ไมอามี-ผลวิจัยจากสหรัฐอเมริกาชี้การกดไลค์ของผู้ใช้เฟซบุ๊กแสดงถึงตัวตนที่เป็นอยู่อย่างชัดเจน และ ยิ่งกดมากก็ยิ่งเป็นการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงต่อสาธารณชนมากขึ้น
นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และ สแตนฟอร์ด แห่งสหรัฐอเมริกา เผยแพร่ผลงานวิจัยที่ทำร่วมกันในวารสารวิทยาศาสตร์ของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ที่ระบุว่าการเปิดเผยตัวตนของบุคคลผ่านสื่อโซเชียลมีเดียทำให้ซอฟท์แวร์การวิเคราะห์ตัวตนสามารถระบุบุคลิคและเอกลักษณ์ทางจิตใจของบุคคลนั้นได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้กำแพงกีดกั้นความเป็นส่วนตัวของบุคคลในสังคมยิ่งเปราะบางลง
นายหวู่ ยื่อยื่อ นักวิจัยของศูนย์ทดสอบจิตวิทยา แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ กล่าวว่า ในอนาคตคอมพิวเตอร์จะสามารถตรวจสอบสภาพจิตใจและมีปฏิกิริยาตอบโต้กับบุคคลได้โดยการตรวจวัดและประเมินสภาพจิตใจของบุคคลที่จะทำการโต้ตอบด้วยได้ดียิ่งขึ้น
ผลการวิจัยดังกล่าวยังทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของบุคคล และเรียกร้องให้มีการกำหนดนโยบายความเป็นส่วนตัวเพิ่มขึ้น
การวิจัยดังกล่าวกระทำขึ้นโดยอาศัยตัวอย่างจำนวน 86,220 คน ที่เป็นอาสาสมัครและผู้ใช้เฟซบุ๊คที่ตอบคำถาม 100 ข้อผ่านทางแอปลิเคชั่นที่เรียกว่า "มายเพอซันแนลิตี้" และให้สิทธิแก่ผู้วิจัยในการติดตามพฤติกรรมการกด "ไลค์" ในหน้าเฟซบุ๊คของตน ซึ่งผลการศึกษาชี้ว่าคอมพิวเตอร์จะบ่งบอกความเป็นตัวตนของบุคคลที่เข้าร่วมการวิจัยได้ดีกว่าเพื่อนร่วมงานของผู้เข้าร่วมการวิจัย จากการติดตามพฤติกรรมการกด "ไลค์" หรือ "ยกนิ้วโป้ง" เพียง 10 ครั้ง ที่แสดงให้เห็นว่าผู้เข้าร่วมการวิจัยเห็นด้วยกับหน้าเพจหรือกลุ่มข้อความที่ปรากฏอยู่ในเพจนั้นๆ
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคอมพิวเตอร์ติดตามการกดไลค์ของผู้ร่วมการวิจัยเพียง 70 ครั้ง ก็จะรู้จักสภาพจิตใจของผู้กดไลค์ได้ดีกว่าเพื่อน หรือ เพื่อนร่วมห้อง และจะเพิ่มความแม่นยำมากยิ่งขึ้นเมื่อติดตามพฤติกรรมการกดไลค์ต่อไปอีก โดย ที่ระดับ 150 ครั้ง คอมพิวเตอร์จะระบุสภาพจิตใจได้ดีกว่าญาติหรือคนใกล้ชิด และที่ระดับ 300 ครั้ง จะทำได้ดีกว่าคู่สมรส ขณะที่โดยเฉลี่ยผู้ใช้เฟซบุ๊คจะกดไลค์ ราว 227 ครั้ง
ทีมวิจัยยังแสดงความกังวลด้วยว่าในอนาคตที่จะมีการใช้ข้อมูลที่เรียกว่า บิ๊ก ดาต้า มาวิเคราะห์ยิ่งทำให้ความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานเฟซบุ๊กและสื่อโซเชียลมีเดียทั้งหลายลดน้อยลงไปด้วย
จาก คมชัดลึก
ยิ่งกด‘ไลค์’ยิ่งเผยตัวตนหวั่นสูญเสียความส่วนตัว
นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ และ สแตนฟอร์ด แห่งสหรัฐอเมริกา เผยแพร่ผลงานวิจัยที่ทำร่วมกันในวารสารวิทยาศาสตร์ของสถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ ที่ระบุว่าการเปิดเผยตัวตนของบุคคลผ่านสื่อโซเชียลมีเดียทำให้ซอฟท์แวร์การวิเคราะห์ตัวตนสามารถระบุบุคลิคและเอกลักษณ์ทางจิตใจของบุคคลนั้นได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งทำให้กำแพงกีดกั้นความเป็นส่วนตัวของบุคคลในสังคมยิ่งเปราะบางลง
นายหวู่ ยื่อยื่อ นักวิจัยของศูนย์ทดสอบจิตวิทยา แห่งมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ กล่าวว่า ในอนาคตคอมพิวเตอร์จะสามารถตรวจสอบสภาพจิตใจและมีปฏิกิริยาตอบโต้กับบุคคลได้โดยการตรวจวัดและประเมินสภาพจิตใจของบุคคลที่จะทำการโต้ตอบด้วยได้ดียิ่งขึ้น
ผลการวิจัยดังกล่าวยังทำให้เกิดความกังวลเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัวของบุคคล และเรียกร้องให้มีการกำหนดนโยบายความเป็นส่วนตัวเพิ่มขึ้น
การวิจัยดังกล่าวกระทำขึ้นโดยอาศัยตัวอย่างจำนวน 86,220 คน ที่เป็นอาสาสมัครและผู้ใช้เฟซบุ๊คที่ตอบคำถาม 100 ข้อผ่านทางแอปลิเคชั่นที่เรียกว่า "มายเพอซันแนลิตี้" และให้สิทธิแก่ผู้วิจัยในการติดตามพฤติกรรมการกด "ไลค์" ในหน้าเฟซบุ๊คของตน ซึ่งผลการศึกษาชี้ว่าคอมพิวเตอร์จะบ่งบอกความเป็นตัวตนของบุคคลที่เข้าร่วมการวิจัยได้ดีกว่าเพื่อนร่วมงานของผู้เข้าร่วมการวิจัย จากการติดตามพฤติกรรมการกด "ไลค์" หรือ "ยกนิ้วโป้ง" เพียง 10 ครั้ง ที่แสดงให้เห็นว่าผู้เข้าร่วมการวิจัยเห็นด้วยกับหน้าเพจหรือกลุ่มข้อความที่ปรากฏอยู่ในเพจนั้นๆ
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อคอมพิวเตอร์ติดตามการกดไลค์ของผู้ร่วมการวิจัยเพียง 70 ครั้ง ก็จะรู้จักสภาพจิตใจของผู้กดไลค์ได้ดีกว่าเพื่อน หรือ เพื่อนร่วมห้อง และจะเพิ่มความแม่นยำมากยิ่งขึ้นเมื่อติดตามพฤติกรรมการกดไลค์ต่อไปอีก โดย ที่ระดับ 150 ครั้ง คอมพิวเตอร์จะระบุสภาพจิตใจได้ดีกว่าญาติหรือคนใกล้ชิด และที่ระดับ 300 ครั้ง จะทำได้ดีกว่าคู่สมรส ขณะที่โดยเฉลี่ยผู้ใช้เฟซบุ๊คจะกดไลค์ ราว 227 ครั้ง
ทีมวิจัยยังแสดงความกังวลด้วยว่าในอนาคตที่จะมีการใช้ข้อมูลที่เรียกว่า บิ๊ก ดาต้า มาวิเคราะห์ยิ่งทำให้ความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งานเฟซบุ๊กและสื่อโซเชียลมีเดียทั้งหลายลดน้อยลงไปด้วย
จาก คมชัดลึก