คือเป็นเรื่องที่ตัวคนเขียนเองติดตามและขบคิดมานานมาก ประมาณ 15 ปี นับจากที่อายุ 14 และมีแฟนคนแรก จนตอนนี้มีอายุได้ 30 แล้ว จากการพบเจอทั้งแฟนตัวเองและของเพื่อนในสังคมต่างๆ มักจะมีปัญหาโอดครวญกับเรื่อง “ไม่มีรักแท้ในหมู่เกย์” ซึ่ง ทั้งหมดทั้งมวล มีปัญหาเดียวกันจากการที่อีกฝ่ายแอบไปมีอะไรกับคนอื่น
แหม ปัจจัยปัญหานี้ก็มาจากหลายเรื่อง คู่ที่ตอบสนองไม่ได้ หรือเบื่อ หรือบางทีตื่นเต้นกับคนใหม่
โมโนกามี่ ไม่ใช่เรื่องผิด และการ Open Relation เองก็ไม่ได้เลวร้าย สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เหล่าเกย์ติดหล่มในทัศนคติทางเพศแบบชายหญิงโดยไม่รู้ตัว คือมันก็ว่าไม่ได้นะ เพราะสังคมยังเข้าใจไปว่า โลกนี้มีสองเพศ คือชายและหญิง ถ้าเธอไม่อยากเป็นผู้ชายต้องอยากเป็นผู้หญิงสิ เหมือน ไม่ซ้ายก็ขวา ไม่เสื้อแดงก็เสื้อเหลือง ไม่บนก็ล่าง ซึ่งสังคมยังมองทุกอย่างเป็นสิ่งตรงข้ามกันอยู่แบบหยินหยาง ทำให้เกย์ที่เติบโตมา มีทัศนคติแบบนี้ไปด้วย
เมื่อเวลาเกย์คบกัน โดยไม่รู้ตัวจะถูกนำเอาความสัมพันธ์ไปเปรียบเทียบกับครอบครัวที่เลี้ยงดูมา ทำให้มองภาพว่า ครอบครัวต้องมีผู้นนำ มีผัวเมีย พ่อแม่ ชายหญิง ต้องมีบทบาทอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น เป็นครอบครัวที่ทำหน้าที่สืบพันธุ์ส่งต่อสารพันธุกรรมสู่รุ่นต่อไปทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ นอกจากจะใช้วิธีการอุ้มบุญ ซึ่งคู่ที่ไปทำอุ้มบุญส่วนใหญ่ก็จะมีชีวิตคู่ที่มั่นคงและพร้อมแล้ว แต่ในหลายคู่ที่ยังไม่ก้าวผ่านการสร้างพื้นฐานชีวิตคู่ได้เลย ไม่น่าจะไปคิดถึงตรงนั้นได้
ทัศนคติการมีคู่และครอบครัวแบบชายหญิง ทำให้มีการคาดหวังบทบาทต่ออีกฝ่าย ซึ่งคนเป็นเกย์รุก/รับ อาจจะเข้าใจบทบาทว่า ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งปฏิบัติต่อกันเหมือนทำกับเพศตรงข้าม ซึ่งบางที คนเป็นรุก แต่ความเป็นผู้หญิงเค้ามากกว่า ด้วยซ้ำ ความเป็นตัวตนภายใน ไม่ใช่แค่บทบาทเรื่องเซ็กส์ ความหลากหลายทางเพศมันมากมายจนแทบจะเอามาเขียนเป็นหนังสือ Fifty Shades Of Gays ได้เลยด้วยซ้ำนะฮะ ต้องเข้าใจพื้นฐานอย่างแรกของการฉีกออกจากเพศหลักให้ได้ก่อนว่า หลายคน ไม่ได้อยากเป็นเพศตรงข้ามของตัวเองเลย เฉดความไปถึงอีกฝั่งเองก็มากมายหลายระดับ
ความสัมพันธ์มันเหมือนประตูที่ต้องไขกุญแจเข้าไป เราไม่สามารถใช้กุญแจที่ไม่ใช่ไขเข้าไปได้อยู่แล้ว แล้วต่อให้เราไขประตูนี้ได้ ก็จะเจอประตูใหม่อีกไม่จบ สิ่งที่เราต้องทำคือ เราจะติดหล่มกับกุญแจที่ใช่หรือไม่ใช่ไปอีกนานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับตัวคนไขเองนั่นแล่ะ
กุญแจนั่นคือทัศนคติ ตราบใดที่ยังติดหล่มความสัมพันธ์แบบชายหญิงอยู่ก็จะไม่สามารถไขประตูไปยังห้องต่อไปได้ นี่คือสิ่งสำคัญ
ทำไมถึงสนับสนุน Open Relation เราไม่ได้อยากให้คนมั่วเซ็กส์นะครับ การไม่หึงหวง คือเราไม่เอามาเป็นปัญหาใหญ่ มันอาจต้องคุยกันในระดับที่พอรับได้ เพราะความต้องการเรื่องเพศเราห้ามไม่ได้ ในคู่ชายหญิง เรามีวัฒนธรรมผัวเดียวเมียเดียวปลูกฝังมา เพราะทั้งเรื่อง ครอบครัว เรื่องการท้อง เรื่องสมบัติต่างๆ ที่จะมีปัญหากัน การที่ ฝ่ายใยฝ่ายหนึ่งนอกใจจึงเป็นปัญหาหลักของครอบครัวแบบชายหญิง
ถ้าเราเอาทัศนคติแบบ"เยส"กันทีเดียวผูกพันกันทั้งชีวิตมาใช้ เกย์ที่มีอะไรกันก็ต้องหอบขันหมากไปสู่ขอ ขอสมมา แบบนั้นไปเลย
ครอบครัวหลายคนมีปัญหาเรื่องฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนอกใจ แต่ทำไมยังไม่ยอมเลิกกัน มีปัญหากันตลอด เพราะรักกัน หรือเพราะสังคมปลูกฝังให้รักกันตลอดชีวิต ทั้งๆ ที่จริงๆ มันอาจม่เข้ากันแต่แรก เกย์เองไม่ได้มีปัญหาเรื่องการผูกพันทางสังคม เมื่อเบื่อหรือไม่เข้สกันก็ตัดสัมพันธ์กันได้ง่ายกว่า จึงเป็นที่มาของปัญหา “ไม่มีรักแท้ในหมู่เกย์”
ปัญหามันอยู่ที่มีฝ่ายที่เบื่ออีกฝ่ายก่อนเหมือนชายหญิงนั่นแล่ะ คำพูดคำนี้เป็นคำพูดของฝ่ายที่ถูกทิ้ง (และแน่นอนว่า ทั้งสองคนนั่นต่างก็เคยเป็นฝ่ายที่ทิ้งและถูกทิ้งกันมาทั้งนั้น)
ตัวคนเขียนเองผ่านการมีแฟนมาเยอะ ทั้งลุ่มหลงแต่ยังไม่สามารถเรียกว่าเป็นความรักได้ แต่ทุกครั้งที่คบและเลิกกัน สิ่งหนึ่งที่ผมทำหลังจากร้องไห้ฟูมฟายแล้วคือการนั่งทบทวนความสัมพันธ์ และปัญหาจากการมีแฟน ข้อไหนที่ทั้งเราและเขาพลาดไป ทุกครั้งที่เพื่อนมีแฟน เราจะนั่งสังเกตความสัมพันธ์ของพวกเขา เปรียบเทียบกับคู่อื่นๆ ส่วนใหญ่มักจะมีผลลัพธ์และพฤติกรรมคล้ายกัน บางปัญหาก็แตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นเรื่องใหญ่มากของทุกคนคือ “การนอกใจ” นิยามการนอกใจของผมกับของเพื่อนไม่เหมือนกัน มันมีจุดเล็กๆ หลายอย่างที่เราสัมผัสได้ว่า การมีอะไรกับคนอื่น เป็นการนอกใจ หรือแค่อารมณ์พาไป
เราไม่สามารถห้ามปรามคนอื่นได้เลย ถ้าตราบใดที่เรายังดูหนังโป๊และโดยคิดว่าเรามีบทบาทในหนังนั่น แปลว่าเรา Horny กับคนอื่นอยู่ นั่นล่ะนอกใจแน่ๆ นิยามการนอกใจ ความรู้สึกยอมรับต่ออีกฝ่ายได้มากน้อยแค่ไหนนั้นเป็นสิ่งที่แต่ละคนอาจจะต้องค้นหากันเอาเอง
ปัญหาเรื่องความสัมพันธ์นั้นเกิดจากทัศนคติหลายเรื่อง ต่อให้เราผ่านเรื่องนี้ไปยังมีอีกหลายอันให้เราคอยปรับกันอยู่เรื่อย ด่านแรกที่ต้องผ่านให้ได้คือความหึงหวง การรู้ตัวรู้สถานะของตัวเอง
คำถามคือ คู่เกย์ อยากมีชีวิตคู่ไปทำไม ต้องหาคำตอบนี้กับตัวเองให้ได้ แล้วเดี๋ยวจะเจอคำถามต่อไปว่า ชีวิตคู่แบบไหนที่ต้องการ ไม่ใช่ข้ามไปหาชีวิตคู่ที่ต้องการแต่ไม่รู้ว่าจะมีไปทำไม
ขออภัยนะครับที่กระทู้ที่แล้วยังไม่ผ่านการเรียบเรียง ดันเล่าเป็นเรื่องของตัวเอง เป็นเรื่องอวดผัวไป รอบนี้พยายามเรียบเรียงให้เป็นกลางมากที่สุด จริงๆ มีการสนทนาในเฟซบุ๊คของผมอยู่เหมือนกัน ออกรสมาก แต่คงไม่กล้าเอามาโพสต์
ปล.เมื่อไหร่พันทิปจะเลิกเซ็นเซอร์คำโดดๆสักที ความสุภาพหรือไม่อยู่ที่บริบทการใช้ นี่ก็อีกเรื่องที่งี่เง่านะ
ทัศนคติแบบหญิงชายอาจทำให้ความสัมพันธ์ชีวิตคู่เกย์ล่ม
คือเป็นเรื่องที่ตัวคนเขียนเองติดตามและขบคิดมานานมาก ประมาณ 15 ปี นับจากที่อายุ 14 และมีแฟนคนแรก จนตอนนี้มีอายุได้ 30 แล้ว จากการพบเจอทั้งแฟนตัวเองและของเพื่อนในสังคมต่างๆ มักจะมีปัญหาโอดครวญกับเรื่อง “ไม่มีรักแท้ในหมู่เกย์” ซึ่ง ทั้งหมดทั้งมวล มีปัญหาเดียวกันจากการที่อีกฝ่ายแอบไปมีอะไรกับคนอื่น
แหม ปัจจัยปัญหานี้ก็มาจากหลายเรื่อง คู่ที่ตอบสนองไม่ได้ หรือเบื่อ หรือบางทีตื่นเต้นกับคนใหม่
โมโนกามี่ ไม่ใช่เรื่องผิด และการ Open Relation เองก็ไม่ได้เลวร้าย สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เหล่าเกย์ติดหล่มในทัศนคติทางเพศแบบชายหญิงโดยไม่รู้ตัว คือมันก็ว่าไม่ได้นะ เพราะสังคมยังเข้าใจไปว่า โลกนี้มีสองเพศ คือชายและหญิง ถ้าเธอไม่อยากเป็นผู้ชายต้องอยากเป็นผู้หญิงสิ เหมือน ไม่ซ้ายก็ขวา ไม่เสื้อแดงก็เสื้อเหลือง ไม่บนก็ล่าง ซึ่งสังคมยังมองทุกอย่างเป็นสิ่งตรงข้ามกันอยู่แบบหยินหยาง ทำให้เกย์ที่เติบโตมา มีทัศนคติแบบนี้ไปด้วย
เมื่อเวลาเกย์คบกัน โดยไม่รู้ตัวจะถูกนำเอาความสัมพันธ์ไปเปรียบเทียบกับครอบครัวที่เลี้ยงดูมา ทำให้มองภาพว่า ครอบครัวต้องมีผู้นนำ มีผัวเมีย พ่อแม่ ชายหญิง ต้องมีบทบาทอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น เป็นครอบครัวที่ทำหน้าที่สืบพันธุ์ส่งต่อสารพันธุกรรมสู่รุ่นต่อไปทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ นอกจากจะใช้วิธีการอุ้มบุญ ซึ่งคู่ที่ไปทำอุ้มบุญส่วนใหญ่ก็จะมีชีวิตคู่ที่มั่นคงและพร้อมแล้ว แต่ในหลายคู่ที่ยังไม่ก้าวผ่านการสร้างพื้นฐานชีวิตคู่ได้เลย ไม่น่าจะไปคิดถึงตรงนั้นได้
ทัศนคติการมีคู่และครอบครัวแบบชายหญิง ทำให้มีการคาดหวังบทบาทต่ออีกฝ่าย ซึ่งคนเป็นเกย์รุก/รับ อาจจะเข้าใจบทบาทว่า ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งปฏิบัติต่อกันเหมือนทำกับเพศตรงข้าม ซึ่งบางที คนเป็นรุก แต่ความเป็นผู้หญิงเค้ามากกว่า ด้วยซ้ำ ความเป็นตัวตนภายใน ไม่ใช่แค่บทบาทเรื่องเซ็กส์ ความหลากหลายทางเพศมันมากมายจนแทบจะเอามาเขียนเป็นหนังสือ Fifty Shades Of Gays ได้เลยด้วยซ้ำนะฮะ ต้องเข้าใจพื้นฐานอย่างแรกของการฉีกออกจากเพศหลักให้ได้ก่อนว่า หลายคน ไม่ได้อยากเป็นเพศตรงข้ามของตัวเองเลย เฉดความไปถึงอีกฝั่งเองก็มากมายหลายระดับ
ความสัมพันธ์มันเหมือนประตูที่ต้องไขกุญแจเข้าไป เราไม่สามารถใช้กุญแจที่ไม่ใช่ไขเข้าไปได้อยู่แล้ว แล้วต่อให้เราไขประตูนี้ได้ ก็จะเจอประตูใหม่อีกไม่จบ สิ่งที่เราต้องทำคือ เราจะติดหล่มกับกุญแจที่ใช่หรือไม่ใช่ไปอีกนานแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับตัวคนไขเองนั่นแล่ะ
กุญแจนั่นคือทัศนคติ ตราบใดที่ยังติดหล่มความสัมพันธ์แบบชายหญิงอยู่ก็จะไม่สามารถไขประตูไปยังห้องต่อไปได้ นี่คือสิ่งสำคัญ
ทำไมถึงสนับสนุน Open Relation เราไม่ได้อยากให้คนมั่วเซ็กส์นะครับ การไม่หึงหวง คือเราไม่เอามาเป็นปัญหาใหญ่ มันอาจต้องคุยกันในระดับที่พอรับได้ เพราะความต้องการเรื่องเพศเราห้ามไม่ได้ ในคู่ชายหญิง เรามีวัฒนธรรมผัวเดียวเมียเดียวปลูกฝังมา เพราะทั้งเรื่อง ครอบครัว เรื่องการท้อง เรื่องสมบัติต่างๆ ที่จะมีปัญหากัน การที่ ฝ่ายใยฝ่ายหนึ่งนอกใจจึงเป็นปัญหาหลักของครอบครัวแบบชายหญิง
ถ้าเราเอาทัศนคติแบบ"เยส"กันทีเดียวผูกพันกันทั้งชีวิตมาใช้ เกย์ที่มีอะไรกันก็ต้องหอบขันหมากไปสู่ขอ ขอสมมา แบบนั้นไปเลย
ครอบครัวหลายคนมีปัญหาเรื่องฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งนอกใจ แต่ทำไมยังไม่ยอมเลิกกัน มีปัญหากันตลอด เพราะรักกัน หรือเพราะสังคมปลูกฝังให้รักกันตลอดชีวิต ทั้งๆ ที่จริงๆ มันอาจม่เข้ากันแต่แรก เกย์เองไม่ได้มีปัญหาเรื่องการผูกพันทางสังคม เมื่อเบื่อหรือไม่เข้สกันก็ตัดสัมพันธ์กันได้ง่ายกว่า จึงเป็นที่มาของปัญหา “ไม่มีรักแท้ในหมู่เกย์”
ปัญหามันอยู่ที่มีฝ่ายที่เบื่ออีกฝ่ายก่อนเหมือนชายหญิงนั่นแล่ะ คำพูดคำนี้เป็นคำพูดของฝ่ายที่ถูกทิ้ง (และแน่นอนว่า ทั้งสองคนนั่นต่างก็เคยเป็นฝ่ายที่ทิ้งและถูกทิ้งกันมาทั้งนั้น)
ตัวคนเขียนเองผ่านการมีแฟนมาเยอะ ทั้งลุ่มหลงแต่ยังไม่สามารถเรียกว่าเป็นความรักได้ แต่ทุกครั้งที่คบและเลิกกัน สิ่งหนึ่งที่ผมทำหลังจากร้องไห้ฟูมฟายแล้วคือการนั่งทบทวนความสัมพันธ์ และปัญหาจากการมีแฟน ข้อไหนที่ทั้งเราและเขาพลาดไป ทุกครั้งที่เพื่อนมีแฟน เราจะนั่งสังเกตความสัมพันธ์ของพวกเขา เปรียบเทียบกับคู่อื่นๆ ส่วนใหญ่มักจะมีผลลัพธ์และพฤติกรรมคล้ายกัน บางปัญหาก็แตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นเรื่องใหญ่มากของทุกคนคือ “การนอกใจ” นิยามการนอกใจของผมกับของเพื่อนไม่เหมือนกัน มันมีจุดเล็กๆ หลายอย่างที่เราสัมผัสได้ว่า การมีอะไรกับคนอื่น เป็นการนอกใจ หรือแค่อารมณ์พาไป
เราไม่สามารถห้ามปรามคนอื่นได้เลย ถ้าตราบใดที่เรายังดูหนังโป๊และโดยคิดว่าเรามีบทบาทในหนังนั่น แปลว่าเรา Horny กับคนอื่นอยู่ นั่นล่ะนอกใจแน่ๆ นิยามการนอกใจ ความรู้สึกยอมรับต่ออีกฝ่ายได้มากน้อยแค่ไหนนั้นเป็นสิ่งที่แต่ละคนอาจจะต้องค้นหากันเอาเอง
ปัญหาเรื่องความสัมพันธ์นั้นเกิดจากทัศนคติหลายเรื่อง ต่อให้เราผ่านเรื่องนี้ไปยังมีอีกหลายอันให้เราคอยปรับกันอยู่เรื่อย ด่านแรกที่ต้องผ่านให้ได้คือความหึงหวง การรู้ตัวรู้สถานะของตัวเอง
คำถามคือ คู่เกย์ อยากมีชีวิตคู่ไปทำไม ต้องหาคำตอบนี้กับตัวเองให้ได้ แล้วเดี๋ยวจะเจอคำถามต่อไปว่า ชีวิตคู่แบบไหนที่ต้องการ ไม่ใช่ข้ามไปหาชีวิตคู่ที่ต้องการแต่ไม่รู้ว่าจะมีไปทำไม
ขออภัยนะครับที่กระทู้ที่แล้วยังไม่ผ่านการเรียบเรียง ดันเล่าเป็นเรื่องของตัวเอง เป็นเรื่องอวดผัวไป รอบนี้พยายามเรียบเรียงให้เป็นกลางมากที่สุด จริงๆ มีการสนทนาในเฟซบุ๊คของผมอยู่เหมือนกัน ออกรสมาก แต่คงไม่กล้าเอามาโพสต์
ปล.เมื่อไหร่พันทิปจะเลิกเซ็นเซอร์คำโดดๆสักที ความสุภาพหรือไม่อยู่ที่บริบทการใช้ นี่ก็อีกเรื่องที่งี่เง่านะ