ความเดิมตอนที่แล้ว
จาก link นี้ครับ :
http://pantip.com/topic/33113437
เริ่มเข้ากระทู้ของวันนี้นะครับ
ตอนที่ 2..อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร
วันเสาร์ที่ 3 มกราคม 2558
เอกอิเอ้กเอ้ก.....นาฬิกาปลุกเสียงไก่ 6 โมงเช้า ตามกำหนดการที่ได้วางไว้ (ขอบคุณคุณเด็กแหนมที่ได้ท้วงติงมาเรื่องคำว่า "หมายกำหนดการ" เมื่อครั้งที่แล้ว) พอทำธุระส่วนตัวเสร็จ ก็ลงมาทานอาหารเช้าของโรงแรมที่รวมในค่าที่พักด้วย
โรงแรมนวรัตน์ :
ตัวอาคารโรงแรม
ภายในห้องพัก
ส่วน Lobby โรงแรม
ห้องอาหารเช้า อาหารก็ธรรมดาทั่วไป เป็นบุฟเฟ่อาหารเช้าแบบฝรั่งกับข้าวต้มหมู
อิ่มแล้วก็ check out ล้อหมุน เวลา 8.00 น. ดูเข้มไมล์ อยู่ที่ 390 กิโลเมตร
สำหรับกำหนดการวันนี้ ภาคเช้า ไปอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร เที่ยง ทานข้าวที่ร้านส้มตำ 100% ที่ตาก ภาคบ่าย เที่ยวพระธาตุหินกิ่ว เย็น ทานข้าวที่ร้าน บ. กุ้งเผา
ออกจากโรงแรมก็เดินทางไปอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ประมาณ 3 กิโลกว่า ก่อนไป ได้สอบถามข้อมูลจากพนักงานโรงแรม ก็ได้ความว่า พวกเราควรไปแวะพิพิทธภัณฑ์ก่อน เพราะข้างในมีสิ่งที่น่าสนใจ ก็ดีเหมือนกัน เสร็จสรรพก็ออกเดินทาง ไปไม่ยากครับ แป๊ปเดียวก็มายืนอยู่ในพิพิทธภัณฑ์แล้ว ก็ใช้เวลาเดินอยู่ในนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง
ภายในพิพิทธภัณฑ์ มีเรื่องราวประวัติศาสตร์และสิ่งของโบราณมากมายให้เรียนรู้และศึกษา เชิญชมตัวอย่างครับ :
พอออกจากพิพิทธภัณฑ์ เลี้ยวขวาไปไม่ไกล เป็นศาลหลักเมือง ก็จอดแวะไหว้เพื่อเป็นศิริมงคล
รูปศาลหลักเมือง :
ไหว้ศาลหลักเมืองเสร็จแล้ว ออกรถเลี้ยวโค้งซ้ายแล้วตรงไปอีกนิดเดียวก็ถึงที่หมายแรกที่จะดู นั่นก็คือ วัดพระแก้วกับวัดพระธาตุ เชิญชมภาพครับ :
เขาจะมี สแตนเล็ก ๆ อยู่หน้าสิ่งก่อสร้างอธิบายลักษณะแผนผังของสิ่งปลูกสร้างในอดีตที่เมื่อยังไม่ถูกทำลาย หรือสึกกร่อน จะมีลักษณะยังไง ก็เดินชมไปเรื่อย ๆ เพราะอากาศเย็นสบาย ไม่ร้อนมาก
จากนั้น ก็เลี้ยวรถกลับไปทางศาลหลักเมือง วิ่งตรงไปสักพัก เห็นป้ายอุทยานฯ ก็ตรงเข้าไป เป้าหมายต่อไปก็คือ วัดพระนอน วัดพระสี่อิริยาบท และวัดช้างรอบ เชิญชมครับ :
วัดแรกที่ไปถึงก่อนก็เป็นวัดพระนอน ลงจากรถ เดินเข้าไปในวัด เดินจนรอบ ไม่เห็นมีพระนอนอยู่สักองค์เดียว สงสัยพระคงตื่นและออกไปข้างนอกแล้ว คงงั้นแต่ไม่ใช่ คาดว่า เขาน่าจะอุ้มพระไปนอนที่อื่นหรือเปล่า ใครทราบก็ช่วยตอบที เชิญชมภาพดีกว่า :
ต่อไป เป็นวัดพระสี่อิริยาบท จากด้านหน้าก็เดินไปเรื่อย ๆ ไม่เห็นมีอะไร แต่พอเลี้ยวโค้งไปทางด้านหลังเท่านั้นแหละ อุแม่เจ้า นี่แหละภาพที่ต้องการเห็น เชิญชมครับ :

จะเห็นว่าด้านหน้าไม่มีอะไร เหมือนภาพวัดทั่วไป:

แต่นี่สิ ที่อยากเห็น:
ต่อไป เป็นวัดช้างรอบที่อยู่ใกล้กัน เชิญชมครับ :
ขออธิบายนิดนึง สำหรับวัดช้างรอบ ฐานด้านล่างเป็นสี่เหลี่ยม มีรูปหินแกะสลักเป็นรูปช้างล้อมรอบ ส่วนด้านบนเป็นองค์เจดีย์แต่ได้พังทลายลง เห็นมีคนปีนขึ้นไปด้านบนเป็นจำนวนมาก ก็ปีนตามไปดู มีคนเอาก้อนหินไปเรียงไว้เป็นชั้น ๆ ก็ดูแปลกไปอีกแบบ นี่คือภาพสภาพใจกลางเจดีย์:
สรุป การเดินทางท่องเที่ยวอุทยานฯ ในเช้าวันนี้ ไล่อันดับแต่ละสถานที่เป็นไปตามรูปนี้ :
พอชมวัดช้างรอบเสร็จ ดูเวลา ก็เลยเวลามาพอสมควร จึงรีบออกเดินทางไปจังหวัดตาก โดยใช้เส้นทางเดิมที่มาจากสิงห์บุรีเมื่อวานนี้ แต่มุ่งขึ้นเหนือแทน จากกำแพงเพชรไปตาก ระยะทาง 67 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมง ก็ถึงจังหวัดตาก ถึงทางโค้งขวาเลี้ยวเข้าตัวเมือง ข้ามสะพานกิตติขจร (ข้ามแม่น้ำปิง) ถึง 3 แยกเลี้ยวซ้ายไปอีกไม่ไกล (ก็หลงอยู่เหมือนกัน เห็นข้างทางมีแม่ค้าขายส้มตำก็แวะถามว่าร้านส้มตำ 100% ไปทางไหน แม่ค้าส้มตำก็แจกงอนนิดนึง ก่อนจะบอกเส้นทางให้ โชคดีไม่แจกสาก ไม่กินที่ร้านแล้วยังมาถามหาคู่แข่งอีก) ก็ฝากท้องมื้อเที่ยงที่ร้านนี้ รสชาดส้มตำ ไก่ทอด คอหมูย่างก็ไม่เป็นรองใคร อร่อยใช้ได้ ราคาก็น่าคบ 455 บาท เชิญชมภาพครับ:
อิ่มแล้ว ก็ออกเดินทางไปตาก ระยะทางจากตากไปแม่สอดประมาณ 86 กิโลเมตร เป็นทางคดเคี้ยวขึ้นเขา ใช้เวลาในการเดินทางช่วงนี้ประมาณ 2 ชั่วโมง ส่วนใหญ่ ทางขึ้นเขาจะมี 2 เลนขณะที่ทางลงเขามีเลนเดียว สลับกันไปมา สะดวกดี วิ่งไปได้เรื่อย ๆ พอขึ้นเขาก็ใช้เกียร์ต่ำ พอลงเขาก็ใช้เกียร์ต่ำ ก็แค่นั้น ภูทับเบิกพิชิตมาแล้ว แค่นี้ ชิว ๆ
ถึงอำเภอแม่สอดน่าจะเกือบ 4 โมงเย็น เคยสืบค้นข้อมูลจากเว็ปพันทิปแล้ว เรื่องการผ่านแดน แต่ข้อมูลไม่ค่อยกระจ่าง ก็เลยขับไปที่หน้าด่าน เห็นรถตู้ รถสองแถวจอดอยู่ริมถนนมากมาย ก็เลยเลียบ ๆ เคียง ๆ เข้าไปสอบถามรถตู้เจ้านึงดู น่าจะเป็นพวกพม่า เพราะส่งภาษากันฟังไม่รู้เรื่อง บอกว่าพรุ่งนี้จะเช่ารถตู้ข้ามไปเที่ยวฝั่งพม่า คิดเท่าไร คุยไปคุยมา สุดท้ายคนที่ติดต่อด้วยก็บอกว่าคนขับจะเอา 2,000 ก็บอกเขาไปว่า ราคาดี (แพงดี) ใช้ได้ แล้วจะกลับมาติดต่อใหม่นะ ว่าแล้ว ก็รีบขึ้นรถขับออกมาทันที ไปหาเอาดาบหน้าดีกว่า ก็พักเรื่องรถตู้ไว้ก่อน ไว้คิดทีหลัง ตอนนี้ก็ใกล้เย็นแล้ว รีบไปสถานที่เป้าหมายต่อไปดีกว่า เดี๋ยวจะมืดค่ำเสียก่อน
ขับรถออกจากหน้าด่านไปไม่ไกล มี 3 แยกไฟแดง ก็เลี้ยวซ้ายตามแผนที่ เป็นถนน 2 เลนเหมือนเข้าไปในหมู่บ้านในชนบท ไม่ไกลมากนัก ก็ถึงลานจอดรถ มีรถอยู่แค่ 2 คันซึ่งอีกคันกำลังจะสตาร์ทเครื่องออกไป อ้าว! ก็เหลือพวกเรา 4 ชีวิตเท่านั้นเอง คิดผิดครับ พอเปิดประตูรถออกไป ก็มีเด็กเล็ก ๆ 4-5 คน มาล้อมหน้าล้อมหลังขอเป็นไกด์พาเที่ยวพระธาตุฯ ดูท่าทางไม่น่าไว้ใจ แต่ทำไงได้ ถึงตอนนี้แล้ว ไม่เดินหน้าก็ลงคลอง (เกี่ยวไม๊เนี่ยะ) ก็ทำเป็นไม่สนใจ หลังจากทำธุระเสร็จ (ข้างบนเขามีห้องน้ำ แต่กำลังก่อสร้างอยู่ ยังไม่เสร็จ) ก็เดินขึ้นบันไดไป เด็ก ๆ ก็เดินตาม ล้อมหน้าล้อมหลัง ชวนคุย ภาษาสำเนียงน่าจะเป็นเด็กกะเหรี่ยงที่พักอาศัยอยู่แถวพระธาตุนี้ เชิญชมครับ :

นี่แหละพวกเด็ก ๆ ที่วิ่งเล่นอยู่แถวนั้น เป็นไกด์ให้:
เดินขึ้นบันไดไปได้ซักพัก หายใจแทบไม่ทัน เหนื่อยแทบขาดใจ ถามเด็กดู เด็กบอกว่า บันไดพระธาตุมีทั้งหมดน่าจะ 500 ขั้น (ตอนนั้นหูอื้อแล้ว น่าจะประมาณนั้นมั้ง) ลองก้มดูที่เขาเขียนไว้ที่ข้างบันได นี่ขึ้นมาได้แค่ 100 กว่าขั้น อีกเกือบ 400 ขั้น ไอ้หวังตายแน่! แต่ปาฏิหารย์ (ใช่สะกดอย่างนี้หรือเปล่าหว่า) ก็มีจริง ขณะที่กำลังหลับตาเหมือนจะหน้ามืด กลับมีลมกระพือมาเป็นระลอก ๆ เพิ่มออกซิเจนให้ ไล่ความอ่อนล้าไปได้ไม่น้อย พอลืมตาขึ้น อ้าว! เด็ก ๆ ที่วิ่งตามขึ้นมาด้วย กำลังเอาเศษกล่องกระดาษแข็งพัดวีให้ เพิ่งเห็นคุณค่าของเด็กพวกนี้ก็ตอนนี้เอง หลังจากพักซักครู่ ก็มีกำลังวังชา เดินขึ้นเขาไปอีก 100 ขั้น อีก 100 ขั้น และอีก 100 ขั้น จนมาหมดแรงจริง ๆ ที่ศาลาระหว่างทาง ที่ศาลานี้ มีถ้ำอยู่ด้านหน้าศาลา (บริเวณนี้จะมีห้องน้ำที่กำลังสร้างอยู่ด้วย) และมีพระพุทธรูปหน้าตาแบบพม่าอยู่ในถ้ำ ก็เลยเข้าไปสักการะของพร หลังจากที่นั่งพักเหนื่อยสักพัก ก็ถามใจตัวเองว่าจะไปต่อหรือไม่ สุดท้ายก็เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ก็พากันเดินทางต่อ (จริง ๆ แล้วอีกไม่ไกล) พอโผล่พ้นชะง่อนผาก็มีอีกศาลา มีพระพุทธรูปแบบไทยอยู่บนศาลา และอีกเพียงไม่กี่ก้าวขึ้นไปก็พบกับภาพและบรรยากาศที่ทำให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เชิญชมภาพครับ :
องค์พระที่อยู่ในถ้ำ:

องค์พระที่อยู่บนศาลา:

ภาพความงามขององค์พระธาตุหินกิ่ว:
พวกเรานั่งอยู่จนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า (สวยจนบรรยายไม่ถูก) แล้วจึงลงจากพระธาตุ ก็ทิปเด็ก ๆ ไปคนละ 20 บาท พวกเขาดีใจกันใหญ่ ขับรถออกจากพระธาตุ check in เข้าโรงแรมเฟิร์ท (ไว้จะเล่ารายละเอียดครั้งหน้า) แล้วออกไปทานข้าวเย็นที่ร้าน บ. กุ้งเผา (กุ้งแม่น้ำจากพม่า ตัวโตๆ มันเยิ้ม ๆ) ขับไปไม่ไกลก็ถึงร้าน คนเยอะเอาการ ก็เลือกที่นั่งแล้วสั่งกุ้งเผา มี 2 ตัวโล กับ 3 ตัวโล ก็เลือกแบบ 3 ตัวโล กับกับข้าวอีก 3 อย่าง ขอข้าวสวยร้อน ๆ โอ้!สวรรค์อีกแล้ว เชิญชมภาพครับ :

ค่าอาหารทั้งหมด 2,000 พอดี อิ่มแล้วก็กลับโรงแรม นอนหลับฝันดี
ตอนหน้า ชื่อเรื่อง ตอนที่ 3..สุดประจิมที่ริมเมย
ปล. ครั้งนี้พิมพ์ได้ 10000 ตัวอักษรพอดี ไม่น่าเชื่อ
[CR] เล่าเรื่องการเดินทาง 2,200 กิโลเมตร 3 แผ่นดิน ไทย-พม่า-ลาว ตอนที่ 2. เดินทางวันที่ 2..อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร
จาก link นี้ครับ : http://pantip.com/topic/33113437
เริ่มเข้ากระทู้ของวันนี้นะครับ
ตอนที่ 2..อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร
วันเสาร์ที่ 3 มกราคม 2558
เอกอิเอ้กเอ้ก.....นาฬิกาปลุกเสียงไก่ 6 โมงเช้า ตามกำหนดการที่ได้วางไว้ (ขอบคุณคุณเด็กแหนมที่ได้ท้วงติงมาเรื่องคำว่า "หมายกำหนดการ" เมื่อครั้งที่แล้ว) พอทำธุระส่วนตัวเสร็จ ก็ลงมาทานอาหารเช้าของโรงแรมที่รวมในค่าที่พักด้วย
โรงแรมนวรัตน์ :
ตัวอาคารโรงแรม
ภายในห้องพัก
ส่วน Lobby โรงแรม
ห้องอาหารเช้า อาหารก็ธรรมดาทั่วไป เป็นบุฟเฟ่อาหารเช้าแบบฝรั่งกับข้าวต้มหมู
อิ่มแล้วก็ check out ล้อหมุน เวลา 8.00 น. ดูเข้มไมล์ อยู่ที่ 390 กิโลเมตร
สำหรับกำหนดการวันนี้ ภาคเช้า ไปอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร เที่ยง ทานข้าวที่ร้านส้มตำ 100% ที่ตาก ภาคบ่าย เที่ยวพระธาตุหินกิ่ว เย็น ทานข้าวที่ร้าน บ. กุ้งเผา
ออกจากโรงแรมก็เดินทางไปอุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร ซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก ประมาณ 3 กิโลกว่า ก่อนไป ได้สอบถามข้อมูลจากพนักงานโรงแรม ก็ได้ความว่า พวกเราควรไปแวะพิพิทธภัณฑ์ก่อน เพราะข้างในมีสิ่งที่น่าสนใจ ก็ดีเหมือนกัน เสร็จสรรพก็ออกเดินทาง ไปไม่ยากครับ แป๊ปเดียวก็มายืนอยู่ในพิพิทธภัณฑ์แล้ว ก็ใช้เวลาเดินอยู่ในนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง
ภายในพิพิทธภัณฑ์ มีเรื่องราวประวัติศาสตร์และสิ่งของโบราณมากมายให้เรียนรู้และศึกษา เชิญชมตัวอย่างครับ :
พอออกจากพิพิทธภัณฑ์ เลี้ยวขวาไปไม่ไกล เป็นศาลหลักเมือง ก็จอดแวะไหว้เพื่อเป็นศิริมงคล
รูปศาลหลักเมือง :
ไหว้ศาลหลักเมืองเสร็จแล้ว ออกรถเลี้ยวโค้งซ้ายแล้วตรงไปอีกนิดเดียวก็ถึงที่หมายแรกที่จะดู นั่นก็คือ วัดพระแก้วกับวัดพระธาตุ เชิญชมภาพครับ :
เขาจะมี สแตนเล็ก ๆ อยู่หน้าสิ่งก่อสร้างอธิบายลักษณะแผนผังของสิ่งปลูกสร้างในอดีตที่เมื่อยังไม่ถูกทำลาย หรือสึกกร่อน จะมีลักษณะยังไง ก็เดินชมไปเรื่อย ๆ เพราะอากาศเย็นสบาย ไม่ร้อนมาก
จากนั้น ก็เลี้ยวรถกลับไปทางศาลหลักเมือง วิ่งตรงไปสักพัก เห็นป้ายอุทยานฯ ก็ตรงเข้าไป เป้าหมายต่อไปก็คือ วัดพระนอน วัดพระสี่อิริยาบท และวัดช้างรอบ เชิญชมครับ :
วัดแรกที่ไปถึงก่อนก็เป็นวัดพระนอน ลงจากรถ เดินเข้าไปในวัด เดินจนรอบ ไม่เห็นมีพระนอนอยู่สักองค์เดียว สงสัยพระคงตื่นและออกไปข้างนอกแล้ว คงงั้นแต่ไม่ใช่ คาดว่า เขาน่าจะอุ้มพระไปนอนที่อื่นหรือเปล่า ใครทราบก็ช่วยตอบที เชิญชมภาพดีกว่า :
ต่อไป เป็นวัดพระสี่อิริยาบท จากด้านหน้าก็เดินไปเรื่อย ๆ ไม่เห็นมีอะไร แต่พอเลี้ยวโค้งไปทางด้านหลังเท่านั้นแหละ อุแม่เจ้า นี่แหละภาพที่ต้องการเห็น เชิญชมครับ :
จะเห็นว่าด้านหน้าไม่มีอะไร เหมือนภาพวัดทั่วไป:
แต่นี่สิ ที่อยากเห็น:
ต่อไป เป็นวัดช้างรอบที่อยู่ใกล้กัน เชิญชมครับ :
ขออธิบายนิดนึง สำหรับวัดช้างรอบ ฐานด้านล่างเป็นสี่เหลี่ยม มีรูปหินแกะสลักเป็นรูปช้างล้อมรอบ ส่วนด้านบนเป็นองค์เจดีย์แต่ได้พังทลายลง เห็นมีคนปีนขึ้นไปด้านบนเป็นจำนวนมาก ก็ปีนตามไปดู มีคนเอาก้อนหินไปเรียงไว้เป็นชั้น ๆ ก็ดูแปลกไปอีกแบบ นี่คือภาพสภาพใจกลางเจดีย์:
สรุป การเดินทางท่องเที่ยวอุทยานฯ ในเช้าวันนี้ ไล่อันดับแต่ละสถานที่เป็นไปตามรูปนี้ :
พอชมวัดช้างรอบเสร็จ ดูเวลา ก็เลยเวลามาพอสมควร จึงรีบออกเดินทางไปจังหวัดตาก โดยใช้เส้นทางเดิมที่มาจากสิงห์บุรีเมื่อวานนี้ แต่มุ่งขึ้นเหนือแทน จากกำแพงเพชรไปตาก ระยะทาง 67 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมง ก็ถึงจังหวัดตาก ถึงทางโค้งขวาเลี้ยวเข้าตัวเมือง ข้ามสะพานกิตติขจร (ข้ามแม่น้ำปิง) ถึง 3 แยกเลี้ยวซ้ายไปอีกไม่ไกล (ก็หลงอยู่เหมือนกัน เห็นข้างทางมีแม่ค้าขายส้มตำก็แวะถามว่าร้านส้มตำ 100% ไปทางไหน แม่ค้าส้มตำก็แจกงอนนิดนึง ก่อนจะบอกเส้นทางให้ โชคดีไม่แจกสาก ไม่กินที่ร้านแล้วยังมาถามหาคู่แข่งอีก) ก็ฝากท้องมื้อเที่ยงที่ร้านนี้ รสชาดส้มตำ ไก่ทอด คอหมูย่างก็ไม่เป็นรองใคร อร่อยใช้ได้ ราคาก็น่าคบ 455 บาท เชิญชมภาพครับ:
อิ่มแล้ว ก็ออกเดินทางไปตาก ระยะทางจากตากไปแม่สอดประมาณ 86 กิโลเมตร เป็นทางคดเคี้ยวขึ้นเขา ใช้เวลาในการเดินทางช่วงนี้ประมาณ 2 ชั่วโมง ส่วนใหญ่ ทางขึ้นเขาจะมี 2 เลนขณะที่ทางลงเขามีเลนเดียว สลับกันไปมา สะดวกดี วิ่งไปได้เรื่อย ๆ พอขึ้นเขาก็ใช้เกียร์ต่ำ พอลงเขาก็ใช้เกียร์ต่ำ ก็แค่นั้น ภูทับเบิกพิชิตมาแล้ว แค่นี้ ชิว ๆ
ถึงอำเภอแม่สอดน่าจะเกือบ 4 โมงเย็น เคยสืบค้นข้อมูลจากเว็ปพันทิปแล้ว เรื่องการผ่านแดน แต่ข้อมูลไม่ค่อยกระจ่าง ก็เลยขับไปที่หน้าด่าน เห็นรถตู้ รถสองแถวจอดอยู่ริมถนนมากมาย ก็เลยเลียบ ๆ เคียง ๆ เข้าไปสอบถามรถตู้เจ้านึงดู น่าจะเป็นพวกพม่า เพราะส่งภาษากันฟังไม่รู้เรื่อง บอกว่าพรุ่งนี้จะเช่ารถตู้ข้ามไปเที่ยวฝั่งพม่า คิดเท่าไร คุยไปคุยมา สุดท้ายคนที่ติดต่อด้วยก็บอกว่าคนขับจะเอา 2,000 ก็บอกเขาไปว่า ราคาดี (แพงดี) ใช้ได้ แล้วจะกลับมาติดต่อใหม่นะ ว่าแล้ว ก็รีบขึ้นรถขับออกมาทันที ไปหาเอาดาบหน้าดีกว่า ก็พักเรื่องรถตู้ไว้ก่อน ไว้คิดทีหลัง ตอนนี้ก็ใกล้เย็นแล้ว รีบไปสถานที่เป้าหมายต่อไปดีกว่า เดี๋ยวจะมืดค่ำเสียก่อน
ขับรถออกจากหน้าด่านไปไม่ไกล มี 3 แยกไฟแดง ก็เลี้ยวซ้ายตามแผนที่ เป็นถนน 2 เลนเหมือนเข้าไปในหมู่บ้านในชนบท ไม่ไกลมากนัก ก็ถึงลานจอดรถ มีรถอยู่แค่ 2 คันซึ่งอีกคันกำลังจะสตาร์ทเครื่องออกไป อ้าว! ก็เหลือพวกเรา 4 ชีวิตเท่านั้นเอง คิดผิดครับ พอเปิดประตูรถออกไป ก็มีเด็กเล็ก ๆ 4-5 คน มาล้อมหน้าล้อมหลังขอเป็นไกด์พาเที่ยวพระธาตุฯ ดูท่าทางไม่น่าไว้ใจ แต่ทำไงได้ ถึงตอนนี้แล้ว ไม่เดินหน้าก็ลงคลอง (เกี่ยวไม๊เนี่ยะ) ก็ทำเป็นไม่สนใจ หลังจากทำธุระเสร็จ (ข้างบนเขามีห้องน้ำ แต่กำลังก่อสร้างอยู่ ยังไม่เสร็จ) ก็เดินขึ้นบันไดไป เด็ก ๆ ก็เดินตาม ล้อมหน้าล้อมหลัง ชวนคุย ภาษาสำเนียงน่าจะเป็นเด็กกะเหรี่ยงที่พักอาศัยอยู่แถวพระธาตุนี้ เชิญชมครับ :
นี่แหละพวกเด็ก ๆ ที่วิ่งเล่นอยู่แถวนั้น เป็นไกด์ให้:
เดินขึ้นบันไดไปได้ซักพัก หายใจแทบไม่ทัน เหนื่อยแทบขาดใจ ถามเด็กดู เด็กบอกว่า บันไดพระธาตุมีทั้งหมดน่าจะ 500 ขั้น (ตอนนั้นหูอื้อแล้ว น่าจะประมาณนั้นมั้ง) ลองก้มดูที่เขาเขียนไว้ที่ข้างบันได นี่ขึ้นมาได้แค่ 100 กว่าขั้น อีกเกือบ 400 ขั้น ไอ้หวังตายแน่! แต่ปาฏิหารย์ (ใช่สะกดอย่างนี้หรือเปล่าหว่า) ก็มีจริง ขณะที่กำลังหลับตาเหมือนจะหน้ามืด กลับมีลมกระพือมาเป็นระลอก ๆ เพิ่มออกซิเจนให้ ไล่ความอ่อนล้าไปได้ไม่น้อย พอลืมตาขึ้น อ้าว! เด็ก ๆ ที่วิ่งตามขึ้นมาด้วย กำลังเอาเศษกล่องกระดาษแข็งพัดวีให้ เพิ่งเห็นคุณค่าของเด็กพวกนี้ก็ตอนนี้เอง หลังจากพักซักครู่ ก็มีกำลังวังชา เดินขึ้นเขาไปอีก 100 ขั้น อีก 100 ขั้น และอีก 100 ขั้น จนมาหมดแรงจริง ๆ ที่ศาลาระหว่างทาง ที่ศาลานี้ มีถ้ำอยู่ด้านหน้าศาลา (บริเวณนี้จะมีห้องน้ำที่กำลังสร้างอยู่ด้วย) และมีพระพุทธรูปหน้าตาแบบพม่าอยู่ในถ้ำ ก็เลยเข้าไปสักการะของพร หลังจากที่นั่งพักเหนื่อยสักพัก ก็ถามใจตัวเองว่าจะไปต่อหรือไม่ สุดท้ายก็เอาวะ เป็นไงเป็นกัน ก็พากันเดินทางต่อ (จริง ๆ แล้วอีกไม่ไกล) พอโผล่พ้นชะง่อนผาก็มีอีกศาลา มีพระพุทธรูปแบบไทยอยู่บนศาลา และอีกเพียงไม่กี่ก้าวขึ้นไปก็พบกับภาพและบรรยากาศที่ทำให้หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เชิญชมภาพครับ :
องค์พระที่อยู่ในถ้ำ:
องค์พระที่อยู่บนศาลา:
ภาพความงามขององค์พระธาตุหินกิ่ว:
พวกเรานั่งอยู่จนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า (สวยจนบรรยายไม่ถูก) แล้วจึงลงจากพระธาตุ ก็ทิปเด็ก ๆ ไปคนละ 20 บาท พวกเขาดีใจกันใหญ่ ขับรถออกจากพระธาตุ check in เข้าโรงแรมเฟิร์ท (ไว้จะเล่ารายละเอียดครั้งหน้า) แล้วออกไปทานข้าวเย็นที่ร้าน บ. กุ้งเผา (กุ้งแม่น้ำจากพม่า ตัวโตๆ มันเยิ้ม ๆ) ขับไปไม่ไกลก็ถึงร้าน คนเยอะเอาการ ก็เลือกที่นั่งแล้วสั่งกุ้งเผา มี 2 ตัวโล กับ 3 ตัวโล ก็เลือกแบบ 3 ตัวโล กับกับข้าวอีก 3 อย่าง ขอข้าวสวยร้อน ๆ โอ้!สวรรค์อีกแล้ว เชิญชมภาพครับ :
ค่าอาหารทั้งหมด 2,000 พอดี อิ่มแล้วก็กลับโรงแรม นอนหลับฝันดี
ตอนหน้า ชื่อเรื่อง ตอนที่ 3..สุดประจิมที่ริมเมย
ปล. ครั้งนี้พิมพ์ได้ 10000 ตัวอักษรพอดี ไม่น่าเชื่อ