การปล่อยนก ปล่อยปลา ปล่อยปู และสัตว์อื่นๆ ในที่นี้ หมายถึงการซื้อสัตว์ที่ถูกจับมาขาย และนำไปปล่อยกลับสู่ธรรมชาติ ถ้าเป็นไปได้คือปล่อยในที่ที่สัตว์เหล่านั้นจะดำรงค์ชีวิตอยู่ได้อย่างปลอดภัย สัตว์ที่เห็นคนนำไปปล่อยส่วนใหญ่ก็จะเป็นปลาที่ขายอยู่ตามตลาด หรือนกกระจิบและนกกระจอก (แต่เดี๋ยวนี้ลดลงไม่ค่อยเห็น)
ก่อนอื่นต้องเกริ่นก่อนเลยว่า โพสต์นี้ผมจะไป
ไม่พูดเรื่องของ บาปบุญคุณโทษ หรือความเชื่อส่วนบุคคล แต่จะพูดถึงการทำดีจากการที่ได้ช่วยชีวิตสัตว์ทั้งหลาย (Part 1) และ เหตุผลอื่นๆที่เราปล่อยสัตว์เพื่อช่วยชีวิตและทางเลือกอื่นๆ แทนการปล่อยสัตว์ครับ (Part 2)
Part 1
การช่วยชีวิตสัตว์นั้นเป็นสิ่งที่ดี เพราะว่าเราได้ต่อชีวิตของสัตว์ที่กำลังจะตาย อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าการที่เราซื้อสัตว์ต่างๆที่ถูกจับจากแม่ค้าพ่อค้าที่ตลาดสด หรือคนขายนกกระจิบ เพื่อนำไปปล่อยนั้น สามารถช่วยชีวิตสัตว์ได้
ในระยะสั้นเท่านั้น แต่ในระยะยาวนั้น เราไม่ได้ช่วยชีวิตสัตว์เพิ่มขึ้นเลย หรืออาจจะทำให้สัตว์ชนิดนั้นตายมากขึ้นด้วยซ้ำ นอกจากนั้น ผมคิดว่าการปล่อยสัตว์นั้นยัง
เพิ่มจำนวนสัตว์ที่ต้องทรมานเพราะถูกจับมากขึ้น
ผมขอยกตัวอย่างธุรกิจปล่อยนกกระจิบนกกระจอก ในธุรกิจนี้ พ่อค้าแม่ค้าจะจับหรือซื้อนกกระจอกที่ถูกจับมาขายให้กับเรา เพื่อให้เราปล่อยมันครับ นกน้อยทั้งหลายที่น่าสงสารจะอยู่กันอย่างแออัดในกรงเล็กใหญ่ครับ เพื่อรอเราปล่อยให้เป็นอิสระ เราสามารถพบพ่อค้าแม่ค้าเหล่านี้ได้ตามที่สาธารณะ หรือเวลาเราไปเชงเม้ง (ไหว้บรรพบุรุษตามวัฒนธรรมจีนครับ) แต่เดี๋ยวนี้ผมรู้สึกว่าเจอน้อยลงแล้วครับ
สำหรับสถานการณ์นี้ พ่อค้าแม่ค้าจับนกมาเพื่อรอให้เราปล่อยอย่างเดียว (หวังว่าเค้าคงไม่เอาไปย่างกินนะ ถ้าขายไม่ออก) ฉะนั้นถ้าเราไม่ซื้อมันไปปล่อย เค้าก็จะออกแรงไปจับน้อยลง เพราะลูกค้าลดลง นกที่โดนจับและต้องเจ็บตัวถูกขังก็ลดลง ถ้าไม่มีใครปล่อยเลย เค้าก็เลิกจับ ก็ไม่มีนกที่ต้องโดนจับเลยครับ แต่ถ้าอยู่ดีๆใครๆก็อยากปล่อยนกกระจอก (เนื่องจากมีคนดังมาปล่อยโชว์ หรือมีคนบอกว่าปีนี้ปล่อยแล้วโชคดี) อย่างงี้นกกระจอกคงน้ำตาตกไปตามๆกันครับ แย่ไปกว่านั้น นกส่วนใหญ่ ถูกปล่อยในระแวกเดิมครับ และนกก็บินไปมาได้ ไม่เหมือนปลาที่ว่ายอยู่ตามวัด (แต่หลายๆที่ก็ยังมีคนแอบจับนะ ได้ยินมา)
เคสปล่อยปลา ปู หรือสัตว์อื่นๆตามตลาด ก็คล้ายๆกับเคสปล่อยนกครับ แต่ต่างกันตรงที่สัตว์เหล่านั้นจะถูกนำไปฆ่าจริงๆ ซึ่งการที่เราปล่อยสัตว์ตัวนั้นเราจะได้ช่วยชีวิตสัตว์ตัวนั้นจริงๆ แต่ในที่สุดแล้วจะต้องมีสัตว์อีกตัวที่ตายแทนครับ เนื่องจากผู้ขายสัตว์เห็นความต้องการมากขึ้นนี่เอง
ตัวอย่างทั้งสองสถานการณ์นี้
ผมตั้งสมมติฐานต่างๆ ดังนี้ครับ
1. พ่อค้าแม่ค้าสามารถซื้อเพิ่มหรือลดจำนวนของที่นำมาขายได้ในระยะยาว
2. ไม่มีสัตว์ตายระหว่างถูกจับ
3. การนำสัตว์ไปปล่อยไม่มีผลบวกหรือลบต่อระบบนิเวศน์ และสภาพแวดล้อม
4. สัตว์ที่ถูกปล่อย ไม่สามารถถูกจับได้อีก (ถ้าถูกจับได้อีกอย่างเช่นเคสนกกระจิบนอกกระจอก นี่ยิ่งแย่เลย)
5. การซื้อสัตว์ไปปล่อย ไม่กระทบราคาสัตว์ในตลาดหรือกระทบน้อยมากจนไม่มีผล
เพราะฉะนั้น ผมไม่เห็นด้วยกับการปล่อยนกปล่อยปลา เพื่อช่วยชีวิตสัตว์ครับ ในทางกลับกัน วิธีที่จะช่วยชีวิตสัตว์จริงๆ ในระยะยาวคือการบริโภคสัตว์ที่เราอยากจะช่วยชีวิตให้น้อยลงครับ แต่สำหรับผมยังทำใจไม่ได้จริงๆครับ 555
สำหรับบางคนที่บอกว่าช่วยชีวิตก็ส่วนช่วยชีวิต กินก็ส่วนกิน หรือเรากินแต่เราไม่ได้ฆ่า ไม่ถือว่าเราผิด อันนี้อาจเป็นเรื่องของบาปบุณคุณโทษ ซึ่งผม แต่ในแง่ของการช่วยชีวิตสัตว์โดยรวมแล้ว ผมคิดว่าเราควรคิดให้ครบ ถึงผลที่จะตามมาในระยะยาวครับ
ถ้าถามว่า
ระยะยาวนั้นนานขนาดไหน ในเชิงเศรษฐศาสตร์แล้ว ระยะยาวคือระยะเวลาที่พ่อค้าแม่ค้าสามารถปรับจำนวนสินค้าที่เค้าซื้อมาขายจากรายใหญ่อีกที ซึ่งในที่นี่เป็นระยะเวลาไม่กี่วัน
Part 2
นอกจากการปล่อยสัตว์เพื่อการช่วยชีวิต และทำบุญแล้ว ที่ผมไม่เห็นด้วยแล้ว ยังมีอีกหลายๆคนที่ปล่อยสัตว์เพื่อจุดประสงค์อื่นๆ ซึ่งแต่ละจุดก็มีเหตุผลรองรับกันทั้งสิ้น:
เหตุผลแรกคือ
เป็นกิจกรรม ทำแล้วสนุก มีความสุข หรือสบายใจ: เหตุผลนี้ผมก็ไม่สนับสนุนครับ เพราะในความสบายใจหรือสนุกของเรา มันมีสตัว์ที่ต้องทรมานเพราะถูกจับและขังรอเราไปปล่อย (เหตุผลตามส่วนแรก) นอกจากนั้นผมยังคิดว่า การที่เราปล่อยสัตว์นั้นเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรของเราครับ เพราะนอกจากสัตว์ที่ถูกปล่อยจะไม่ได้สร้างคุณค่าแล้ว (ยกเว้นเราไปปล่อยในที่ที่ทำให้สภาพแวดล้อมสมดุลขึ้นจริงๆ) ในขณะที่เราต้องจ่ายทรัพยากรต่างๆ ทั้งน้ำมัน(สองเที่ยว) เวลาของเราและแม่ค้า และอื่นๆครับ
สำหรับคนที่ปล่อยสัตว์ เพราะเหตุผลนี้ ผมแนะนำให้ทำกิจกรรมเพื่อสังคมอื่นๆเช่นปลูกป่า สอนเด็กให้อนุรักษ์ป่า บริจาคเงินให้กับมูลนิธิเพื่ออยุรักษ์แหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ต่างๆ หรือแค่ให้อาหารปลาตามวัด ซึ่งผมคิดว่าหลายๆกิจกรรมให้ทั้งความสนุกและสบายใจไม่น้อยไปกว่าการปล่อยสัตว์ อีกทั้งยังช่วยชีวิตสัตว์ต่างๆ ในระยะยาวครับ
เหตุผลที่สองคือ
ช่วยพ่อค้าแม่ค้า ข้อนี้ผมก็ไม่เห็นด้วยมันเป็นการรณรงค์ให้แม่ค้าขายเพิ่มตามที่อธิบายด้านบน หรือแย่ไปกว่านั้นคือทำให้แม่ค้าสนับสนุนใหผู้ซื้อ ซื้อสัตว์ไปปล่อย
อีกเหตุผลที่เห็นกันบ่อยคือการปล่อยสัตว์
เป็นกิจกรรมที่ทำให้เราและเด็กๆตระหนักเห็นคุณค่าของชีวิต และการใว้ชีวิตซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่ผมคิดว่ายังมีวิธีการอื่นที่ทำให้เด็กตระหนักถึงจุดนี้ได้เหมือนกันครับ ยกตัวอย่างเช่นการสอนให้ไม่ฆ่าหรือทรมานสัตว์ สอนให้ไม่ทานกับข้าวเหลือ พาเด็กไปให้อาหารสัตว์ที่ถูกทิ้งหรือกำพร้า หรือแม้กระท่งรับมันไปเลี้ยงครับ
ในขณะเดียวกันเราควรรู้จักมองและสอนเด็กให้มองถึงภาพรวมและผลกระทบของการกระทำต่างๆ ให้ครบถ้วนครับเพราะบางทีกิจกรรมที่เราประสงค์ดีอาจส่งผลกระทบในทางลบได้ครับ
ทั้งหมดนี้คือ
ความคิดเห็นของผมครับ ซึ่งขึ้นอยู่กับสมมติฐานหลายๆอย่างทั้งปัจจัย เราควรดูเป็นแต่ละสถานการณ์ และมองให้ครบถึงผลกระทบที่ตามมาจากการกระทำของเราครับ
สุดท้ายนี้หวังว่าเพื่อนๆจะได้มุมมองใหม่ๆเกี่ยวกับการปล่อยนกปล่อยปลาหรือสัตว์อื่นๆ ครับ
เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย คอมเม้นต์ด้านล่างได้เลยครับ
ติดตาม Blog ผมได้ที่
http://metapon.wordpress.com ครับ ขอบคุณครับ
ปล่อยนกปล่อยปลา มีประโยชน์จริงหรือ?
ก่อนอื่นต้องเกริ่นก่อนเลยว่า โพสต์นี้ผมจะไปไม่พูดเรื่องของ บาปบุญคุณโทษ หรือความเชื่อส่วนบุคคล แต่จะพูดถึงการทำดีจากการที่ได้ช่วยชีวิตสัตว์ทั้งหลาย (Part 1) และ เหตุผลอื่นๆที่เราปล่อยสัตว์เพื่อช่วยชีวิตและทางเลือกอื่นๆ แทนการปล่อยสัตว์ครับ (Part 2)
Part 1
การช่วยชีวิตสัตว์นั้นเป็นสิ่งที่ดี เพราะว่าเราได้ต่อชีวิตของสัตว์ที่กำลังจะตาย อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าการที่เราซื้อสัตว์ต่างๆที่ถูกจับจากแม่ค้าพ่อค้าที่ตลาดสด หรือคนขายนกกระจิบ เพื่อนำไปปล่อยนั้น สามารถช่วยชีวิตสัตว์ได้ในระยะสั้นเท่านั้น แต่ในระยะยาวนั้น เราไม่ได้ช่วยชีวิตสัตว์เพิ่มขึ้นเลย หรืออาจจะทำให้สัตว์ชนิดนั้นตายมากขึ้นด้วยซ้ำ นอกจากนั้น ผมคิดว่าการปล่อยสัตว์นั้นยังเพิ่มจำนวนสัตว์ที่ต้องทรมานเพราะถูกจับมากขึ้น
ผมขอยกตัวอย่างธุรกิจปล่อยนกกระจิบนกกระจอก ในธุรกิจนี้ พ่อค้าแม่ค้าจะจับหรือซื้อนกกระจอกที่ถูกจับมาขายให้กับเรา เพื่อให้เราปล่อยมันครับ นกน้อยทั้งหลายที่น่าสงสารจะอยู่กันอย่างแออัดในกรงเล็กใหญ่ครับ เพื่อรอเราปล่อยให้เป็นอิสระ เราสามารถพบพ่อค้าแม่ค้าเหล่านี้ได้ตามที่สาธารณะ หรือเวลาเราไปเชงเม้ง (ไหว้บรรพบุรุษตามวัฒนธรรมจีนครับ) แต่เดี๋ยวนี้ผมรู้สึกว่าเจอน้อยลงแล้วครับ
สำหรับสถานการณ์นี้ พ่อค้าแม่ค้าจับนกมาเพื่อรอให้เราปล่อยอย่างเดียว (หวังว่าเค้าคงไม่เอาไปย่างกินนะ ถ้าขายไม่ออก) ฉะนั้นถ้าเราไม่ซื้อมันไปปล่อย เค้าก็จะออกแรงไปจับน้อยลง เพราะลูกค้าลดลง นกที่โดนจับและต้องเจ็บตัวถูกขังก็ลดลง ถ้าไม่มีใครปล่อยเลย เค้าก็เลิกจับ ก็ไม่มีนกที่ต้องโดนจับเลยครับ แต่ถ้าอยู่ดีๆใครๆก็อยากปล่อยนกกระจอก (เนื่องจากมีคนดังมาปล่อยโชว์ หรือมีคนบอกว่าปีนี้ปล่อยแล้วโชคดี) อย่างงี้นกกระจอกคงน้ำตาตกไปตามๆกันครับ แย่ไปกว่านั้น นกส่วนใหญ่ ถูกปล่อยในระแวกเดิมครับ และนกก็บินไปมาได้ ไม่เหมือนปลาที่ว่ายอยู่ตามวัด (แต่หลายๆที่ก็ยังมีคนแอบจับนะ ได้ยินมา)
เคสปล่อยปลา ปู หรือสัตว์อื่นๆตามตลาด ก็คล้ายๆกับเคสปล่อยนกครับ แต่ต่างกันตรงที่สัตว์เหล่านั้นจะถูกนำไปฆ่าจริงๆ ซึ่งการที่เราปล่อยสัตว์ตัวนั้นเราจะได้ช่วยชีวิตสัตว์ตัวนั้นจริงๆ แต่ในที่สุดแล้วจะต้องมีสัตว์อีกตัวที่ตายแทนครับ เนื่องจากผู้ขายสัตว์เห็นความต้องการมากขึ้นนี่เอง
ตัวอย่างทั้งสองสถานการณ์นี้ ผมตั้งสมมติฐานต่างๆ ดังนี้ครับ
1. พ่อค้าแม่ค้าสามารถซื้อเพิ่มหรือลดจำนวนของที่นำมาขายได้ในระยะยาว
2. ไม่มีสัตว์ตายระหว่างถูกจับ
3. การนำสัตว์ไปปล่อยไม่มีผลบวกหรือลบต่อระบบนิเวศน์ และสภาพแวดล้อม
4. สัตว์ที่ถูกปล่อย ไม่สามารถถูกจับได้อีก (ถ้าถูกจับได้อีกอย่างเช่นเคสนกกระจิบนอกกระจอก นี่ยิ่งแย่เลย)
5. การซื้อสัตว์ไปปล่อย ไม่กระทบราคาสัตว์ในตลาดหรือกระทบน้อยมากจนไม่มีผล
เพราะฉะนั้น ผมไม่เห็นด้วยกับการปล่อยนกปล่อยปลา เพื่อช่วยชีวิตสัตว์ครับ ในทางกลับกัน วิธีที่จะช่วยชีวิตสัตว์จริงๆ ในระยะยาวคือการบริโภคสัตว์ที่เราอยากจะช่วยชีวิตให้น้อยลงครับ แต่สำหรับผมยังทำใจไม่ได้จริงๆครับ 555
สำหรับบางคนที่บอกว่าช่วยชีวิตก็ส่วนช่วยชีวิต กินก็ส่วนกิน หรือเรากินแต่เราไม่ได้ฆ่า ไม่ถือว่าเราผิด อันนี้อาจเป็นเรื่องของบาปบุณคุณโทษ ซึ่งผม แต่ในแง่ของการช่วยชีวิตสัตว์โดยรวมแล้ว ผมคิดว่าเราควรคิดให้ครบ ถึงผลที่จะตามมาในระยะยาวครับ
ถ้าถามว่าระยะยาวนั้นนานขนาดไหน ในเชิงเศรษฐศาสตร์แล้ว ระยะยาวคือระยะเวลาที่พ่อค้าแม่ค้าสามารถปรับจำนวนสินค้าที่เค้าซื้อมาขายจากรายใหญ่อีกที ซึ่งในที่นี่เป็นระยะเวลาไม่กี่วัน
Part 2
นอกจากการปล่อยสัตว์เพื่อการช่วยชีวิต และทำบุญแล้ว ที่ผมไม่เห็นด้วยแล้ว ยังมีอีกหลายๆคนที่ปล่อยสัตว์เพื่อจุดประสงค์อื่นๆ ซึ่งแต่ละจุดก็มีเหตุผลรองรับกันทั้งสิ้น:
เหตุผลแรกคือ เป็นกิจกรรม ทำแล้วสนุก มีความสุข หรือสบายใจ: เหตุผลนี้ผมก็ไม่สนับสนุนครับ เพราะในความสบายใจหรือสนุกของเรา มันมีสตัว์ที่ต้องทรมานเพราะถูกจับและขังรอเราไปปล่อย (เหตุผลตามส่วนแรก) นอกจากนั้นผมยังคิดว่า การที่เราปล่อยสัตว์นั้นเป็นการสิ้นเปลืองทรัพยากรของเราครับ เพราะนอกจากสัตว์ที่ถูกปล่อยจะไม่ได้สร้างคุณค่าแล้ว (ยกเว้นเราไปปล่อยในที่ที่ทำให้สภาพแวดล้อมสมดุลขึ้นจริงๆ) ในขณะที่เราต้องจ่ายทรัพยากรต่างๆ ทั้งน้ำมัน(สองเที่ยว) เวลาของเราและแม่ค้า และอื่นๆครับ
สำหรับคนที่ปล่อยสัตว์ เพราะเหตุผลนี้ ผมแนะนำให้ทำกิจกรรมเพื่อสังคมอื่นๆเช่นปลูกป่า สอนเด็กให้อนุรักษ์ป่า บริจาคเงินให้กับมูลนิธิเพื่ออยุรักษ์แหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ต่างๆ หรือแค่ให้อาหารปลาตามวัด ซึ่งผมคิดว่าหลายๆกิจกรรมให้ทั้งความสนุกและสบายใจไม่น้อยไปกว่าการปล่อยสัตว์ อีกทั้งยังช่วยชีวิตสัตว์ต่างๆ ในระยะยาวครับ
เหตุผลที่สองคือช่วยพ่อค้าแม่ค้า ข้อนี้ผมก็ไม่เห็นด้วยมันเป็นการรณรงค์ให้แม่ค้าขายเพิ่มตามที่อธิบายด้านบน หรือแย่ไปกว่านั้นคือทำให้แม่ค้าสนับสนุนใหผู้ซื้อ ซื้อสัตว์ไปปล่อย
อีกเหตุผลที่เห็นกันบ่อยคือการปล่อยสัตว์ เป็นกิจกรรมที่ทำให้เราและเด็กๆตระหนักเห็นคุณค่าของชีวิต และการใว้ชีวิตซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่ผมคิดว่ายังมีวิธีการอื่นที่ทำให้เด็กตระหนักถึงจุดนี้ได้เหมือนกันครับ ยกตัวอย่างเช่นการสอนให้ไม่ฆ่าหรือทรมานสัตว์ สอนให้ไม่ทานกับข้าวเหลือ พาเด็กไปให้อาหารสัตว์ที่ถูกทิ้งหรือกำพร้า หรือแม้กระท่งรับมันไปเลี้ยงครับ
ในขณะเดียวกันเราควรรู้จักมองและสอนเด็กให้มองถึงภาพรวมและผลกระทบของการกระทำต่างๆ ให้ครบถ้วนครับเพราะบางทีกิจกรรมที่เราประสงค์ดีอาจส่งผลกระทบในทางลบได้ครับ
ทั้งหมดนี้คือความคิดเห็นของผมครับ ซึ่งขึ้นอยู่กับสมมติฐานหลายๆอย่างทั้งปัจจัย เราควรดูเป็นแต่ละสถานการณ์ และมองให้ครบถึงผลกระทบที่ตามมาจากการกระทำของเราครับ
สุดท้ายนี้หวังว่าเพื่อนๆจะได้มุมมองใหม่ๆเกี่ยวกับการปล่อยนกปล่อยปลาหรือสัตว์อื่นๆ ครับ
เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย คอมเม้นต์ด้านล่างได้เลยครับ
ติดตาม Blog ผมได้ที่ http://metapon.wordpress.com ครับ ขอบคุณครับ