จากความเดิมตอนที่แล้ว ..
http://pantip.com/topic/33009788 หลังจากการท่องเที่ยวในเมืองน่ารักๆ อย่างดาลัดจบลง เช้าวันถัดมา
เราตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางต่อไปยังเมือง มุยเน่ เมืองที่มีทะเลทรายโดยธรรมชาติหนึ่งเดียวในเอเชีย ระยะทางจากดาลัด เพื่อไปมุยเน่
เราเดินทางด้วยรถมินิบัส ของบริษัท sinh tourist ซึ่งทางโรงแรมเป็นคนจองให้เราค่ะ รถคันนึงมีผู้โดยสารประมาณ 20 คนซึ่งเราเป็นกลุ่มคนไทยกลุ่มเดียวเลย ระยะทางจากดาลัดไปมุยเน่นั้นไม่ได้ไกลกันมากแต่เนื่องจาก ต้องขึ้นลงภูเขาตลอดทาง ทำให้ใช้เวลาการเดินทางครึ่งค่อนวันกันเลยทีเดียว
ระหว่างทางรถได้จอดให้นักท่องเที่ยวลงไปถ่ายรูปด้วย (แต่จริงๆคนขับลงไปสูบบุหรี่)
หลังจากการเดินทางวกไปวนมาในภูเขา และเวลาล่วงเลยเกือบบ่ายโมงแล้ว พวกเราก็มาถึงมุยเน่เสียที มองสองข้างทาง คล้ายๆพัทยาบ้านเราแต่เงียบเหงากว่าเยอะเลย
หลังจาก checkin ที่โรงแรมเรียบร้อย ก้ติดต่อ half day trip ซึ่งในโปรแกรมจะมี ทะเลทรายขาว ทะเลทรายแดง แฟรี่สตรีม และท่าเรือที่ออกไปหาปลา
แต่เราตัด แฟรี่สตรีมไป เพราะไม่อยากลุยน้ำ และถามพี่ที่เคยไปมาก็ได้คำตอบว่า ไม่ต้องไปหรอก เราเลยตัดแฟรี่สตรีมทิ้งไป
ระหว่างทางระหว่างไปทะเลทรายขาว ซึ่งอยู่ไกลจากตัวเมืองมาก ใช้เวลาเดินทาง น่าจะราวๆครึ่งชั่วโมงเลย
เมื่อถึงทะเลทรายขาว จะมีรถ ATV ให้เช่าสำหรับเข้าไปด้านในซึ่งราคาค่อนข้างแพง เราเลยเดินกันเข้าไป ใช้เวลาประมาณ 15 นาที
ก็คิดว่าจะเดินไปชิวๆ แต่ไม่ใช่แหะ เดินขึ้นภูเขาทราย นี่ดูดพลังมากเลยทีเดียว
ในที่สุดก็ถึง ท้องฟ้าสภาพอากาศไม่เป็นใจเลยวันนี้ คิดถึงท้องฟ้าที่ดาลัดขึ้นมาทันที
ใช้เวลาถ่ายรูปนั่งเล่น ที่ทะเลทรายขาวกันไปรอหายเหนื่อยค่อยเดินลงจากกองทราย
และเราก็ไปต่อกันที่ทะเลทรายแดง ซึ่งเราผ่านในตอนแรกที่ไปทะเลทรายขาวแล้ว ทะเลทรายแดงจะเล็กๆอยู่ใกล้เมือง
ทรายเป็นสีแดง จริงๆมองด้วยตาก็แยกไม่ค่อยออกว่าแดงยังไง แต่ตอนขากลับ ทรายที่ติดรองเท้ามาตอนเทออกนี่ เห็ดชัดเจนเลยว่าแดงมาก
หลังจากจบทริป ก็กลับเข้ามาล้างทรายที่ติดตัวและออกไปหาอาหารทะเลกินกัน ซึ่งเราก็ไปร้านเด็ดที่ได้ข้อมูลจากพี่พัน ของเรานี่เอง
ร้าน LAM TONG ซึ่งไม่ไกลจาก รร.ที่เราพักสามารถเดินไปได้สบายๆ อาหารทะเลที่นี่เราว่าสดมากๆ ปลาหมึกอร่อยที่สุด ส่วนเรื่องราคาก็สมเหตุผลค่ะ
พอเข้าไปถึงร้าน พนักงานถามว่ามาจากไหนกัน พอเราบอกว่าคนไทย พนักงานก็พูดภาษาไทยกับเราเลย ว่าจะกินอะไร ทำอะไร
เราเลยสั่ง กุ้ง ปลาหมึก อย่างละ 1 กิโล และปลาเก๋าอีก 1 ตัวใหญ่
กุ้งปลาหมึกเราแบ่งไปย่างอย่างละครึ่งกิโล ที่เหลือ กุ้งไปผัดซอสมะขามอะไรสักอย่าง อร่อยค่ะ เห็นมีเมนูผัดซอสมะขามเกือบทุกร้านที่ไปกิน
ส่วนปลาเก๋านี่ ทอดกันเลยทั้งตัว (ปลาตัวเดียวหนัก 1.6 กิโล ต้องแบ่งมาสองจานเลย) และมีน้ำจิ้มราดหวานๆเปรี่ยวๆ อร่อยค่ะ เรียกได้ว่าเป็นอาหารมื้อปกติที่สุดที่กินที่เวียดนาม
ค่าอาหารมื้อนี้หมดไปประมาณ 2500 บาทค่ะ มีข้อติดนิดนึงตรงน้ำจิ้มซีฟู๊ดมันยังไม่จัดจ้านแบบไทยๆเรา
จบวันที่มุยเน่ ไปกับความสุขจากการกินอาหารทะเลแสนอร่อย และการไปเที่ยวทะเลทรายที่ไม่ต้องไปไกลถึงดูไบ
[CR] หนีแฟนเที่ยว โฮจิมินห์ ดาลัด มุยเน่ PART II ** ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด **
เราตื่นแต่เช้าเพื่อเดินทางต่อไปยังเมือง มุยเน่ เมืองที่มีทะเลทรายโดยธรรมชาติหนึ่งเดียวในเอเชีย ระยะทางจากดาลัด เพื่อไปมุยเน่
เราเดินทางด้วยรถมินิบัส ของบริษัท sinh tourist ซึ่งทางโรงแรมเป็นคนจองให้เราค่ะ รถคันนึงมีผู้โดยสารประมาณ 20 คนซึ่งเราเป็นกลุ่มคนไทยกลุ่มเดียวเลย ระยะทางจากดาลัดไปมุยเน่นั้นไม่ได้ไกลกันมากแต่เนื่องจาก ต้องขึ้นลงภูเขาตลอดทาง ทำให้ใช้เวลาการเดินทางครึ่งค่อนวันกันเลยทีเดียว
ระหว่างทางรถได้จอดให้นักท่องเที่ยวลงไปถ่ายรูปด้วย (แต่จริงๆคนขับลงไปสูบบุหรี่)
หลังจากการเดินทางวกไปวนมาในภูเขา และเวลาล่วงเลยเกือบบ่ายโมงแล้ว พวกเราก็มาถึงมุยเน่เสียที มองสองข้างทาง คล้ายๆพัทยาบ้านเราแต่เงียบเหงากว่าเยอะเลย
หลังจาก checkin ที่โรงแรมเรียบร้อย ก้ติดต่อ half day trip ซึ่งในโปรแกรมจะมี ทะเลทรายขาว ทะเลทรายแดง แฟรี่สตรีม และท่าเรือที่ออกไปหาปลา
แต่เราตัด แฟรี่สตรีมไป เพราะไม่อยากลุยน้ำ และถามพี่ที่เคยไปมาก็ได้คำตอบว่า ไม่ต้องไปหรอก เราเลยตัดแฟรี่สตรีมทิ้งไป
ระหว่างทางระหว่างไปทะเลทรายขาว ซึ่งอยู่ไกลจากตัวเมืองมาก ใช้เวลาเดินทาง น่าจะราวๆครึ่งชั่วโมงเลย
เมื่อถึงทะเลทรายขาว จะมีรถ ATV ให้เช่าสำหรับเข้าไปด้านในซึ่งราคาค่อนข้างแพง เราเลยเดินกันเข้าไป ใช้เวลาประมาณ 15 นาที
ก็คิดว่าจะเดินไปชิวๆ แต่ไม่ใช่แหะ เดินขึ้นภูเขาทราย นี่ดูดพลังมากเลยทีเดียว
ในที่สุดก็ถึง ท้องฟ้าสภาพอากาศไม่เป็นใจเลยวันนี้ คิดถึงท้องฟ้าที่ดาลัดขึ้นมาทันที
ใช้เวลาถ่ายรูปนั่งเล่น ที่ทะเลทรายขาวกันไปรอหายเหนื่อยค่อยเดินลงจากกองทราย
และเราก็ไปต่อกันที่ทะเลทรายแดง ซึ่งเราผ่านในตอนแรกที่ไปทะเลทรายขาวแล้ว ทะเลทรายแดงจะเล็กๆอยู่ใกล้เมือง
ทรายเป็นสีแดง จริงๆมองด้วยตาก็แยกไม่ค่อยออกว่าแดงยังไง แต่ตอนขากลับ ทรายที่ติดรองเท้ามาตอนเทออกนี่ เห็ดชัดเจนเลยว่าแดงมาก
หลังจากจบทริป ก็กลับเข้ามาล้างทรายที่ติดตัวและออกไปหาอาหารทะเลกินกัน ซึ่งเราก็ไปร้านเด็ดที่ได้ข้อมูลจากพี่พัน ของเรานี่เอง
ร้าน LAM TONG ซึ่งไม่ไกลจาก รร.ที่เราพักสามารถเดินไปได้สบายๆ อาหารทะเลที่นี่เราว่าสดมากๆ ปลาหมึกอร่อยที่สุด ส่วนเรื่องราคาก็สมเหตุผลค่ะ
พอเข้าไปถึงร้าน พนักงานถามว่ามาจากไหนกัน พอเราบอกว่าคนไทย พนักงานก็พูดภาษาไทยกับเราเลย ว่าจะกินอะไร ทำอะไร
เราเลยสั่ง กุ้ง ปลาหมึก อย่างละ 1 กิโล และปลาเก๋าอีก 1 ตัวใหญ่
กุ้งปลาหมึกเราแบ่งไปย่างอย่างละครึ่งกิโล ที่เหลือ กุ้งไปผัดซอสมะขามอะไรสักอย่าง อร่อยค่ะ เห็นมีเมนูผัดซอสมะขามเกือบทุกร้านที่ไปกิน
ส่วนปลาเก๋านี่ ทอดกันเลยทั้งตัว (ปลาตัวเดียวหนัก 1.6 กิโล ต้องแบ่งมาสองจานเลย) และมีน้ำจิ้มราดหวานๆเปรี่ยวๆ อร่อยค่ะ เรียกได้ว่าเป็นอาหารมื้อปกติที่สุดที่กินที่เวียดนาม
ค่าอาหารมื้อนี้หมดไปประมาณ 2500 บาทค่ะ มีข้อติดนิดนึงตรงน้ำจิ้มซีฟู๊ดมันยังไม่จัดจ้านแบบไทยๆเรา
จบวันที่มุยเน่ ไปกับความสุขจากการกินอาหารทะเลแสนอร่อย และการไปเที่ยวทะเลทรายที่ไม่ต้องไปไกลถึงดูไบ