“เคยไหมกับความรู้สึกแบบนี้” ที่เลิกกับใครคนหนึ่งไปแล้ว แต่ยังคิดถึงเขาอยู่ ผมว่าต้องมีคนเคยนะ เรื่องราวมันเริ่มจากคำง่ายๆที่เรียกว่า “เพื่อน” เพื่อนตั้งแต่สมัยเรียนที่สนิทกันมานานแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป ยังคงรักษาความรู้สึกนั้นไว้ภายใต้คำว่าเพื่อนที่มีให้กันเสมอมา จากวันนั้นจนวันนี้ วันเวลาผ่านไปเกือบสิบปีที่เป็นเพื่อนกัน แต่ช่วงเวลาเล็กๆที่มีทั้งความสุขและความทุกข์รวมกันอยู่นั้นคือเวลาสั้นๆไม่ถึงปีที่ทำให้เรากับเขาไม่กล้าที่จะใช้คำว่า “เพื่อน“ กันอีกต่อไป
สวัสดีครับผู้อ่านทุกๆท่าน เรื่องราวที่ผมจะมาเล่าต่อไปนี้อาจจะตรงใจหลายๆคนที่อาจจะเคยเจอหรือพบเจอเหตุการณ์แบบนี้มาบ้างยังไงก็ลองมาแชร์กันดูนะครับ ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งสนิทกันพอสมควรสมัยเรียน พอเรียนจบออกไปต่างคนก็ต่างแยกจากกันไปตามความฝันของตัวเอง จนวันหนึ่งเวลามันผ่านไปเราก็ยังใช้ชีวิตทุกอย่างเหมือนเดิมแต่มีบางอย่างที่มากระตุ้นความรู้สึกบางอย่างในใจของเรา “เมื่อสมัยเรียน มีสิ่งใดที่คุณยังไม่ได้ทำบ้าง” ก็มีเยอะนะไร้สาระมีสาระต่างๆนาๆ แต่ที่รู้สึกตอนนั้นคือภาพผู้หญิงคนหนึ่งลอยออกมาผมจึงมั่นใจแล้วว่านั้นแหละคือสิ่งที่ผมลืมทำ
การตัดสินใจครั้งสำคัญระหว่างคำว่าเพื่อนกับแฟน บางคนอาจจะของ่ายๆบอกตรงๆแต่ผมว่ามันยากนะถ้าเราจะบอกรักหรือชอบใครซักคน ผมจึงเลือกที่จะบอกโดนการกระทำมากกว่าจึงตัดสินใจชวนเธอคนนั้น ไปเที่ยวเกาะด้วยกันสองคน
เป็นเวลาสองวันหนึ่งคืนที่มีความสุขมากๆในฐานะเพื่อน แต่ความรู้สึกตอนนั้นบอกเลยว่าอยากให้เป็นแฟนจริงๆเลย
ช่วงเวลาที่เที่ยวด้วยกันก็สนุกมีความสุขดี จนตัดสินใจว่าอยากบอกว่ารู้สึกข้างในออกไป ก็ค่อยข้างมั่นใจว่าเธอก็รู้สึกเหมือนๆกัน ตลอดช่วงเวลาที่มีร่วมกัน หลังจากกลับจากไปเที่ยวก็แยกย้ายกลับไปทำหน้าที่ใครหน้าที่มันแต่ก็มีติดต่อกันเยอะขึ้นเริ่มมีคำพิเศษ สิ่งของพิเศษที่ส่งไปให้ในเทศกาลต่างๆแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปมากไปว่าคำว่า “คิดถึง”
วันเวลาผ่านไป ไว้เหมือนโกหก ผมส่งข้อความไปว่า .... รัก .... ด้วยกันเขียนข้อความลงในกระดาษวาดรูปแผ่นใหญ่ๆ
เขียนคำว่ารักลงไป 2 หมื่นกว่าคำเพื่อเอาไปเรียงเป็นชื่อเธอคนนั้น ............................. แล้วเธอก็หายไป!!!!
ต่อมาไม่นานเท่าไรก็มีคำตอบกลับมาว่า “รักเหมือนกัน” เป็นสิ่งที่รอคอยมานานมาก ใช้เวลาเป็นเพื่อนกันมาถึง 6 ปี
ติดต่อสื่อสารกันเพื่อบอกความในใจต่างๆ อีกเป็นปีๆ แต่ช่วงเวลาที่ครบกันเป็นแฟนมันไม่ได้ง่ายเหมือนตอนเป็นเพื่อนกัน
ตลอดระยะเวลา 2 ปี ที่เราใช้คำว่าแฟนร่วมกัน ต่างคนก็ต่างมีหน้าที่มีความรับผิดชอบ เวลาไม่ตรงกันเลยช่วงเวลาที่เป็นแฟนกันเจอหน้ากันไม่ถึง 10 ครั้ง น้อยไปนะถ้าเทียบกับคำว่าเพื่อน จนวันหนึ่งเราก็ห่างกันไปจนความรู้สึกอยากเป็นเพื่อนกันมากกว่า อยากมีใช้เวลาร่วมกันเหมือนตอนที่เรายังใช้คำว่าเพื่อนกันมากกว่า เลยตัดสินในถอยออกมาโดยคิดว่า
ถ้าวันไหนเราพร้อมหรือมีเวลามากกว่านี้ เราจะกลับไปหาเขาคนนั้น แต่มันก็สายไป วันหนึ่งมีโทรศัพท์จากเธอคนนั้นโทรเข้ามา บอกข้อความหนึ่งกับด้วยน้ำเสียงที่ดีใจยินดีมากๆเหมือนจะร้องไห้ออกมาด้วยซ้ำด้วยความยินดี
“เขากำลังจะแต่งงาน” พอได้ยินคำนั้นผมก็เหมือนช็อกไปชั่วขนาด รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เธอวันเวลาและสถานที่กับผม
ตอนนั้นผมอารมณ์ไม่ต่างไปจากเธอเลยร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายเพียงแต่มันไม่ใช่น้ำตาแห่งความยินดีเหมือนของเธอ
งานแต่งจะจัดในช่วงปลายเดือน มกราคมที่จะถึงนี้ ผมควรจะทำยังไงดีไปร่วมแสดงความยินดีกับเพื่อนที่ผมรักมาตลอด
หรือหลบหน้าหายไปเพราะหลบความรู้สึกในใจของตัวเอง กลัวไปแล้วทำใจไม่ได้เหมือนกันแต่เขาก็โทรมาบอกข่าวครั้งสำคัญในชีวิตของเรา เพื่อนๆผมบอกว่า “มิงจะไปทำไมให้เจ็บไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ไปเขาก็แต่งกันได้ไม่ไปเขาก็แต่งกันได้
ไปแล้วทำร้ายตัวเองจะไปทำไมจะต้องพยายามอะไรอีกที่ผ่านมามันเยอะไปแล้วนะ”
บางครั้งก็แค่อยากให้มันรู้ว่าเจ็บสุดๆมั่ง.......................................................................................
การแต่งงานที่ไม่ใช่ของเรา
สวัสดีครับผู้อ่านทุกๆท่าน เรื่องราวที่ผมจะมาเล่าต่อไปนี้อาจจะตรงใจหลายๆคนที่อาจจะเคยเจอหรือพบเจอเหตุการณ์แบบนี้มาบ้างยังไงก็ลองมาแชร์กันดูนะครับ ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่งสนิทกันพอสมควรสมัยเรียน พอเรียนจบออกไปต่างคนก็ต่างแยกจากกันไปตามความฝันของตัวเอง จนวันหนึ่งเวลามันผ่านไปเราก็ยังใช้ชีวิตทุกอย่างเหมือนเดิมแต่มีบางอย่างที่มากระตุ้นความรู้สึกบางอย่างในใจของเรา “เมื่อสมัยเรียน มีสิ่งใดที่คุณยังไม่ได้ทำบ้าง” ก็มีเยอะนะไร้สาระมีสาระต่างๆนาๆ แต่ที่รู้สึกตอนนั้นคือภาพผู้หญิงคนหนึ่งลอยออกมาผมจึงมั่นใจแล้วว่านั้นแหละคือสิ่งที่ผมลืมทำ
การตัดสินใจครั้งสำคัญระหว่างคำว่าเพื่อนกับแฟน บางคนอาจจะของ่ายๆบอกตรงๆแต่ผมว่ามันยากนะถ้าเราจะบอกรักหรือชอบใครซักคน ผมจึงเลือกที่จะบอกโดนการกระทำมากกว่าจึงตัดสินใจชวนเธอคนนั้น ไปเที่ยวเกาะด้วยกันสองคน
เป็นเวลาสองวันหนึ่งคืนที่มีความสุขมากๆในฐานะเพื่อน แต่ความรู้สึกตอนนั้นบอกเลยว่าอยากให้เป็นแฟนจริงๆเลย
ช่วงเวลาที่เที่ยวด้วยกันก็สนุกมีความสุขดี จนตัดสินใจว่าอยากบอกว่ารู้สึกข้างในออกไป ก็ค่อยข้างมั่นใจว่าเธอก็รู้สึกเหมือนๆกัน ตลอดช่วงเวลาที่มีร่วมกัน หลังจากกลับจากไปเที่ยวก็แยกย้ายกลับไปทำหน้าที่ใครหน้าที่มันแต่ก็มีติดต่อกันเยอะขึ้นเริ่มมีคำพิเศษ สิ่งของพิเศษที่ส่งไปให้ในเทศกาลต่างๆแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปมากไปว่าคำว่า “คิดถึง”
วันเวลาผ่านไป ไว้เหมือนโกหก ผมส่งข้อความไปว่า .... รัก .... ด้วยกันเขียนข้อความลงในกระดาษวาดรูปแผ่นใหญ่ๆ
เขียนคำว่ารักลงไป 2 หมื่นกว่าคำเพื่อเอาไปเรียงเป็นชื่อเธอคนนั้น ............................. แล้วเธอก็หายไป!!!!
ต่อมาไม่นานเท่าไรก็มีคำตอบกลับมาว่า “รักเหมือนกัน” เป็นสิ่งที่รอคอยมานานมาก ใช้เวลาเป็นเพื่อนกันมาถึง 6 ปี
ติดต่อสื่อสารกันเพื่อบอกความในใจต่างๆ อีกเป็นปีๆ แต่ช่วงเวลาที่ครบกันเป็นแฟนมันไม่ได้ง่ายเหมือนตอนเป็นเพื่อนกัน
ตลอดระยะเวลา 2 ปี ที่เราใช้คำว่าแฟนร่วมกัน ต่างคนก็ต่างมีหน้าที่มีความรับผิดชอบ เวลาไม่ตรงกันเลยช่วงเวลาที่เป็นแฟนกันเจอหน้ากันไม่ถึง 10 ครั้ง น้อยไปนะถ้าเทียบกับคำว่าเพื่อน จนวันหนึ่งเราก็ห่างกันไปจนความรู้สึกอยากเป็นเพื่อนกันมากกว่า อยากมีใช้เวลาร่วมกันเหมือนตอนที่เรายังใช้คำว่าเพื่อนกันมากกว่า เลยตัดสินในถอยออกมาโดยคิดว่า
ถ้าวันไหนเราพร้อมหรือมีเวลามากกว่านี้ เราจะกลับไปหาเขาคนนั้น แต่มันก็สายไป วันหนึ่งมีโทรศัพท์จากเธอคนนั้นโทรเข้ามา บอกข้อความหนึ่งกับด้วยน้ำเสียงที่ดีใจยินดีมากๆเหมือนจะร้องไห้ออกมาด้วยซ้ำด้วยความยินดี
“เขากำลังจะแต่งงาน” พอได้ยินคำนั้นผมก็เหมือนช็อกไปชั่วขนาด รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่เธอวันเวลาและสถานที่กับผม
ตอนนั้นผมอารมณ์ไม่ต่างไปจากเธอเลยร้องไห้ออกมาอย่างไม่อายเพียงแต่มันไม่ใช่น้ำตาแห่งความยินดีเหมือนของเธอ
งานแต่งจะจัดในช่วงปลายเดือน มกราคมที่จะถึงนี้ ผมควรจะทำยังไงดีไปร่วมแสดงความยินดีกับเพื่อนที่ผมรักมาตลอด
หรือหลบหน้าหายไปเพราะหลบความรู้สึกในใจของตัวเอง กลัวไปแล้วทำใจไม่ได้เหมือนกันแต่เขาก็โทรมาบอกข่าวครั้งสำคัญในชีวิตของเรา เพื่อนๆผมบอกว่า “มิงจะไปทำไมให้เจ็บไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา ไปเขาก็แต่งกันได้ไม่ไปเขาก็แต่งกันได้
ไปแล้วทำร้ายตัวเองจะไปทำไมจะต้องพยายามอะไรอีกที่ผ่านมามันเยอะไปแล้วนะ”
บางครั้งก็แค่อยากให้มันรู้ว่าเจ็บสุดๆมั่ง.......................................................................................