“ป๊อง” เสียงเตือนจากโทรศัพท์มือถือดังขึ้นแต่เช้าตรู่ คริส หยิบมือถือขึ้นมาดู เสียงแจ้งเตือนคนที่เธอติดตามอัพเดทสเตตัสบนเฟสบุค คริสหยิบมือถือขึ้นมากดอ่านแล้วก็วางลงไปตามเดิม เธอพลิกตัวไปมองหน้าต่าง ยิ้มคนเดียวเงียบๆ ในความมืด ‘ไม่เห็นหน้าก็ขอให้เห็นหลังคาบ้าน’ สุภาษิตของหนุ่มสาวสมัยก่อน แต่สมัยนี้ คงต้องเปลี่ยนใหม่เป็น ‘ไม่เห็นหน้าก็ขอให้เห็นเฟสบุค’
“ตื่นละเหรอ” เสียงเอ่ยถามดังมาจากนอกห้อง พร้อมกับกลิ่นขนมปังปิ้งลอยกรุ่นเข้ามา
“อืม ตื่นแล้วมีไรกินบ้างไหม” คริสถามกลับไปโดยที่ยังไม่ลุกจากเตียง
“หนมปังปิ้งกับนม จะตื่นมาล้างหน้าแปรงฟันก่อนกินหรือจะกินมันทั้งขี้ฟัน” เสียงถามกระเซ้าแหย่พร้อมกับใบหน้าละมุนโผล่พ้นประตูห้องเข้ามาชะเง้อมอง
“กินแบบนี้แหละขี้เกียจอาบน้ำหนาว กินในห้องได้ป่ะ” คริสตอบพร้อมกับจ้องหน้าคนที่ยืนตรงประตู
“โน! กรุณาลุกจากเตียงมาทานข้างนอกพี่ขี้เกียจทำความสะอาดห้อง ไม่มีเวลาเดี๋ยวมดไปทำรังบนที่นอนพอดี” เสียงสูงของผู้ชายตรงหน้าทำให้คริสค่อยๆ ขยับตัวออกจากผ้าห่มอย่างเชื่องช้า เหมือนแมวขี้เกียจ
“สวัสดีค่ะ สบายดีไหมคะ?” คริสส่งข้อความไปถามคู่สนทนาในเฟสบุค
“สบายดี แต่ไม่สบายตับ ปวดตับกับคนแถวบ้าน” ข้อความตอบกลับมาจากอีกฝ่าย
“คนที่บ้านทำไรให้ปวดหัวคะ?” คริสถามกลับไป
“รู้สึกเหมือนเขาจะมีคนใหม่มั้ง เขาไม่ค่อยสนใจผมเท่าไหร่ สนใจแต่มือถือคุยกับใครก็ไม่รู้” คู่สนทนาส่งข้อความกลับมา
“มีอะไรเล่าให้ฟังได้นะคะ ยินดีรับฟังค่ะ” คริสตอบกลับไปด้วยความเป็นห่วง
“ขอบคุณครับ น่ารักจัง ถ้าคนที่บ้านน่ารักแบบนี้บ้างคงดี ^^” ข้อความที่ตอบกลับมาทำเอาคริสยิ้มไม่ออก
“^^ คนที่บ้านไม่น่ารัก ก็รักเราได้นะ” คริสตอบกลับไปทีเล่นทีจริง
“เอ๊ะ ก็น่าสนใจดี หายากนะคนที่คุยเรื่องเดียวกัน คนที่ชอบอะไรเหมือนกัน แต่ผิดที่เราเจอกันช้าไป” คู่สนทนาตอบกลับมาทีเล่นทีจริงเหมือนกัน
“ไว้เมื่อไหร่ที่เราต่างคนต่างอยู่ถูกที่ถูกเวลา เราคงได้มารักกัน แต่ในเมื่อตอนนี้มันไม่ใช่ ก็เป็นเพื่อนใจกันก็ยังดี” คริสตอบกลับไปพร้อมกับอมยิ้ม
“น่าเสียดายเนอะ บางทีพระเจ้าก็ทำไรไม่เข้าท่า ที่ลิขิตให้คนที่เข้าใจกัน มาเจอกันช้าไป ว่าไหมครับ” คู่สนทนาตอบกลับมา
“ใช่ค่ะ พระเจ้าทำอะไรไม่เข้าท่า แต่เราลิขิตชีวิตตัวเองได้นะคะ ถ้าเราอยากทำ” คริสตอบ
“ขอรับไว้พิจารณานะครับ <3 ...ที่รัก...ของคนอื่น” คริสยิ้มให้ข้อความบนหน้าจอ
“คริส ไปทานข้าวเย็นข้างนอกกัน อาบน้ำด่วนเลย” เสียงเรียกจากข้างหลังทำให้คริสต้องวางมือถือคว่ำลงกับตัก
“จะทำเสียงดังทำไมคริสก็อยู่ใกล้ๆ นี่เอง” คริสขึ้นเสียงตอบกลับไป
“อ้าว พี่ผิดอีก เรียกตั้งแต่เมื่อกี้ละทีทำเหม่อลอยนั่งยิ้มคนเดียว” เจ้าของร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาพร้อมทำหน้าหงุดหงิด
ชีวิตคู่ของคริสกับพุฒิมันเริ่มมีปัญหาเมื่อคริสเริ่มหันหน้าเข้าหาโทรศัพท์ นั่งยิ้มให้กับความเปล่าว่าง พุฒิเองก็เริ่มจะลังเลในความสัมพันธ์ บางทีเขาก็นึกอยากนอกใจเธอ เมื่อเขาเจอใครที่เข้าใจ คุยกันรู้เรื่องกว่า แต่ความผูกพันของเขาและเธอทำให้เขายังคงอยู่ตรงนี้ พยายามแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
“ที่รัก...ช่วยผมหน่อยได้ไหม ผมเครียดไม่รู้จะทำยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้น” ข้อความที่เด้งขึ้นมาทำให้คริสตัดสินใจนั่งอยู่ในห้องน้ำต่อ ทิ้งให้พุฒิรออยู่ที่โต๊ะอาหาร
“มีอะไรให้ช่วยคะ?” คริสส่งข้อความกลับไป
“แฟนผมเขาไม่เคยสนใจผมเลย ทำท่าเหมือนรำคาญตลอดเวลา มันอาจจะถึงเวลาที่ผมต้องตัดใจแล้วหรือเปล่า?” อีกฝ่ายขอคำปรึกษา
“ก่อนจะตัดสินใจอะไรก็คิดให้ดีก่อนนะคะ คบกันมาตั้งนาน บางทีเขาอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้ แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ มารักกับเราได้นะ

” คริสตอบกลับไป
“อืม ผมก็ยังรักเขาอยู่ รักมากด้วย แต่บางทีเราคุยกันไม่ค่อยเข้าใจ เวลาผมคุยกับคุณผมรู้สึกสบายใจมากกว่า คุณกับผมเข้าใจกันมากกว่า ที่ผมกับเขาจะเข้าใจกันเสียอีก ถ้าเขาเข้าใจผมได้สักครึ่งหนึ่งของคุณก็ดีสินะ” คู่สนทนาตอบกลับมา
“ขอบคุณที่รู้สึกดีนะคะ เราก็รู้สึกดีกับคุณเหมือนกัน เรามาคบกันไหม?”คริสถามกลับไปตรงๆ
“อืม ขอบคุณนะครับที่ให้โอกาส แต่ผมคงไม่ขอรับสิทธิ์นั้นถึงแม้ว่าผมจะรู้สึกดีกับคุณ แต่มันก็เหมือนกับคุณเป็นเงาของเขา อะไรหลายอย่างในตัวตนของคุณที่ผมสัมผัส แม้เราจะไม่เคยเจอกัน ผมรู้สึกว่าคุณเหมือนแฟนของผม แต่คุณเข้าใจผมมากกว่าเขา แต่นั่นไม่ได้ประกันว่าเราจะเข้ากันได้ดี ผมว่า ผมยังรักแฟนผมอยู่ และผมไม่คิดจะมีใครครับ บางครั้งที่ผมพูดเล่นกับคุณ ผมต้องขอโทษด้วย ผมคิดว่า ผมกำลังคุยกับแฟน ขอโทษจริงๆ ถ้าทำให้คุณเข้าใจผิด” คู่สนทนาตอบกลับมายาวเหยียด
คริสปิดมือถือ เธอรู้สึกอยากจะกรีดร้องดังๆ เธอควรจะโมโห โกรธ หรือดีใจ ดีเนี่ย ที่เขาปฏิเสธเธอแบบไม่เหลือเยื่อใย ผู้ชายคนนนั้นทำให้เธออับอายกับบทสนทนาที่เกิดขึ้น แต่เขาก็ทำให้เธอรู้สึกดีใจ ตื้นตันใจจนพูดไม่ออก คริสตัดสินใจเดินออกจากห้องน้ำไปเงียบ เธอเดินไปข้างหลังพุฒิ ที่กำลังมองออกไปนอกร้าน คริสโน้มตัวไปกอดพุฒิ พร้อมกับกระซิบริมหูชายหนุ่มด้วยเสียงแผ่วเบา
“ขอบคุณนะคะที่รักกัน และไม่เคยคิดจะนอกใจ” พุฒิหันหน้ามาสบตากับคนรักที่โอบกอดเขาท่ามกลางสายตาคนนับร้อยโดยไม่แคร์ใคร
“เป็นไรเนี่ยเรา บ้าอะไรขึ้นมา อายคนเขาไม่นั่น” พุฒิเบี่ยงตัวจากอ้อมกอดของหญิงสาวเพื่อยืนขึ้น เขารู้สึกเขินอายต่อสายตาของคนในร้านที่มองมา
“คริสไม่ได้บ้า แต่พี่แหละที่บ้า อยู่ด้วยกันคุยกันตรงๆ ก็ได้ ไม่ยอมคุย ต้องให้คริสแอบสมัครเฟสบุคแอดไปคุยด้วยถึงจะยอมระบายความในใจ” พุฒิหน้าแดงกล่ำด้วยความเขินอาย เขาได้แต่ตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าคนที่เขาคุยด้วย คนที่เขารู้สึกดีด้วย ในโลกไซเบอร์ คือคนข้างกายเขานี่เอง
Facelove
“ตื่นละเหรอ” เสียงเอ่ยถามดังมาจากนอกห้อง พร้อมกับกลิ่นขนมปังปิ้งลอยกรุ่นเข้ามา
“อืม ตื่นแล้วมีไรกินบ้างไหม” คริสถามกลับไปโดยที่ยังไม่ลุกจากเตียง
“หนมปังปิ้งกับนม จะตื่นมาล้างหน้าแปรงฟันก่อนกินหรือจะกินมันทั้งขี้ฟัน” เสียงถามกระเซ้าแหย่พร้อมกับใบหน้าละมุนโผล่พ้นประตูห้องเข้ามาชะเง้อมอง
“กินแบบนี้แหละขี้เกียจอาบน้ำหนาว กินในห้องได้ป่ะ” คริสตอบพร้อมกับจ้องหน้าคนที่ยืนตรงประตู
“โน! กรุณาลุกจากเตียงมาทานข้างนอกพี่ขี้เกียจทำความสะอาดห้อง ไม่มีเวลาเดี๋ยวมดไปทำรังบนที่นอนพอดี” เสียงสูงของผู้ชายตรงหน้าทำให้คริสค่อยๆ ขยับตัวออกจากผ้าห่มอย่างเชื่องช้า เหมือนแมวขี้เกียจ
“สวัสดีค่ะ สบายดีไหมคะ?” คริสส่งข้อความไปถามคู่สนทนาในเฟสบุค
“สบายดี แต่ไม่สบายตับ ปวดตับกับคนแถวบ้าน” ข้อความตอบกลับมาจากอีกฝ่าย
“คนที่บ้านทำไรให้ปวดหัวคะ?” คริสถามกลับไป
“รู้สึกเหมือนเขาจะมีคนใหม่มั้ง เขาไม่ค่อยสนใจผมเท่าไหร่ สนใจแต่มือถือคุยกับใครก็ไม่รู้” คู่สนทนาส่งข้อความกลับมา
“มีอะไรเล่าให้ฟังได้นะคะ ยินดีรับฟังค่ะ” คริสตอบกลับไปด้วยความเป็นห่วง
“ขอบคุณครับ น่ารักจัง ถ้าคนที่บ้านน่ารักแบบนี้บ้างคงดี ^^” ข้อความที่ตอบกลับมาทำเอาคริสยิ้มไม่ออก
“^^ คนที่บ้านไม่น่ารัก ก็รักเราได้นะ” คริสตอบกลับไปทีเล่นทีจริง
“เอ๊ะ ก็น่าสนใจดี หายากนะคนที่คุยเรื่องเดียวกัน คนที่ชอบอะไรเหมือนกัน แต่ผิดที่เราเจอกันช้าไป” คู่สนทนาตอบกลับมาทีเล่นทีจริงเหมือนกัน
“ไว้เมื่อไหร่ที่เราต่างคนต่างอยู่ถูกที่ถูกเวลา เราคงได้มารักกัน แต่ในเมื่อตอนนี้มันไม่ใช่ ก็เป็นเพื่อนใจกันก็ยังดี” คริสตอบกลับไปพร้อมกับอมยิ้ม
“น่าเสียดายเนอะ บางทีพระเจ้าก็ทำไรไม่เข้าท่า ที่ลิขิตให้คนที่เข้าใจกัน มาเจอกันช้าไป ว่าไหมครับ” คู่สนทนาตอบกลับมา
“ใช่ค่ะ พระเจ้าทำอะไรไม่เข้าท่า แต่เราลิขิตชีวิตตัวเองได้นะคะ ถ้าเราอยากทำ” คริสตอบ
“ขอรับไว้พิจารณานะครับ <3 ...ที่รัก...ของคนอื่น” คริสยิ้มให้ข้อความบนหน้าจอ
“คริส ไปทานข้าวเย็นข้างนอกกัน อาบน้ำด่วนเลย” เสียงเรียกจากข้างหลังทำให้คริสต้องวางมือถือคว่ำลงกับตัก
“จะทำเสียงดังทำไมคริสก็อยู่ใกล้ๆ นี่เอง” คริสขึ้นเสียงตอบกลับไป
“อ้าว พี่ผิดอีก เรียกตั้งแต่เมื่อกี้ละทีทำเหม่อลอยนั่งยิ้มคนเดียว” เจ้าของร่างสูงโปร่งเดินเข้ามาพร้อมทำหน้าหงุดหงิด
ชีวิตคู่ของคริสกับพุฒิมันเริ่มมีปัญหาเมื่อคริสเริ่มหันหน้าเข้าหาโทรศัพท์ นั่งยิ้มให้กับความเปล่าว่าง พุฒิเองก็เริ่มจะลังเลในความสัมพันธ์ บางทีเขาก็นึกอยากนอกใจเธอ เมื่อเขาเจอใครที่เข้าใจ คุยกันรู้เรื่องกว่า แต่ความผูกพันของเขาและเธอทำให้เขายังคงอยู่ตรงนี้ พยายามแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น
“ที่รัก...ช่วยผมหน่อยได้ไหม ผมเครียดไม่รู้จะทำยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้น” ข้อความที่เด้งขึ้นมาทำให้คริสตัดสินใจนั่งอยู่ในห้องน้ำต่อ ทิ้งให้พุฒิรออยู่ที่โต๊ะอาหาร
“มีอะไรให้ช่วยคะ?” คริสส่งข้อความกลับไป
“แฟนผมเขาไม่เคยสนใจผมเลย ทำท่าเหมือนรำคาญตลอดเวลา มันอาจจะถึงเวลาที่ผมต้องตัดใจแล้วหรือเปล่า?” อีกฝ่ายขอคำปรึกษา
“ก่อนจะตัดสินใจอะไรก็คิดให้ดีก่อนนะคะ คบกันมาตั้งนาน บางทีเขาอาจจะไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดก็ได้ แต่ถ้าไม่ไหวจริงๆ มารักกับเราได้นะ
“อืม ผมก็ยังรักเขาอยู่ รักมากด้วย แต่บางทีเราคุยกันไม่ค่อยเข้าใจ เวลาผมคุยกับคุณผมรู้สึกสบายใจมากกว่า คุณกับผมเข้าใจกันมากกว่า ที่ผมกับเขาจะเข้าใจกันเสียอีก ถ้าเขาเข้าใจผมได้สักครึ่งหนึ่งของคุณก็ดีสินะ” คู่สนทนาตอบกลับมา
“ขอบคุณที่รู้สึกดีนะคะ เราก็รู้สึกดีกับคุณเหมือนกัน เรามาคบกันไหม?”คริสถามกลับไปตรงๆ
“อืม ขอบคุณนะครับที่ให้โอกาส แต่ผมคงไม่ขอรับสิทธิ์นั้นถึงแม้ว่าผมจะรู้สึกดีกับคุณ แต่มันก็เหมือนกับคุณเป็นเงาของเขา อะไรหลายอย่างในตัวตนของคุณที่ผมสัมผัส แม้เราจะไม่เคยเจอกัน ผมรู้สึกว่าคุณเหมือนแฟนของผม แต่คุณเข้าใจผมมากกว่าเขา แต่นั่นไม่ได้ประกันว่าเราจะเข้ากันได้ดี ผมว่า ผมยังรักแฟนผมอยู่ และผมไม่คิดจะมีใครครับ บางครั้งที่ผมพูดเล่นกับคุณ ผมต้องขอโทษด้วย ผมคิดว่า ผมกำลังคุยกับแฟน ขอโทษจริงๆ ถ้าทำให้คุณเข้าใจผิด” คู่สนทนาตอบกลับมายาวเหยียด
คริสปิดมือถือ เธอรู้สึกอยากจะกรีดร้องดังๆ เธอควรจะโมโห โกรธ หรือดีใจ ดีเนี่ย ที่เขาปฏิเสธเธอแบบไม่เหลือเยื่อใย ผู้ชายคนนนั้นทำให้เธออับอายกับบทสนทนาที่เกิดขึ้น แต่เขาก็ทำให้เธอรู้สึกดีใจ ตื้นตันใจจนพูดไม่ออก คริสตัดสินใจเดินออกจากห้องน้ำไปเงียบ เธอเดินไปข้างหลังพุฒิ ที่กำลังมองออกไปนอกร้าน คริสโน้มตัวไปกอดพุฒิ พร้อมกับกระซิบริมหูชายหนุ่มด้วยเสียงแผ่วเบา
“ขอบคุณนะคะที่รักกัน และไม่เคยคิดจะนอกใจ” พุฒิหันหน้ามาสบตากับคนรักที่โอบกอดเขาท่ามกลางสายตาคนนับร้อยโดยไม่แคร์ใคร
“เป็นไรเนี่ยเรา บ้าอะไรขึ้นมา อายคนเขาไม่นั่น” พุฒิเบี่ยงตัวจากอ้อมกอดของหญิงสาวเพื่อยืนขึ้น เขารู้สึกเขินอายต่อสายตาของคนในร้านที่มองมา
“คริสไม่ได้บ้า แต่พี่แหละที่บ้า อยู่ด้วยกันคุยกันตรงๆ ก็ได้ ไม่ยอมคุย ต้องให้คริสแอบสมัครเฟสบุคแอดไปคุยด้วยถึงจะยอมระบายความในใจ” พุฒิหน้าแดงกล่ำด้วยความเขินอาย เขาได้แต่ตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น เขาไม่เคยรู้มาก่อนว่าคนที่เขาคุยด้วย คนที่เขารู้สึกดีด้วย ในโลกไซเบอร์ คือคนข้างกายเขานี่เอง