การเป็น single mom (ที่ไม่ได้มีทุกอย่างพร้อม) มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แต่เราก็ผ่านมันมาได้

เล่ายาวนิดนึงนะคะ เรื่องราวของดิฉันผ่านมา 1 ปี กะ 4 เดือนแล้ว  บางครั้งชีวิตของคนเรามันก็น้ำเน่ายิ่งกว่าในละคร

ดิฉันกับสามีเราคบบวกแต่งงานกันมา 9 ปี (ถ้ารวมช่วงที่มีเรื่องราวจนได้เลิกลากันไปก็ประมาณ 10 ปีพอดี) ตลอดระยะเวลาที่อยู่ด้วยกันมา เขาก็ดีกับดิฉันมาตลอด ดูแลเทคแคร์เป็นอย่างดี ไม่เคยทำร้ายร่างกาย ให้เงินใช้บ้าง เราไม่เคยทะเลาะเรื่องการกินอยู่หรือการใช้ชีวิตเลย พูดง่ายๆ ว่า life style ของเราเหมือนกันคะ หลายคนเคยพูดกับฉันว่าเราสองคนเป็นคู่ที่เหมาะสมกันมาก และสามีดิฉันก็ดูรักฉันมาก เขาเป็นคนที่แสดงความรักได้เก่งมาก แต่ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าเราหรอก ว่าจริงๆ แล้วเขานิสัยเป็นอย่างไร ถึงแม้ว่าเขาจะมีข้อดีหลายอย่าง แต่มีเรื่องนึงที่ทำให้เรามีปัญหากันมาตลอดก็คือเรื่องเจ้าชู้ของเขา..เขามีคนอื่นมาตลอดระยะเวลาที่คบกัน มีช่วงแรกๆ เท่านั้นหละที่เขาไม่มีคนอื่นแต่พอคบกันสักระยะเขาก็เริ่มมีคนอื่นเรื่อยๆ แถมยังไปหลอกแฟนเก่าด้วยเลิกจากคนนั้นก็มีคนนี้มีสัมพันธ์ลึกซึ้งบ้างไม่ลึกซึ้งบ้าง จะเลิกกันหลายครั้งก็เพราะเรื่องนี้ มีอยู่ช่วงนึงที่บรรดากิ๊กและเมียน้อยสามี เขาไปตบตีกันในเฟสในเอ็มโดยที่เราก็ไม่รู้เรื่อง ความแตกก็ตอนที่เมียน้อยอีกคนเขาโทรมาฟ้องเรา ถึงได้รู้เรื่อง แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมเวลาที่เขามาง้อเป็นต้องใจอ่อนทุกที เราแต่งงานกันมาเกือบ 4 ปีแล้วแต่ยังไม่มีลูกด้วยกัน ก็ปล่อยมาตลอดนะ แต่ไม่มีเอง ซึ่งในปีหลังก็พยายามที่จะมีลูกมากขึ้น เพราะเราสองคนคิดว่าอายุเยอะกันแล้วก็สมควรจะมีลูกกันได้แล้ว จนกระทั่งวันที่ 4 มกราคม 2556 เป็นปีใหม่ที่ดิฉันรู้สึกมีความสุขมาก เรากำลังมีเจ้าตัวน้อยด้วยกัน และนั่นมันก็เป็นช่วงที่สามีเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ พอเราท้องได้ 5 เดือน จากที่กลับบ้านบ้างไม่กลับบ้านบ้าง เปลี่ยนเป็นไม่กลับบ้านเกือบทุกวันอ้างว่าอยู่กับเพื่อน หายไปอาทิตย์เว้นอาทิตย์บ้าง อ้างว่าเมากลับไม่ไหวบ้าง ทำงานดึกจนกลับไม่ไหวบ้าง แต่เขาจะพาฉันไปหาหมอทุกครั้งที่มีการนัดตรวจครรภ์จนกระทั่งท้องได้ 7 เดือน เขาก็ไม่กลับมาอีกเลย ตอนนี้หละเป็นช่วงที่ดิฉันรู้แล้วว่าเขามีคนอื่นอีกแล้ว และคิดจะทิ้งดิฉันกับลูกไปแน่ๆ (ส่งข้อความไปบอกให้เขามาหย่าเป็นร้อยรอบเขาก็ไม่มา) ตอนนั้นมันมีแต่เรื่องให้เครียดทุกวัน ทั้งเรื่องสามี เรื่องงาน เรื่องเงิน เรื่องพ่อกับแม่ (ทะเลาะกัน) และที่สำคัญสงสารลูกมากที่พ่อเขาเป็นคนไม่มีความรับผิดชอบแบบนี้ เครียดจนรู้สึกกลัวว่าลูกออกมาหน้าจะหมุ่ยจนคิ้วชนกันไหมเนี่ย เครียดแบบนี้จนท้องได้ 38 สัปดาห์ (ไม่ได้ติดต่อกับสามีเป็นเดือนแล้ว เริ่มตัดใจแล้วคะ เพราะคิดว่าในเมื่อเขาไม่ต้องการเรากะลูก เราก็อยู่สองคนกะลูกได้ และเขาก็ไม่ติดต่อมาเช่นกัน) แต่แล้วเช้าวันหนึ่งจำได้ว่าเป็นวันจันทร์ ญาติๆ และแม่สามีโทรมาบอกว่า พ่อสามีเสียแล้วให้มาที่บ้านด่วน และนั่นทำให้เราได้เจอเขาอีกครั้ง จะว่าเป็นครั้งสุดท้ายที่เราได้เจอเขาจริงๆ เขามารับเราไปงานศพพ่อของเขา ก็จัดการเรื่องงานศพเสร็จ เราก็คลอดพอดี (เป็นเพราะเรื่องนี้หละเลยทำให้ในใบเกิดของลูกเรามีชื่อพ่อ) เขามาดูลูกและทำเรื่องเอกสารใบเกิดลูกทั้งหมด และขับรถมาส่งเรากับลูกที่บ้าน และบอกว่าไปทำงานก่อนนะ ก่อนไปเขามาหอมลูกหลายที และถามเราว่า "คุณอยากได้อะไรไหม เดี๋ยวเลิกงานซื้อมาให้ แต่คงถึงดึกนะ" แต่ในความเป็นจริงแล้ว เขาไม่เคยกลับมาหาเราสองคนแม่ลูกอีกเลย และนอกจากทิ้งเรากับลูกอย่างไม่ใยดีแล้ว เขาขับรถคันที่เราทั้งดาวน์ทั้งผ่อนหนีไป ทั้งๆ ที่รู้ว่าบ้านที่เราอยู่กันมันลึกมาก จะเข้าจะออกก็ลำบาก ฝนตกนี่ไม่ต้องพูดถึงออกไปไหนไม่ได้แน่ๆ วันนึงต้องพาลูกไปหาหมอ (ลูกเป็นภูมิแพ้เหมือนพ่อเขา) แต่ฝนก็ตกหนักต้องเรียกแท็กซี่รออยู่ร่วม 2 ชม. เพราะไม่มีใครอยากเข้าอ้างว่าน้ำมันท่วม เราจำวันนั้นได้และรู้สึกเจ็บใจและโกรธแค้นสามีมาก คิดในใจว่าในเมื่อจะไปทำไมมันไม่ไปแต่ตัวว่ะ ไม่น่าไปสอนมันขับรถเลย เพราะที่ผ่านมาเขาขับรถไม่เป็นนะเราเป็นคนขับมาตลอด คงเพราะไปติดผู้หญิงคนใหม่นี่หละ เลยอยากเอาไปอวดสาวมาคะยั้นคะยอให้เราสอนใช้คำพูดสวยหรูมากบอกว่า "คุณท้องแก่แล้วขับรถลำบากเขาจะได้คอยไปรับส่งเรา" แต่พอสอนได้ 3 เดือนก็ขับรถหนีไป) แถมทิ้งหนี้สินที่เขาก่อไว้อีกร่วมแสนบาท เป็นเงินที่เราโอนให้เขาใช้ช่วงเปลี่ยนงานใหม่ และผ่อนรถ รวมไปถึงค่าใช้จ่ายค่ากินค่าอยู่ด้วย แม้แต่ค่าน้ำมันรถก็ยังโทรมาขอ  โอนเงินให้มันจนหมดตัว แถมมีการมาบังคับให้กดเงินจากบัตรเครดิตมาให้..ดิฉันบอกว่าไม่มีเงินจะผ่อนบัตรเครดิตแล้ว..มันก็บอกว่า "เดี๋ยวมันจัดการเอง กดแล้วโอนเงินมาเลยนะ" สุดท้ายก็ต้องกดเงินจากบัตรเครดิตมาเป็นแสนๆ ตอนแรกจะไม่โอน แต่มันขู่คะคิดในใจกูท้อง(แก่)อยู่แท้ๆ ยังขู่กูได้อีกเนอะ อารมณ์นั้นบอกตรงๆ กลัวคะ พูดขู่สาระพัดบอกว่าให้จ่ายค่ารถให้เขาหน่อย เพราะถึงเราไม่จ่ายให้เขา ธนาคารก็มาทวงกะเราอยู่ดีเพราะเราเป็นคนค้ำ เขาเหมือนไม่ใช่สามีเราเลยเปลี่ยนไปเป็นคนละคน..มารู้ตอนหลังเขาเอาเงินไปคอยดูแลแทคแคร์และขับรถไปรับไปส่งคุณเมียน้อยส่วนเมียหลวงท้องแก่อย่างเรามันทิ้งให้นั่งรถเมล์ ปีนรถไฟ ขึ้นมอไซต์ ที่ทำงานดิฉันเดินทางลำบาก คือแบบรถเราแท้ๆ แต่ไม่ได้ใช้ พอบอกว่าให้เอารถมาคืนมันก็บอกให้เราขายบ้านเราเลยถามว่าแล้วเรากะลูกจะไปอยู่ไหนมันบอกว่า "กูไม่สนใจ" ดูมันทำกะเมียกะลูกก็แล้วกันคะ..ทุกวันนี้ก็ยังเอาเรื่องเดือนร้อนมาให้ค้างจ่ายค่างวดรถธนาคารส่งจดหมายมาแจ้งเราที่บ้าน..ยังไม่สิ้นเวรสิ้นกรรมกะมันอีก..เฮ้อ..

ช่วงที่รู้ว่าสามีได้ทิ้งเราสองแม่ลูกไปแล้วนั้น ก็คิดว่ามันเป็นช่วงที่แย่ที่สุดในชีวิตแล้ว แต่มันก็มีเรื่องทำให้รู้สึกว่าชีวิตมันบัดซบยิ่งกว่า ก็คือหลังจากที่คลอดลูกได้ 2 อาทิตย์ คุณหมอนัดตรวจมะเร็งปากมดลูก ซึ่งเป็นเรื่องปกติของคนที่คลอดลูกจะต้องตรวจทุกคน กว่าจะรู้ผลก็ใช้เวลาเกือบ 3 อาทิตย์ และก็ถึงวันที่ไปฟังผล สรุปคือฉันเป็นมะเร็งปากมดลูก (ยังไม่รู้ว่าระยะไหนและยิ่งทำให้รู้สึกเกลียดอดีตสามีมากเพราะโรคนี้เป็นโรคที่เกิดจากเพศสัมพันธ์และตั้งแต่เกิดมาเราก็มีเขาเพียงคนเดียว) แต่ไม่ว่าจะระยะไหนขึ้นชื่อว่าเป็นมะเร็งก็นะมันก็แทบทรุด มันมืดไปหมดจะทำอย่างไร ลูกหละจะอยู่กับใคร ใครจะดูแลลูกฉัน ลูกฉันไม่มีพ่อไปคนนึงแล้วจะต้องกำพร้าแม่อีกคนหรอ มีอะไรอีกไหมที่จะถาโถมเข้ามา จะไม่ให้ชีวิตฉันได้ผุดได้เกิดเลยหรอ ทำไมสวรรค์ถึงกลั่นแกล้งกันแบบนี้ ร้องไห้แทบบ้า) หลังจากที่คุณหมอแจ้งว่าเป็นมะเร็งในช่วงเช้า คุณหมอก็นัดผ่าในช่วงบ่ายและนัดให้มาฟังผลมะเร็งว่าระยะไหนเพราะต้องเอาชิ้นเนื้อไปตรวจอีกครั้ง หลังจากผ่าเสร็จก็ให้พักแป็บนึงแล้วก็ให้กลับบ้าน โดยมีผ้ากอตยัดไว้ไม่ให้เลือดออกตรงบริเวณที่ตัดชิ้นเนื้อร้ายออกไป ในโมเม้นนั้นดิฉันจำได้เป็นอย่างดีมันเหมือนกับชีวิตในละครที่แบบเดินร้องไห้ออกมา ดิฉันมาหาหมอเพียงคนเดียว (เพราะเราไม่คิดว่าผลมันจะเป็นมะเร็ง ไม่ได้เตรียมตัวหรือเตรียมใจเลยด้วยซ้ำ) เจ็บแผลก็เจ็บ แต่ก็กลั้นใจนั่งรถตู้เพื่อพาตัวเองกลับบ้าน พอกลับไปถึงบ้านสิ่งแรกเลยคือก้มลงไปจูบเท้าลูกทั้งสองข้าง คิดในใจว่าแม่ไม่รู้จะอยู่กะหนูได้นานแค่ไหน น้ำตานี่อาบแก้มแต่ต้องร้องแบบแอบๆ เพราะแม่อยู่ไม่อยากให้แม่เห็นว่าเราอ่อนแอ แต่เราก็แอบเห็นแม่ร้องไห้เช่นกัน พ่อเรารู้เรื่องจากแม่ก็โทรมาหาเราเสียงคลอ น้องสาวรีบกลับมาจากที่ทำงานก็เข้ามากอดเรา เรากอดกันร้องไห้ ไม่รู้จะทำไง คิดถึงแต่ลูก ห่วงลูกมาก ตอนนั้นลูกชายเพ่งได้แค่ 2 เดือนเอง มันเป็นอะไรที่เกินคำว่าทุกข์ คำว่าเสียใจมันก็ยังไม่มากพอเท่ากับความรู้สึกตอนนั้น แต่เราก็ร้องไห้เสียใจได้ไม่นาน (หน้าที่แม่มั้งคะ) ก็ตัดสินใจสู้กับชีวิตบัดซบนี้มาตลอด สู้จริงๆ สู้ทุกอย่างและเราก็ผ่านมันมาได้ ทั้งเรื่องเงิน (ติดๆ ขัดๆ ไม่พอค่าใช้จ่าย เพราะต้องนั่งใช้หนี้แทนสามีด้วย) การงาน (บริษัทฯ ก็กำลังจะปิดตัวลงอีก 10 เดือนก็จะตกงาน) สุขภาพก็รักษาตามแต่คุณหมอจะสั่งและนัดตรวจ เจ็บปวดแค่ไหนก็ต้องทนเอาคะ แต่ดูทรงแล้วคงจะต้องเจ็บตัวไปตลอดชีวิต หรือจนกว่าหมอจะมั่นใจว่ามันไม่กลับมาถึงเลย 5 ปีมาแล้ว คุณหมอก็ยังนัดตรวจทุก 4 เดือนคะ (อ้อ..ลืมบอกไป พอไปฟังผลชิ้นเนื้อคุณหมอบอกว่าเราเป็นมะเร็งระยะแรกเริ่มคะ และคุณหมอก็ได้ตัดรอยโรคออกไปทั้งหมดแล้ว แต่มันมีโอกาสกลับมาเป็นได้อีกถึง 70% และก็นัดตรวจทุก 4 เดือน) และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการดูแลลูกให้ดีที่สุด เหนื่อยมากคะ ยอมรับเลยว่าการเลี้ยงลูกไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย แต่ลูกนี่หละที่ทำให้เรามีกำลังใจที่จะสู้กับชีวิตบัดซบนี้ต่อไป ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยสักเพียงไหน ไม่ว่าจะต้องทนเจ็บเพราะต้องรักษาตัวแค่ไหน ไม่ว่าจะมีเรื่องทุกข์อะไรถาโถมเข้ามา เพียงแค่เห็นรอยยิ้มของลูก แค่นี้เราก็มีกำลังใจที่จะเดินต่อไปแล้วคะ อยากจะบอกกะทุกคนว่า "ต่อให้คนรอบข้างให้กำลังใจเราแค่ไหน มันก็ไม่เท่ากับเราสร้างกำลังใจของเราขึ้นมาด้วยตนเองคะ"

ส่วนพ่อของลูกตั้งแต่ทิ้งไปก็ไม่ติดต่อมาเลย ได้ข่าวอีกทีก็เห็นว่าเขาแต่งงานกะผู้หญิงคนใหม่แล้วเพราะเขาท้อง และเกิดเดือนเดียวกะลูกของดิฉัน แต่คนละปี เคยถามหญิงคนนั้นว่าเขาโดนหลอกหรือรู้ทั้งรู้ สิ่งที่ทราบก็คือผู้หญิงคนนั้นรู้เรื่องที่ผู้ชายแต่งงานและมีลูก เชื่อไหมคะว่าผู้หญิงคนนั้นพูดว่าคำนี้ "หรอ..แล้วไง ก็เขารักกัน ความรักมันห้ามกันไม่ได้" เราก็อึ้งคะ..ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้ ความต้องการที่คุยกะผู้หญิงคนนั้นไม่ได้ต้องการสามีคืนหรอกคะ เราแค่ต้องการข้อมูลในการฟ้องหย่าคะ ทั้งสืบเองและจ้างนักสืบก็หมดเงินกะเรื่องนี้เยอะคะ (ส่วนคุณเมียน้อยเขาเที่ยวได้ประกาศว่าเราอยากได้สามีคืนคิดว่าเราไประรานเขา เขาคือนางเอกส่วนเรามันนางร้ายคะ แถมขู่ฆ่าเราหน้าเฟสเลยคะ เขาบอกว่าการที่จะทำร้ายเราไม่ใช่เรื่องยากเลย ผิดแต่ไม่ยอมรับผิดคนแบบนี้หละคะเขาถึงได้เป็นเมียน้อย) ส่วนคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อของลูกไม่เคยโทรหาเลยคะ ตอนแรกติดต่อไม่ได้ด้วยซ้ำ อ้างว่าโทรศัพท์หาย และเปลี่ยนเบอร์ไปเลย เรารู้เบอร์ของเขาจากเพื่อนคะ แต่เขาก็ไม่โทรหาเรานะ เพียงแต่มีส่งข้อความมาบ้าง คงกลัวภรรยาใหม่เขาโกรธมั้งคะ และไม่เคยส่งเงินให้ลูกสักบาท เคยบอกให้เขาโอนเงินมาใช้หนี้ที่เขาก่อบ้าง เขากลับบอกว่าไม่มี ถ้ามีจะโอนให้ เพราะช่วงนี้ลูกเขา (ลูกกะเมียน้อย) กินนมเก่งมาก นึกในใจลูกเรากินดินกินแกลบหรือไง ถึงไม่ต้องใช้เงิน แรกๆ ก็โกรธ เกลียด แค้นมากนะคะ ตอนนี้เหมือนมันเริ่มจะปลงคะ ชีวิตมันมีอะไรให้ทำมากกว่าการไปทะเลาะกับคนที่ไม่มีสามัญสำนึกที่ดีคะ

อัพเดทเรื่องสุขภาพคะ..ตอนนี้ (23 มี.ค. 58) ตรวจพบเซลล์ผิดปกติที่อีกแล้ว หมอได้ส่องกล้องและตัดชิ้นเนื้อไปตรวจรอฟังผลว่ามะเร็งมันจะกลับมาหรือไม่ วันที่ 7 เม.ย. 58 นี้คงรู้ผล หมอบอกว่าถ้ามันกลับมาจริงก็ไม่น่าจะเกินระยะ 2 ภาวนาว่าขออย่าให้ใช่เลย สาธุ

อัพเดทเรื่องผลมะเร็งคะ หมอบอกว่ามันกลับมาเป็นระยะแรกเริ่มอีกแล้วคะ งวดนี้ถึงขนาดพูดกะคุณหมอตรงๆ เลยว่า "คุณหมอคะตัดมันทิ้งไปเลยดีกว่าไหมคะ นู๋เบื่อมาหาหมอแล้วคะ" คุณหมอหัวเราะ แล้วก็บอกว่า "นี่เธอเบื่อหมอแล้วหรอ" ไอ้เราก็ซื่อตอบ "คะ นู๋เบื่อมากคะ ไม่อยากมาหาหมอแล้ว นู๋ไม่อยากเจ็บตัวอีกแล้ว" แต่หมอก็บอกว่าไม่อยากตัดมดลูกทิ้งเพราะถ้าเชื้อมันยังอยู่ มันก็กลับไปขึ้นที่ช่องคลอดอยู่ดี ทีนี้ทำการรักษายากกว่าอีกนะ เฮ้อ..!! ก็คงยังต้องรักษาต่อเนื่องต่อไปคะ เจ็บสุดๆ แต่ก็ต้องกัดฟันทนต่อสู้กะมันคะ เพื่อลูกอะนะ..บอกได้คำเดียวว่า "ฉันตายไม่ได้"

สุดท้ายนี้ขอเป็นกำลังใจให้คุณพ่อคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวทุกท่านนะคะ ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ขอให้ทุกคนผ่านอุปสรรคและปัญหาทุกอย่างไปได้ด้วยดีคะ ส่วนคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นพ่อของลูกกะผู้หญิงที่แย่งแฟนเราไปนั้น ก็ปล่อยเขาไปตามเวรตามกรรมคะ ดิฉันเชื่อเรื่องเวรกรรมคะ ใครทำไรไว้ก็ได้อย่างนั้น คนที่มันเนรคุณคนอะมันไม่มีวันเจริญหรอก..วันนี้เขาอาจจะลำลักความสุขแต่วันพรุ่งนี้เขาอาจจะกระอักความทุกข์ก็ได้เป็น ใครมีประสบการณ์อะไรดีๆ ก็แอดเฟสมาคุยกันก็ได้นะคะ ชื่อเฟส Vanjai Mazda หรือติดตามเพจ เหม่งน้อย Mazda ก็ได้
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่