอกว่ายังเลยขี้เกียจไปเอา ตอนนั้นก็โกรธ K นิดๆ(โกรธทำไม) ว่าทำไมไม่ไปเอายาก็บ่นๆไปนิดหน่อยแล้วก็ถามว่ากินข้าวกินยายัง K ก็บอกว่ายังไม่ได้กิน ผมก็เลยรีบออกจากร้านเนื้อย่างเพื่อไปเอายา ตอนนั้นก็ประมาณ 20.00 น. ผมก็เอายาจากที่โรงพยาบาลไปให้ที่บ้านแล้วก็บ่นต่ออีก 5555(เป็นแม่หรือเพื่อนหนิ) แล้วก็ไล่ K ให้ไปกินยานอนซ่ะ
แล้วเรื่องก็ดำเนินต่อไปจนถึงช่วงนึงก่อนดือนธันวาซึ่งเป็นเดือนเกิดของผม ผมไปได้ยินเพลงนี้มา You belong with me – Taylor Swift แล้วความหมายมันตรงกับเรามากๆเลย ก็เลยยิ่งชอบไปใหญ่ แล้วในช่วงนั้นเอง K เค้าก็เหมือนจะแอบชอบเพื่อนคนนึงในห้องอยู่คนนึง ซึ่งผมก็รู้ ก็ผมเพื่อนสนิท K หนิเนาะ TT ก็บ่อยครั้งนะที่ผมไปยุให้ K ไปคุยกับเพื่อนคนนั้นซึ่งจริงๆแล้วผมทำใจไม่ได้นิดๆที่ K เค้าเหมือนไปชอบเพื่อนคนนี้ เพราะเค้าก็สนิทๆกับเราเหมือนกันแต่ก็ไม่มาก จนมาวันนั้นวันเกิดผม มันก็เป็นแค่คืนๆนึงในเดือนธันวาก่อนที่จะเข้าวันเกิดผม ผมก็เตรียมตัวนอนละ แต่จู่ๆ K ก็โทรมาประมาณเที่ยงคืนเป๊ะๆ แล้วก็ทำเรื่องที่ผมไม่เคยคิดเลยจริงๆ K เค้าโทรมาร้องเพลง HBD ผม เฮ้ยยคุณวันนั้นนอนหมุนไปหมุนมา นอนไม่หลับไปเลย ซึ่งเช้าวันต่อมาเป็นวันสอบพอดี ผมก็ไปสอบปกติ เพื่อนทั้งห้องก็ Surprise ในวันนั้นมีเค้กมีไร แต่ K เค้าไม่ออกมากินผมก็เลยแบ่งไปชิ้นนึงแล้วก็เอาไปบังคับให้กินแต่ K ก็ไม่กิน ผมก็เลยป้อน K ไป 555 แล้ววันนั้นก็เป็นวันที่มีความสุขมากๆเลย แล้วคืนนั้นผมก็ไปยุเค้าอีกว่าให้ลองไปคบหรือจีบเพื่อนในห้องคนนั้นดู วันต่อมาหลังจากวันเกิดเป็นวันหยุด 1 วันก่อนสอบวันต่อไป ผมก็อ่านหนังสือแบบไม่สนใจอะไรอย่างเคยๆ แต่อยู่ดีๆก็อยากเล่น Facebook ก็เลยเปิดไป โอ้โห น้ำตานี้ไหลเลยครับ K ขึ้น Relationship กับเพื่อนคนนั้นจริงๆ TT เชื่อมั้ยครับวันนั้น สูตร Phhysics นี้เปียกไปหมด ร้องไห้หนักมากๆ แต่ก็จำสูตรไปด้วย พอเช้าวันต่อมาเป็นวันที่ยากมากๆเลยเพราะต้องเจอทั้ง K และ เพื่อนคนนั้นวันนั้นผมนี้บ้าเลยครับ ทั้งตาแดงๆ ทั้งจำสูตรสอบ เดินออกจากห้องนี้ร้องเพลงนี้เลยครับ ผิดมากไหม – Zani AF ร้องแบบคนบ้า K ก็มองผมแบบแปลกๆ หลังจากสอบเสร็จก่อนปิดปีใหม่ ผมก็เลยประชดบ้างแบบว่าไป เดินไปหาเพื่อนที่ฮอตที่สุดในห้องตอนนั้นแล้วก็บอกว่า เรามาขึน Relationship กันป่ะ K ก็เดินมาบอกว่า ไม่ได้คนนั้นต้องขึ้นกับเราแบบงอลๆ 555(แต่ตอนนั้น K เอา Relationship ลงแล้ว) เราก็ดีใจนิดๆนะ แต่พอมาถึงปีใหม่ผมก็ปิด Facebook เพราะกลัวเห็นสิ่งต่างๆเกี่ยวกับ K (ตอนนั้นเค้าหัดเล่น Guitar มาได้สักพักแล้วเก่งขึ้นมากๆเลย จริงๆเราไม่อยากให้เค้าเล่นเพราะกลัวเค้าไปจีบใครโรคจิตป่ะ 555) พอเปิดเทอมมาได้สักพักวันศุกร์ก่อนวันเด็กผมต้องเดินทางไปที่ กทม. เพื่อสอบข้อเขียนคณะเภสัช มหา’ลัยนึง แต่ก็ยอมที่จะไปช้าเพราะจะได้อยู่กับเพื่อนในงานวันเด็กที่โรงเรียนซึ่งเป็นปีสุดท้ายของ ม.6 ผมก็ไปเต้นที่หน้าเวที ซึ่งพยายามเดินออกมาตรงข้ามของ K แล้วซักพักก็ไม่รู้ว่า K มองหาอะไร สักพัก K ก็วิ่งขึ้นไปเวทีแล้วก็ไปจับไมมาร้องเพลง ยังโสด – โอลีฟ แล้วก็ร้องบนเวทีตรงผม หันมาทางผม(คิดเองป่ะไม่รู้) แล้วพอร้องได้สักพักผมก็เดินออกมาไม่อยากอยู่ละ ไปนั่งที่โต๊ะ พอเพลงจบเค้าก็เดินออกมาที่โต๊ะผมแล้วก็เอาของบางอย่างกับผมไป
ในคืนที่ผมเดินทางนั้นเอง ที่ผมตัดสินใจว่าวันนี้แหละผมจะบอก K ว่าผมรู้สึกยังไงกับเค้า ผมก็อัพ Status ว่า วันนี้แหละจะเป็นวันที่บอกเค้าว่าคิดไง K เค้าก็มากดไลค์นะ แล้วประมาณ 21.00 หรือ 22.00 นี่แหละที่ผมทักเค้าไป
ผมก็เริ่มจากว่า “กูมีเรื่องอยากคุยด้วย”
“ว่า”
“คือกูไม่รู้นะว่ามันคืออะไร แต่รู้สึกมานานแล้ว แล้วไม่รู้ว่าควรพูดมั้ย คือทุกครั้งที่กูอยู่กับกูมีความสุขมากๆ คือกูรู้สึกดีกับมากๆเลย แต่ไม่รู้ว่ามันคือความรักหรือเปล่า”
“กูรู้มานานแล้ว”
“รู้ได้ไง”
“เออหนะ รู้ละกัน แต่ก็คงรู้นะว่าเราเป็นเพื่อนกันมันคงเป็นไปไม่ได้ที่เราจะคบกันเพราะเราเป็นเพื่อนกัน”
“กูเข้าใจ แต่กูไม่ได้ต้องการให้เราคบกันเพียงแค่อยากบอกว่ากูรู้สึกยังไงเฉยๆ แต่อย่าไปบอกใครนะ เรื่องนี้อ่ะ เก็บไว้ให้เรารู้กันแค่สองคนได้มั้ย”
“ได้”
“แต่มันอาจจะยากหน่อยนะ ที่กูจะพยายามลืมเรื่องนี้ เพราะความรู้สึกแบบนี้มีให้ใครแล้วมันไม่ใช่แค่ วันสองวันที่จะลืมมันได้ อาจต้องใช้เวลานาน อาจจะ 1 เดือน 2 เดือนหรืออาจจะไม่ได้เลย”
“อือ” (อันนี้ผมจำได้แค่นี้นะครับ)
เดี๋ยวมาต่อวันหลังนะครับ ถ้ายังอยากอ่านนะครับ ^^