เมื่อผมเรียนจบปริญญาโทแล้วมาเปิดร้านข้าวมันไก่ และทำไมใครๆมองว่ามันง่าย

ก่อนอื่นจะเท้าความถึงพื้นฐานตัวผมก่อนนะครับถ้าไม่น่าสนใจข้ามไปตอนต่อไปได้เลย
           ผมเติบโตมาท่ามกลางพ่อแม่พี่น้องเป็นข้าราชการค่อนตระกูลพี่น้องฝั่งแม่ทุกคนล้วนเป็นข้าราชการหมด รวมถึงตัวพ่อผมและพี่ชายด้วยซึ่งท่านก็มองว่ามันเป็นอาชีพที่ดีและมั่นคงและพยายามอยากที่จะให้ผมเดินตาม ฝั่งแม่ ยายผมมีลูกทั้งหมดเจ็ดคนเป็นข้าราชการในระดับที่ไม่ขี้เหล่ ซี-7-8-9 กันทั้งนั้นแต่เจ็ดคนที่ว่าถูกเลี้ยงโดยยายผมที่เป็นแค่แม่ค้าขายกับข้าวในตลาดและคุณตาที่เป็นตำรวจชั้นประทวน ฝั่งพ่อ คุณปู่เคยรับราชการในกระทรวงคุณพ่อผมเองก็เป็นข้าราชการระดับ 9 การฝังรากลึกในหัวมีมาอย่างยาวนานว่าต้องเป็นข้าราชการเท่านั้นนะจ๊ะถึงจะดี มั่นคง มีคนนับน่าถือตา แต่เพราะการที่เราได้สัมผัสมากๆสิ่งเหล่านี้รู้สึกได้ว่ามันไม่จำเป็นสำหรับผมเท่าใดนัก ในวัยเด็กผมเองเป็นคนเรียนไม่เก่งเลยได้ที่ใกล้ๆโหล่ตลอดทั้งที่คุณแม่เป็นครู อาจเป็นเพราะเรียนก่อนเกณฑ์(คิดเข้าข้างตัวเอง)ผมนึกภาพตอนโตไม่ออกเลยว่าเราจะทำอะไรรู้แต่เพียงว่าชอบวาดรูปรถอยากทำอะไรก็ได้เกี่ยวกับรถและดันวาดอย่างอื่นไม่เป็น พ่อแม่มักจะบอกเสมอว่าเค้าไม่มีอะไรสมบัติจะให้นอกจากการศึกษาซึ่งเพื่อให้ท่านได้ภาคภูมิใจและเพื่อเป็นสมบัติกับตัวผมเอง ขั้นสูงสุดก็เลยอยู่ที่ ป.โท เกี่ยวกับการออกแบบอุตสาหกรรม ณ มหาวิทยาลัยที่กำลังดังในขณะนี้ ส่วน ป.ตรี เกี่ยวกับศิลปกรรม ณ.มหาวิทยาลัยที่มีทั้งทะเลและภูเขาและใกล้กรุงเทพแค่นิดเดียว ซึ่งตอนนี้ผมรู้แล้วว่าผมอยากเป็นอะไรผมอยากเป็น นักออกแบบ ผมชอบที่จะได้เห็นของสวยงาม ผมชอบที่จะได้รู้ว่างานที่เราออกแบบไว้มีคนสนใจและได้ซื้อไปใช้และมีความสุขกับมัน และประโยคที่กินใจในการเรียนด้านศิลปะสำหรับผมมากที่สุดคือคำของ อ.ศิลป พีระศรี ที่ว่า "ศิลปะไม่ได้สอนให้คนวาดรูปเป็น" จบมาผมก็ได้ทำงานเกี่ยวกับการออกแบบชุดแต่งของรถสมดังความอยากแต่พอได้ทำแล้วมานั่งนึกได้ว่ามันคงเป็นแค่ความชอบอย่างเดียวมันไม่ใช่สิ่งที่ต้องทำไปตลอดชีวิต หลังจากนั้นผมก็ย้ายงานปีละครั้งจนได้เข้าไปเรียนปริญญาโทหลังจากจบตรีได้สองปี ตลอดเวลาที่เรียนมาเพื่อนทุกคนที่สนิทจะรู้ว่าผมกินอาหารยากมากถึงมากที่สุดตั้งแต่เด็กจนโตผมกินอาหารเป็นไมน่าจะเกิน 20 อย่างและ 1 ในนั้นก็คือข้าวมันไก่เคยแอบคิดในใจว่าถ้าแม่เกษียณอายุราชการไปจะให้แม่ไปทำข้าวมันไก่ขายที่บ้านที่ต่างจังหวัดสบายๆ ใครจะไปคิดว่าจริงๆแล้วมันยากนะเฟ้ย

        เมื่อปี 2551 ใครจะรู้ว่าจะจับพลัดจับผลูมาได้ภรรยาเป็นลูกเจ้าของร้านข้าวมันไก่ เดทกันครั้งแรกที่ผมพาเธอไปคือร้าน marina hk สยามสแควร์ และเมนูแรกที่ผมกินกับเธอคือข้าวมันไก่เธอยิ้มๆแล้วก็กินยำไข่เค็มซะงั้น โดยที่ผมยังไม่รู้ว่าที่บ้านเธอก็ขายข้าวมันไก่ หลังจากนั้นไม่นานผมก็เริ่มไปมาหาสู่ที่บ้านเธอมากขึ้นจนหลังจากนั้นเรียนโทไปได้ปีครึ่ง เทอมนั้นเป็นเทอมสุดท้ายงานที่ทำก็รู้สึกว่ารายจ่ายเยอะเพราะต้องย้ายไปอยู่หอด้วยโดนหักเงินเดือนที่ต้องลามาเรียนวันเสาร์ด้วยก็เลยออกซะเลย  ชีวิตตอนนี้ผมเริ่มเปลี่ยนไปจากหนังซีรี่เกาหลีเรื่องนึง อิ ซัง อ๊ก ยอดพ่อค้าหัวใจทระนง จากคนที่ไม่เคยดูซีรี่แต่โชคชะตาดันพามาให้ได้ดูจากที่นั่งรถตู้ไปเที่ยว ตจว กับที่ออฟฟิศ ดูสี่วันติดรวดเดียวจบ อยากเป็นพ่อค้าที่มีคุณธรรมโดยทันที
    
    ตัดกลับมาที่กิจการที่บ้านแฟนช่วงนั้นมีแขกแถวสีลมจะมาขอให้ไปหุ้นกับเค้าและคุณลุงลูกค้าประจำจะชวนไปเปิดที่เอมริกาสุดท้ายก็มาเลือกที่สีลมเพราะเรายังทำอะไรไม่เป็นเลย โดยเอาข้าวมันไก่ที่บ้านแฟนไปขายโดยอาศัยตึกของเค้าแล้วเราหารกำไรกันคนละครึ่ง แต่ที่บ้านแฟนไม่มีคนไปทำ ด้วยความที่ผมชอบกินเป็นทุนเดิมอยู่แล้วก็เลยอยากลองทำดูเพราะผมกินข้าวมันไก่ที่บ้านแฟนบ่อยเข้า บ่อยเข้า พอไปกินที่ร้านอื่นมันไม่โอเคละชีวิตอยู่ยากขึ้นละทีนี้ จากที่แต่ก่อนข้าวมันไก่ร้านไหนก็เหมือนกัน ยิ่งพอได้ทำเออแฮะมันไม่ง่าย คนทำได้กับคนทำเป็นมันต่างกัน ผมเองยังเป็นแค่คนทำได้เพราะยังไม่สามารถที่จะแหกกฎแก้ปัญหาเวลาเกิดอะไรที่ไม่คาดคิดขึ้นได้เกือบจะได้เปิดแล้วเรียกลูกที่ลูกน้องที่เป็นสถาปนิกไปวัดพื้นที่ออกแบบแล้ว แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ไปเปิดที่สีลมเพราะเรายังไม่ได้แต่งงานกันทางบ้านแฟนก็กลัวว่าเกิดเลิกกันขึ้นมาแล้วลูกสาวเค้าจะทำยังไง ก็เป็นอันพับไป

    แต่ก็ได้เริ่มประสบการณ์ใหม่ครับ ออกแคทเทอริ่ง  พอผมซึมซับนานเข้าก็เริ่มที่จะทำเป็นละก็รับงานออกร้านเพราะที่ร้านไม่มีทีมไปออกทั้งที่ลูกค้าเรียกร้องกันมา ตอนนี้ก็ยังเรียนโทไปด้วยและกลับไปทำงานประจำอีกครั้งเพราะทีสิสมันหลุดเทอมสุดท้ายมาเยอะละในระหว่างนี้ที่ผมทำได้กับที่ร้านก็คือการสร้างภาพลักษณ์ให้กับที่ร้านอยากให้คนจำได้ว่าโลโก้แบบนี้เครื่องแบบพนักงานอาร์ตเวิร์คต่างๆผมเป็นคนทำและก็เริ่มทำแฟนเพจด้วย และช็อตนี้เองที่เรากำลังจะแต่งงานกันมีตัวเล็กรออยู่ ออกจากงานอีกครั้งและมาทำฟรีแรนซ์โดยที่พ่อแม่ผมเองก็รอว่าลูกเมื่อจะจบอยากจะให้ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยที่ท่านได้ปูทางไว้ให้แล้ว แต่สำหรับตัวผมรอว่าลูกได้ซัก 3-4 เดือนจะออกไปเปิดร้านเองในระหว่างนี้ผมก็ย้ายไปอยู่ที่บ้านแฟนช่วยงานที่ร้านข้าวมันไก่ พอลูกคนโตได้ 3 เดือนลูกคนที่ 2 ก็มา โชคชะตาช่างตลกร้ายชะมัด แต่ก็เอาเถอะมันเป็นการดีที่ผมก็ได้ใช้เวลาอยู่กับร้านข้าวมันไก่มากขึ้นจนผมเริ่มรู้จักมันดีพอ ส่วนปริญญาโทน่ะหรอจะห้าปีละใกล้จะเต็มแม็กซ์เต็มทีก็เลยเลื่อนผนว่าจบโทเสร็จสมบูรณ์เมื่อไหร่เราจะเดินหน้าเต็มที่ วันรัฐประหารปีที่แล้วคือวันที่ผมสอบจบ

    หลังจากจบโทผมก็บอกกับที่บ้านว่าผมตัดสินใจละผมจะเปิดร้านข้าวมันไก่พ่อแม่ผมก็เสียดายว่าจบมาทำไมไม่ทำงานที่มันไม่เหนื่อยท่านไม่อยากเห็นผมลำบาก แต่ก็เคารพในการตัดสินใจของเราผมเองยิ่งรู้สึกว่าเราแบกอะไรไว้เยอะจังความคาดหวังทุกทางประดังเข้ามาทั้งครอบครัวแฟนและครอบครัวตัวเองแต่ในเมื่อเลือกแล้วก็ต้องเดินต่อ การตลาดที่ผมคิดเจ้า 4 p ที่ใครๆก็ใช้ผมมานั่งวิเคราะห์ดูจากทำเลเดิมของที่ร้านพ่อตาซึ่งตอนก่อนผมจะออกมานี่ขายดีมากๆ ซึ่งมันเข้าแค่ 2 p คือ price กับ product อย่างน้อยๆผมมีสองตัวนี้ผมไม่ตายแต่ต้องอาศัยระยะเวลา และแล้วก็เริ่มตระเวนหาที่ทำกินละครับโดยมีเสียงคัดค้านและแนะนำมากมาย เพื่อนผมเองก็แนะนำให้เริ่มจากเล็กๆไปก่อนแล้วไปโตเอา  

    ส่วนตัวผมกับแฟนคิดกันไว้ว่าในเมื่อเรามีต้นทุนเราจะต้องไปเร็วกว่าคนอื่นแต่นั่นหมายความว่าก็ต้องใช้เงินทุนมากกว่ารถเข็นด้วยเช่นกัน ไปดูมาทุกที่ในกรุงเทพทำเลดีๆก็มีร้านข้าวมันไก่อยู่แล้ว(โก๊ะตี๋ไม่นับเพราะเค้าไม่ได้ทำเป็นอาชีพหลัก) ผมเองที่คิดว่าจะไม่เปิดในทำเล ที่มีร้านข้าวมันไก่อยู่แล้วเพราะ 1 เราต้องไปแข่งกับเค้าแทนที่เราจะได้ลูกค้าจ้าวเดียว 2 ไม่อยากมีปัญหาในการค้าขายซึ่งมันจะมีแน่ สถานที่ๆไปดูมาและที่อยากเปิดคือ เทพลีลา-ทาว์อินทาวน์ – สายไหม- ลาดกระบัง – เพชรบุรีตัดใหม่ สุดท้ายหวยมาออกที่แถวถนนเพชรบุรีตัดใหม่แต่ทำเลที่ได้ก็ค่อนข้างหลืบมากถึงมากที่สุด เสาร์-อาทิตย์นี่เงียบกริ๊บ แต่ก็แลกกับตึกที่ค่อนข้างใหญ่ ให้คนงานอาศัยด้วยได้อยู่เองได้ เงินลงทุนทั้งหมด 500000 ดูไม่ผิดครับ 500000 กับร้านข้าวมันไก่บ้านๆร้านหนึ่ง หมดไปกับอะไรบ้าง
- ค่ามัดจำตึกซัดไปแล้ว 100000
- ค่าเซ้งตึก 50000
- ค่าประกันการตกแต่งเพราะเป็นอาคารนิติบุคคล 40000
หมดไปจะ 200000 ละได้แต่ตึกเปล่าๆ
- ค่าข้าวของเครื่องใช้ในร้านและค่าอาร์ตเวิร์คงานนี้ผมได้ออกแบบตู้โชว์ไก่และอาร์ตเวิร์คด้วยตัวเองกลัวเรียนมาไม่ได้ใช้หมดไปอีก 100000
และค่าต่อเติมร้านเพื่อให้เหมาะกับการทำงานของเรารวมไปถึงระบบน้ำ-ไฟในตัวอาคารซึ่งรื้อใหม่ทั้งหมด
ตังค์หมดเกลี้ยงงงงงงงงงงงง

    วันที่ 2 ตุลาคม 2557 วันเปิดร้าน มันไม่ง่ายเลยสำหรับขายไก่ไปได้ 6 ตัวตั้งแต่ 7โมงเช้าจนถึง2ทุ่มนั่งเฝ้ากันเพลินๆ กับคนงานอีกสองคนรวมทั้งผมและแฟนเป็น 4 คน โดยยอดขายมาจาก เพื่อน พี่ น้อง ที่รู้จักมาช่วยอุดหนุนจากที่เคยอยู่ที่ร้านพ่อตาวันเสาร์วันอาทิตย์เหยียบ 60 ตัวขายแค่ 7โมงเช้าจนถึงแค่บ่ายโมงครึ่ง ลูกค้าที่เคยกินร้านพ่อตาต่างพากันถามถึงเฟรนไชน์แต่อยากให้มาดูเหลือเกินว่าพอเรามาเปิดที่ๆไม่ใช่ถิ่นเราจะเป็นยังไง

   เดือนแรกทั้งเดือนยอดขายอยู่ประมาณนี้วันเสาร์นี่ไม่ต้องสืบเต็มที่ 4 ตัว เดือนถัดมารับคนงานมาเพิ่มเป็นทั้งหมด 5คน ในช่วงนี้ผมให้คนงานที่จ้างมากองไว้ออกไปแจกใบปลิวระแวกใกล้เคียง ยอดกระเตื้องขึ้นมาเป็น 7-8 ตัวต่อวันโดยที่ไม่มีคนรู้จักมาอุดหนุนแล้ววววว ส่วนระยะเวลาการขายหดลงเหลือ 8.00น-19.00น  เดือนที่สามเริ่มมีแตะที่10 ตัวบ้างแต่ยังไม่มาก มาพีคตอนก่อนปีใหม่ที่จะมีเกินสิบตัวขึ้นไป แต่ช่วงนี้หลังจากกลางเดือนประจวบกับมีข่าวคราวเกี่ยวกับเลือดไก่ยอดขายก็หดลงมา ซึ่งถ้านับรายจ่ายแล้ว ถ้าผมไม่ได้งานออกแคเทอริ่งมาช่วยมีเข้าเนื้อแน่ๆ

    นอกจากค่าเช่าตึก ค่าคนงาน ค่าน้ำค่าไฟจิปาถะ มันยังจะต้องมีค่าวัตถุดิบที่เราต้องลงมากองไว้อีกด้วยซึ่งวัตถุดิบที่เราใช้ก็เหมือนกับที่ร้านพ่อตาทุกตัวซึ่งต้นทุนค่อนข้างสูง โดยกำไรที่ได้มาจากการที่ขายเยอะ ซึ่งถ้าผมไปเปิดรถเข็นกำไรแน่ๆแต่ก็เหนื่อยมากแน่ๆเช่นกันอีกแต่อย่างหนึ่งมันจะทำให้เราดูเป็นร้านเจ้าใหม่ ก็ต้องยอมแบกค่าใช้จ่ายตรงนี้กันต่อไป แต่ถ้าถามว่าท้อมั้ยตอบเลยว่าไม่ เพราะถ้าผมอยากขายดีผมเขยิบเข้าไปในอีกทำเลถัดไปก็ได้แต่ค่าเช่าที่ก็จะแพงกว่านี้มากจากที่ผมเช่าอยู่สามหมื่นผมจะต้องไปจ่ายค่าเช่าที่เหยียบหกหมื่นบาทโดยที่มีแค่ชั้นเดียวนั่นหมายถึงผมต้องไปเช่าบ้านอยู่อีกต่างหากและต้องบวกเวลาการเดินทางไปด้วย ผมเลยยอมที่จะรอเวลาแต่ก็ยังไม่รู้ว่าจะรอไหวมั้ย

    ข้อดีของการเปิดร้านข้าวมันไก่สำหรับที่มากกว่าการที่จะไปเป็นอาจารย์มหาลัยโดยที่ต้องทำเองทุกอย่าง ตั้งแต่น้ำจิ้ม ต้มไก้ ต้มน้ำชา พายข้าว ทำน้ำซุป คือการที่ได้อยู่กับครอบครัวตลอดเวลาถึงแม้จะง่วนอยู่กับการขายของและทำครัวบ้าง คือการได้เฝ้ามองพระอาทิตย์ขึ้นและตกที่ที่ร้านตัวเองถึงแม้จะมีสะพานแอพอร์ตลิงค์มาบังก็เถอะ แล้วความจริงอย่างหนึ่งผมว่ามันไม่ต่างจากการอยากเป็นดีไซเนอร์ของผมที่อยากเห็นคนใช้ของที่ผมออกแบบ เพราะผมได้เห็นคนกินข้าวมันไก่ที่ผมทำแม้มันจะเป็นสูตรของที่บ้านแฟนแล้วเค้ายิ้มได้ ชมบ้างติบ้างเมื่อเทียบกับต้นตำหรับแต่ผมก็พยายามจะทำให้ดีที่สุดเหมือนกับเวลาออกแบบอะไรซักอย่างที่ลูกค้าต้องการ

ปล ตอนนี้ผมอยากเรียนรู้เกี่ยวกับการสร้างระบบในอุตสาหกรรมอาหาร ถ้าใครมีข้อมูลได้โปรดชี้แนะด้วยครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่