ตอนแรกกะว่าเรื่องนี้จะเก็บเอาไว้กับตัวเอง อาจจะมีเล่าให้คนอื่นฟังบ้างถ้ามีโอกาสเหมาะ เพราะบางทีบางเรื่องพูดไปก็เหมือนกับบ่นกับสายลม ไม่มีอะไรได้คืนกลับมาจากความเหนื่อยในการขยับปาก (ในที่นี้ก็ขยับนิ้วแทน) แต่หลังจากที่เมื่อเช้าได้เข้าไปอ่านข้อความของชายชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งที่พูดถึงความไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยของสนามบินแห่งชาติสุวรรณภูมิ การเอารัดเอาเปรียบ หาประโยชน์จากนักท่องเที่ยวของเหล่าแท็กซี่มิเตอร์ทั้งหลาย ก็รู้สึกสงสารที่เขาต้องมาเจออะไรแบบนี้
ผมเองมีประสบการณ์ที่ "เคย" ดีกับสนามบินสุวรรณภูมิมาบ้าง แต่มาช่วงหลังๆนั้นแทบจะเรียกได้ว่ามันหายไปหมดแล้ว จากที่เมื่อก่อนการตรวจพาสปอร์ตระหว่างเดินทางออกนอกประเทศเป็นเรื่องที่ถือว่าจัดการได้ดี ตอนนี้กลับใช้เวลานานมากกว่าปกติ 10-15 นาที กลายมาเป็น ครึ่งชั่วโมงทั้งๆที่เป็นช่วงเวลาที่คนไม่ได้หนาแน่นสักเท่าไหร่ พอผ่านจุดนั้นก็เหมือนกัน ไม่แน่ใจว่าระบบช้าหรือว่าตัดปริมาณเจ้าพนักงานกันแน่ ช่องตรวจสแกนร่างกายที่มีเกือบสิบช่องแต่เปิดอยู่แค่สองช่อง คนก็ต่อคิวเป็นแถวยาวจนน่ารำคาญ เจ้าหน้าที่ตรงนั้นบางคนยืนเม้าท์กันคุยเล่นก็มีอยู่ ไม่แน่ใจว่ายืนกันอยู่ทำไม หรือมาตรวจงานดูแลคุณภาพ?
อันนั้นเป็นเรื่องของขาไป ส่วนขากลับนั้นเป็นเรื่องน่าปวดหัวอย่างมาก
หลังจากเก็บกระเป๋าเดินออกทางออกจากสายพาน ผ่าน ตม. ออกมาก็เดินไปใช้บริการของรถแท็กซี่เพราะสัมภาระปริมาณล้นมือ แอบดีใจที่ตอนนี้เขามีบริการแท็กซี่ทั้งคันเล็กและคันใหญ่ ผมก็ไปต่อแถวเพื่อขอใช้บริการรถคันโต ไม่ใช่เพราะอยากนั่งสบาย แต่แค่เชื่อว่าคันเล็กคงจะใส่ของไม่พอ ถึงเวลารถของเรามา พวกเราก็ลากกระเป๋าไปที่รถ พี่คนขับก็ถามถึงปลายทางที่เราจะไป ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่คำถามต่อมาเอาผมงงไปเลย "เจ้าหน้าที่บอกมาว่าเท่าไหร่?"
เจ้าหน้าที่ที่เขาพี่ชายคนนั้นพูดถึงคือคนที่กดปุ่มคิวเรียกรถ
ผมก็เลยถามว่า "อ้าวพี่...ไม่ได้ใช้ มิเตอร์ เหรอครับ?"
พี่เขาก็ตอบมาว่า "ถ้ารถใหญ่กดมิเตอร์ผมก็ไม่คุ้ม" ผมคิดในใจแล้วมันคืออะไรที่เขียนว่า Taxi-Meter ที่ติดอยู่บนหลังคารถ
"อ่อ...ถ้าไม่กด ผมก็ไม่ไปไม่เป็นไรครับ" ผมตอบ
พี่เขาก็ทำหน้าอารมณ์เสียเหมือนกับว่าผมเป็นคนผิด "แบบนี้แหละถึงไม่อยากรับผู้โดยสารคนไทย"
ผมคิดในใจนี่กูผิดที่จะใช้มิเตอร์ที่คุณพี่ติดเอาไว้เหรอ? ผมเริ่มอารมณ์เสีย
"ถ้าไม่กดก็ไม่ไปครับ" ผมยืนยันคำเดิม
"เออๆๆ ไปไป" อย่างไม่เต็มใจ
ผมผมก็ขนกระเป๋าขึ้นหลังรถ เรื่องราวน่าจะจบลงตรงนี้ แต่พี่เขายังไม่จบ โทรบ่นหาเพื่อนตลอดทาง บ่นว่าไม่อยากทำไม่อยากขับแล้วนู้นนั้นนี่ ไม่อยากได้ผู้โดยสารไทย รู้มากอย่างงั้นอย่างงี้ ผมก็อดไม่ได้
"พี่มีมิเตอร์ไว้ทำไมครับ" ผมถามอย่างเบื่อหน่าย
"รถมันคันใหญ่ เติมแก๊สก็จริงแต่มันก็เติมเยอะกว่ากินเยอะกว่า"
"งั้นพี่ก็ไปเรียกร้องที่สนามบินสิว่าถ้าเป็นรถใหญ่ ให้ตกลงราคาก่อนกดคิว บอกไปเลยเส้นนี้ 500 ไปมั้ย? 700? ว่ากันไป ทำรถให้มันเป็นรถสนามบินไปเลย วิ่งมันแค่นี้ สนามบิน-ปลายทาง ปลายทาง-สนามบิน ดีกว่าที่จะมาติดป้าย taxi-meter แต่เป็นมิเตอร์เหมาจ่ายแบบนี้ ไม่ดีกว่าเหรอครับ?"
พี่เขาก็เงียบไป ผมก้เงียบไป เพราะไม่รู้จะคุยอะไรกันต่อ
ในใจผมก็คิดแหละว่ามันคงมีส่วนจริงอยู่บ้างในสิ่งที่เขาพูด อาจจะจริงที่เขาจะต้องเสียเงินค่าน้ำมันเชื้อเพลิงที่มากกว่า แต่ปัญหามันมีทางแก้ที่สามารถจะปรับปรุงให้มันดีขึ้นได้ แต่ด้วยความมักง่ายหรือฉวยโอกาสในความไม่รู้ของนักท่องเที่ยว ทำให้ชื่อเสียงของประเทศไทยนั้นเสื่อมเสียจนยากเกินที่จะกู้คืนได้ ขนาดผมเป็นคนไทยยังรู้สึกเลยว่าบางทีมันน่าเกลียดจนเกินไป
ตอนจ่ายเงินค่าโดยสาร ผมให้ทิปคุณพี่เขาไปอีกร้อยหนึ่ง แม้จะไม่พอใจในระบบและทุกอย่างที่เกิดขึ้น อย่างน้อยสำหรับผมเองการได้ให้มันทำให้รู้สึกดีขึ้นกับตัวเองถ้าผมเป็นตัวลำบากให้เขาจริงๆ
จากหน้างอหลายมาเป็นยิ้มแฉ่ง ช่วยผมยกกระเป๋าลงจากรถแถมไม่พอยกมือไหว้ขอบคุณยกใหญ่
บางสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ความเห็นแก่เงินของใครบางคน
สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
ผมเองมีประสบการณ์ที่ "เคย" ดีกับสนามบินสุวรรณภูมิมาบ้าง แต่มาช่วงหลังๆนั้นแทบจะเรียกได้ว่ามันหายไปหมดแล้ว จากที่เมื่อก่อนการตรวจพาสปอร์ตระหว่างเดินทางออกนอกประเทศเป็นเรื่องที่ถือว่าจัดการได้ดี ตอนนี้กลับใช้เวลานานมากกว่าปกติ 10-15 นาที กลายมาเป็น ครึ่งชั่วโมงทั้งๆที่เป็นช่วงเวลาที่คนไม่ได้หนาแน่นสักเท่าไหร่ พอผ่านจุดนั้นก็เหมือนกัน ไม่แน่ใจว่าระบบช้าหรือว่าตัดปริมาณเจ้าพนักงานกันแน่ ช่องตรวจสแกนร่างกายที่มีเกือบสิบช่องแต่เปิดอยู่แค่สองช่อง คนก็ต่อคิวเป็นแถวยาวจนน่ารำคาญ เจ้าหน้าที่ตรงนั้นบางคนยืนเม้าท์กันคุยเล่นก็มีอยู่ ไม่แน่ใจว่ายืนกันอยู่ทำไม หรือมาตรวจงานดูแลคุณภาพ?
อันนั้นเป็นเรื่องของขาไป ส่วนขากลับนั้นเป็นเรื่องน่าปวดหัวอย่างมาก
หลังจากเก็บกระเป๋าเดินออกทางออกจากสายพาน ผ่าน ตม. ออกมาก็เดินไปใช้บริการของรถแท็กซี่เพราะสัมภาระปริมาณล้นมือ แอบดีใจที่ตอนนี้เขามีบริการแท็กซี่ทั้งคันเล็กและคันใหญ่ ผมก็ไปต่อแถวเพื่อขอใช้บริการรถคันโต ไม่ใช่เพราะอยากนั่งสบาย แต่แค่เชื่อว่าคันเล็กคงจะใส่ของไม่พอ ถึงเวลารถของเรามา พวกเราก็ลากกระเป๋าไปที่รถ พี่คนขับก็ถามถึงปลายทางที่เราจะไป ซึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่คำถามต่อมาเอาผมงงไปเลย "เจ้าหน้าที่บอกมาว่าเท่าไหร่?"
เจ้าหน้าที่ที่เขาพี่ชายคนนั้นพูดถึงคือคนที่กดปุ่มคิวเรียกรถ
ผมก็เลยถามว่า "อ้าวพี่...ไม่ได้ใช้ มิเตอร์ เหรอครับ?"
พี่เขาก็ตอบมาว่า "ถ้ารถใหญ่กดมิเตอร์ผมก็ไม่คุ้ม" ผมคิดในใจแล้วมันคืออะไรที่เขียนว่า Taxi-Meter ที่ติดอยู่บนหลังคารถ
"อ่อ...ถ้าไม่กด ผมก็ไม่ไปไม่เป็นไรครับ" ผมตอบ
พี่เขาก็ทำหน้าอารมณ์เสียเหมือนกับว่าผมเป็นคนผิด "แบบนี้แหละถึงไม่อยากรับผู้โดยสารคนไทย"
ผมคิดในใจนี่กูผิดที่จะใช้มิเตอร์ที่คุณพี่ติดเอาไว้เหรอ? ผมเริ่มอารมณ์เสีย
"ถ้าไม่กดก็ไม่ไปครับ" ผมยืนยันคำเดิม
"เออๆๆ ไปไป" อย่างไม่เต็มใจ
ผมผมก็ขนกระเป๋าขึ้นหลังรถ เรื่องราวน่าจะจบลงตรงนี้ แต่พี่เขายังไม่จบ โทรบ่นหาเพื่อนตลอดทาง บ่นว่าไม่อยากทำไม่อยากขับแล้วนู้นนั้นนี่ ไม่อยากได้ผู้โดยสารไทย รู้มากอย่างงั้นอย่างงี้ ผมก็อดไม่ได้
"พี่มีมิเตอร์ไว้ทำไมครับ" ผมถามอย่างเบื่อหน่าย
"รถมันคันใหญ่ เติมแก๊สก็จริงแต่มันก็เติมเยอะกว่ากินเยอะกว่า"
"งั้นพี่ก็ไปเรียกร้องที่สนามบินสิว่าถ้าเป็นรถใหญ่ ให้ตกลงราคาก่อนกดคิว บอกไปเลยเส้นนี้ 500 ไปมั้ย? 700? ว่ากันไป ทำรถให้มันเป็นรถสนามบินไปเลย วิ่งมันแค่นี้ สนามบิน-ปลายทาง ปลายทาง-สนามบิน ดีกว่าที่จะมาติดป้าย taxi-meter แต่เป็นมิเตอร์เหมาจ่ายแบบนี้ ไม่ดีกว่าเหรอครับ?"
พี่เขาก็เงียบไป ผมก้เงียบไป เพราะไม่รู้จะคุยอะไรกันต่อ
ในใจผมก็คิดแหละว่ามันคงมีส่วนจริงอยู่บ้างในสิ่งที่เขาพูด อาจจะจริงที่เขาจะต้องเสียเงินค่าน้ำมันเชื้อเพลิงที่มากกว่า แต่ปัญหามันมีทางแก้ที่สามารถจะปรับปรุงให้มันดีขึ้นได้ แต่ด้วยความมักง่ายหรือฉวยโอกาสในความไม่รู้ของนักท่องเที่ยว ทำให้ชื่อเสียงของประเทศไทยนั้นเสื่อมเสียจนยากเกินที่จะกู้คืนได้ ขนาดผมเป็นคนไทยยังรู้สึกเลยว่าบางทีมันน่าเกลียดจนเกินไป
ตอนจ่ายเงินค่าโดยสาร ผมให้ทิปคุณพี่เขาไปอีกร้อยหนึ่ง แม้จะไม่พอใจในระบบและทุกอย่างที่เกิดขึ้น อย่างน้อยสำหรับผมเองการได้ให้มันทำให้รู้สึกดีขึ้นกับตัวเองถ้าผมเป็นตัวลำบากให้เขาจริงๆ
จากหน้างอหลายมาเป็นยิ้มแฉ่ง ช่วยผมยกกระเป๋าลงจากรถแถมไม่พอยกมือไหว้ขอบคุณยกใหญ่
บางสิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ความเห็นแก่เงินของใครบางคน