ในที่สุดก็รู้ว่าจะเป็นหมอเพราะอะไรเมื่อ...แม่เป็นมะเร็ง

สวัสดีผู้เล่นพันทิปทุกท่าน ตัดสินใจอยู่นานว่าจะเล่าเรื่องนี้ผ่านล็อกอินนี้ดีไหม เนื่องจากการตั้งกระทู้ ที่เสี่ยงภัยต่อการเล่าประวัติครอบครัว ทรัพย์สินที่ครอบครัวมี จะส่งผลต่อผู้ที่รู้ตัวจริงของผม เช่นเดียวกับที่ กระทู้ที่เคยตั้งเคยทำให้ผมทะเลาะกับแฟนเพราะมีคนไปบอกเล่า โดยไม่ได้ถามรายละเอียดจากผมก่อน แต่ที่ตัดสินใจเขียนบนล็อกอินนี้ เพื่ออยากให้คนที่รู้ตัวตนจริงผมได้เข้าใจถึงชีวิต ของผมมากยิ่งขึ้นและ บอกเล่าคนอื่นได้ถูกต้องว่าแท้จริงแล้วผมเป็นคน อย่างไร ?? อยากให้อ่านตั้งแต่ต้นนะครับยาวซักนิดกว่าจะถึงเรื่องหลัก เหตุการณ์ทั้งหมดเริ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ.253... กว่าๆ
.
.
.
หญิงสาวคนหนึ่ง เธอเติบโตในจังหวัดที่เงียบสงบ ผู้คนน้อย ธรรมชาติยังคงแผ่สยายความงดงามของมันอย่างเต็มที่ หลังจบการศึกษา เธอได้เดินทางสู่จังหวัดแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงเพื่อหวังมาสร้างชีวิตของเธอให้ดีงาม เธอมีพี่น้อง 6 คน ทุกคนรักใคร่ปรองดอง
.
.
.
พ.ศ.2540 เธอแต่งงานกับชายลูกหลานชาวจีน ที่อพยพจากจีน เขาเป็นคนฐานะปานกลาง ทั้งสองมีลูกชาย ในปีนั้นเอง เขาและเธอตั้งชื่อให้ ลูกที่เกิดมาด้วย ก.ไก่ เหตุผลก็คือ เวลารับปริญญาลูกจะได้รับคนแรกๆ ทั้งสองทำงานอย่างอดทนได้นอนเพียงวันละ 3-4 ชม. เพราะต้องทำงานเสริมเนื่องจากต้องหาเงินให้ลูกชายที่กำลังจะเติบโต สิ่งที่เธอทำในวันสุดท้ายก่อนคลอดลูกชายไม่ใช่การนอนรอที่ รพ. เพื่อรอคลอดเฉกเช่นคนมีเงินคนอื่นๆ แต่คือการผ่าส้มโอแล้วแพ็กไปเพื่อขาย
.
.
.
พ.ศ.2540 ในปีเดียวกันนั้น ทั้งสองสามารถซื้อบ้านเดี่ยวในราคา ที่คนทั่วไปเมื่อวัย 25 ได้แต่ฝัน เพราะทั้งสองทำงานหนัก และ อดออม ทุกอย่างกำลังไปได้สวย แต่แล้ว
.
.
.
พ.ศ.2542 เธอได้รับโทรศัพท์จาก รพ. ในกลางดึก เวลา 02.42 สามีของเธอประสบอุบัติเหตุ เธอรวมถึง แม่และพ่อสามี รีบไป รพ. สามีของเธอไร้แผลใดๆทั้งสิ้น แต่หมอบอกกับเธอว่า สามีของเธอมีอาการเลือดคั่งในสมอง เลือดจับตัวเป็นก้อนแล้วเนื่องจาก ผู้ที่ขับรถชนสามีของเธอหนีไป พร้อมลากสามีเธอไปทิ้งข้างทาง .. เรื่องทั้งหมดถูกเล่าจากพยานในวันนั้น แต่ในที่สุดไม่มีใครจับคนร้ายได้
       เธอสูญเสียสามีไปในปีนั้นเอง ภาระทุกอย่างตกลงที่เธอ ทั้งบ้าน ลูกชาย ภาระการงาน เธอไม่มีทางเลือกจึงส่งลูกชายให้แม่เลี้ยงดู จน เขามีอายุ 3 ขวบ
.
.
.
พ.ศ.2546 เด็กชายเติบโตขึ้น เธอส่งเสียให้เขาได้เรียนโรงเรียนเอกชน ฐานะทางบ้านดีขึ้น เพราะเธอแต่งงานใหม่ เธอให้ เด็กชาย เรียกสามีใหม่เธอว่า ลุง เด็กชายรู้เรื่องทั้งหมดตั้งแต่ 3 ขวบแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นแต่เขาก็ไม่พูดอะไร ย่าของเด็กชายหลังจากลูกชายเสียไปก็ตัดสินใจย้ายไปอยู่กับน้องชายของสามีเก่าของเธอ ลุงคนใหม่นี้ดีกับเขามาก ดีเสียจนเขาคิดว่านี่แหละคือคนในครอบครัวได้อย่างไม่คิดอะไรอีกต่อไป
.
.
.
พ.ศ.2552 เด็กชายสอบได้เรียนโรงเรียนมัธยมประจำจังหวัด เธอดีใจมาก...
พ.ศ.2554 เด็กชายโตขึ้นมาก เขาไม่เคยทำให้เธอเสียใจเรื่องการเรียนเลย เขารักษาเกรดมัธยมศึกษาตอนต้นรวมได้ถึง 3.96 แต่สิ่งที่เธอสังเกตุไ้ในแววตาเขาเสมอคือเขามีเพื่อนน้อยมาก เด็กชายรู้ข้อนี้ดี เพราะมันก็จริงนั่นแหละเขาแทบจะไม่มีเพื่อนเลย เพราะไม่มีใครชอบนิสัยที่เขาเป็นคนตรงๆ คิดยังไงก็พูดอย่างนั้นถ้าสิ่งที่คิดถูกต้อง เขาจะค้านหัวชนฝาจนเพื่อนๆ มากันบอกต่อ เล่าและเพิ่มสีสันจากปากสู่ปาก จนเขาแทบจะไม่มีเพื่อนเลยซักคนที่ไว้ใจได้ " คำพูดทำร้ายคนได้มากกว่าที่เราคิด " จนบัดนี้ แผลในใจสมัยมัธยมต้นแม้จะจางลงเพราะๆเพื่อนกลุ่มใหม่มัธยมปลายดีต่อเขามากแล้วแต่เมื่อหวนกลับไปเขาก็ยังเสียใจเสมอ " แค่เขาไม่ชอบความคิดเรา เรายังยอมรับความคิดเขาเลยทำไมเขาไม่ลองคิดกลับกันดูบ้าง " นี่คือเสียงในหัวใจที่ยังร่ำร้องอยู่เสมอ
.
.
.
พ.ศ.2555 เด็กชายสอบเรียนต่อมัธยมปลายห้องพิเศษได้สำเร็จ เธอตอบแทนเขาด้วยทุกสิ่งที่เธอสามารถให้ได้แทนตัวเธอที่แทบไม่มีเวลาให้ลูกชายแต่เขาเข้าใจดี ทุกครั้งที่เขาได้เกรดดี เธอจะมักพาไปกินอาหารดีดีเสื้อผ้าสวยๆ ครั้งละหลาย พันจนถึงหมื่นบาท เมื่อเข้าสู่มัธยมปลายเธอตัดสินใจซื้อรถยนต์ให้ลูกชาย เพราะรอยแผลในใจที่สามีเธอจากไปเพราะรถจักรยานยนต์เธอไม่อยากให้ลูกชายของเธอต้องมีชะตากรรมเช่นเดียวกับเขา
.
.
.
กรกฎาคม 2557 เกิดอาการผิดปกติขึ้นกับหญิงสาวเธอเรียกลูกชายมาดูว่ามีเลือดไหลออกจาก หัวนม ข้างซ้ายมา 2 วันแล้ว แต่จับดูบริเวณเต้านมไม่พบก้อนเนื้อใดๆ เด็กชายตกใจมากเขารู้ดีว่ามันเกิดความผิดปกติอะไร แต่เขาบอกให้แม่ไปตรวจดีดีก่อนอาจเป็นโรคชนิดอื่นก็ได้ เธอตัดสินใจไปคลินิกเฉพาะทาง หมอทำการ ตรวจละเอียดและให้ติดตามผล ทุกๆ 3 เดือน
.
.
.
ตุลาคม 2557 หญิงสาววางใจไปนานแล้วเนื่องจากเลือดไม่ได้ไหลออกจากหัวนมของเธอแล้วแต่ปรากฎอาการกลับมาอีกครั้งเธอไปทำการตรวจอีกครั้งแต่ก็ไม่พบอะไร
.
.
.
5 ธันวาคม 2557 เด็กชายสอบเข้าเรียนแพทยศาสตร์ มหาลัยแห่งหนึ่งได้สำเร็จ เธอดีใจมาก เธอเริ่มวางแผนต้งแต่ คิดค่าใช้จ่าย ด้วยเงินจำนวน 7 หลักที่เธอได้วางแผนไว้เพื่อให้เด็กชายได้มีชีวิตสุขสบายในมหาลัย หรือแม้กระทั่ง จะซื้อรถคันใหม่ให้เขาทันทีที่เรียนจบครบ 6 ปี เธอดีใจมากและคิดว่านี่คือของขวัญที่วิเศษที่สุดที่พ่อของเด็กชายได้รับในวันพ่อถึงแม้เขาจะจากไปนานแล้วก็ตาม ทุกอย่างกำลังไปได้ดี
.
.
.
28 ธันวาคม 2557
เธอกลับมามีอาการเลือดออกอีกครั้ง ... แต่ครั้งนี้เธอไปโรงพยาบาล หมอให้เธอเข้าผ่าตัดทันที ไม่มีใครรู้ว่าทั้งวันเธอหายไปไหนเนื่องจากเธอผิดโทรศัพท์ หมอบอกให้เธอมาฟังผลในวันที่ 8
.
.
8 ธันวาคม 2557
เธอกลับไปโรงพยาบาล พร้อมลูกชายให้ไปฟังผลพร้อมกัน เธอให้ลูกชายไปทานขาวก่อน ก่อนที่จะไปหาเธอที่ล้างแผลเสร็จเวลาพอดี หลังจากเด็กชายทานข้าวเสร็จ เธอโทรศัพท์มาพอดีครั้งนี้เธอเสียงสั่นๆ ขณะคุยกับเขา เธอเดินไปพบเขาตรงศูนย์ตรวจมะเร็งพิเศษเต้านม ก่อนหมอเรียกเธอ เธอโทรศัพท์ไปคุยกับใครซักคน พร้อมพูด ว่า เธอ " เป็น " เด็กชายรู้ดีว่าคำพูดนี้แปลว่าอะไร น้ำตาของหญิงสาวที่เขาไม่ได้เห็นมาหลายปี ไหลออกมาก่อนที่เธอจะรีบเช็ด หมอเรียกให้ทั่งคู่เข้าไปฟังผลตรวจ ผลตรวจคือ เธอเป็นโรคมะเร็งในท่อน้ำนม ซึ่งเกิดจาก ไวรัส ... เป็นจุดเริ่ม ทำให้เซลล์บริเวณนั้นกลายเป็นเซลล์ ชื่อ DCIS ซึ่งเป็นเซลล์ขั้นต้นของมะเร็ง หมอไม่สามารถบอกได้ว่านอกจากท่อน้ำนมส่วนนี้ ล้วส่วนอื่นยังไงบ้าง หมอจึงเสนอทางเลือก ในการตรวจหาความผิดปกติส่วนอื่นๆ
        ท้ายที่สุดหนทางที่เธอเลือก คือตัดเต้านมทิ้งเพราะการวินิจฉัยด้วยวิธีอื่นๆที่หมอเสนอล้วนมีจุดด้อย
.
.
.
10 ธันวาคม 2557
หลังทานข้าวเธอถามเด็กชายว่าจะเป็นไรไหม๊ถ้าเกิดเธอตาย เด็กชายตอบว่าไม่เป็นไรแต่คงเสียใจ เธอบอกดีแล้ว เธอให้เขาหยิบสมุดประกันทั้งหมดที่เธอทำไว้พร้อมหารายละเอียด ค่าชดเชยที่เขาจะได้หากเธอเสียชีวิตลง แน่นอนเธอเป็นคนเด็ดเดี่ยวตั้งแต่ไหนแต่ไร นิสัยนี้ถ่ายทอดให้ลูกชายของเธออย่างไม่มีผิดเพี้ยน สิ่งที่ต้องกังวลหนะ คือคนที่ยังอยู่ไม่ใช่คนที่ตายไปแล้ว เด็กชายคิดอยู่เสมอ เพราะเขามีน้องอีก 2 คนที่เกิดจากพ่อใหม่ที่ต้องดูแล
.
.
.
เรื่องราวทั้งหมดเหมือนกับในนิทาน ประกันส่วนที่เธอซื้อเพิ่ม คุ้มครองโรคร้าย เธอพึ่งซื้อไปเพียง 2 เดือนก็เป็นโรคใรกรมธรรม์บอกว่าต้องครบ 120 วัน แต่ยังมีประกันส่วนอื่นๆที่เธอซื้อให้ความคุ้มครองเธอในเพียงจำนวนเงิน 6 หลัก เธอคิดว่าคงไม่พอแน่ เพราะการเก็บชิ้นเนื้อส่งตรวจครั้งแรก เงินที่ใช้ไปนั้น เหยียบ 6 หลักแล้วเสียด้วยซ้ำ
     เด็กชายเคยถามเธอว่า เราจะมีเงินจ่ายใช่ไหม๊ถ้ารักษาโดยเคมีบำบัด ทุกเดือนเดือนละเข็มเข็มละ 100000 บาท เธอบอกแน่นอนเรามี ด้วยทรัพย์สินบ้านและที่อยู่ มูลค่า 8 หลักที่เรามีอยู่ เรายังมีที่ดินอีก ยังไงก็ตามเด็กชายเสนอว่าหากค่าใช้จ่ายสูงถึง 8 หลัก เขายินดีขายบ้านหลังแรกที่เธอซื้อไว้ให้เขาเพื่อนำเงินมารักษาเธอ เธอปฏิเสธทันทีและบอกว่ายังไงก็ตามเธอจะไม่ขาย ไม่มีใครรู้หรอกว่าเด็กชายกังวลมากเพียงใด ครอบครัวถึงแม้จะมีเงินใช้จ่ายได้ซื้อของแบรนด์เนมได้ แต่ก็ไม่ได้รวยจนล้นฟ้า เขายังมีน้องค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนก็ร่วม 6 หลัก หากขาดแม่เขาไปซักคนพ่อเลี้ยงจะทำยังไง ธุรกิจจะไปได้ต่อไหม เพราะเดิมทีแม่ของเขาทำงานเก่งเขาจึงมีทุกวันนี้ได้
.
.
.
หมอนัดฟังผลอีกครั้ง 13 ธ.ค. 2557
หมอนัดฟังผลว่ามะเร็งที่เป็นอยู่ในระยะไหนแล้ว โชคยังคงเข้าข้างเธอและเด็กชาย ผลที่ได้ไม่น่าห่วงมากนัก แต่หมอนัด ตรวจ CT scan อีกครั้งในรุ่งเช้า
.
.
.
นี่คือเรื่องเล่าทั้งหมดครับ จากหัวกระทู้ ผมจะสรุปให้ฟัง เมื่อก่อนแม่ผมเคยบอกเป็นหมอขอให้เห็นปะโยชน์เพื่อผู้อื่น ผมก็คิดอย่างนั้นแต่ในใจก็ยังคงไม่รู้เป้าหมาย จนวันนี้ ค่าใช้จ่ายที่สูงลิบลิ่วในการรักษา ทำให้ผมรู้ว่าแล้วคนที่ไม่มีเงินหละเขาต้องทำยังไง เขาจะมีโอกาสรักษาไหม อีกทั้งระเร็งในท่อน้ำนม คนไทยยังรู้จักไม่มาก จนวันนี้แม่ก็ไม่มีก้อนเนื้อใดๆ ตลอดเวลาๆ แม่ทานผักมากไม่ทานของย่าง ไม่ทานเนื้อสัตว์เยอะ ของหมักดองไมเคยแตะ แต่ก็ยังเป็นจึงตัดสินใจแล้วว่า วันนี้ อยากเป็นหมอเฉพาะทางเกี่ยวกับมะเร็งเต้มนม อยากช่วยเหลือคนที่ไม่มีเงินให้ได้รักษาเท่าเทียม อยากให้มีชีวิตอยู่ต่อเพื่อคนที่รัก หนทางรักษาของแม่ยังอีกยาวไกล แต่ผมเชื่อว่าซักวันแม่ต้องกลับมาแข็งแรงอีกครั้ง

" บางทีฟ้าอาจลิขิต เหตุการณ์นี้เพื่อให้เรารู้ก็ได้ว่าเราควรเป็นหมอเพราะอะไร " ขอบคุณเพื่อนและแฟนคนในครอบครัวที่อยู่ข้างกันเสมอมา ขอบคุณมากครับ
.
.
.
สุดท้ายเรียนถามพี่หมอทุกท่านอยากต่อเฉพาะทางด้านมะเร็งเต้านมต้องเรียนที่ไหนยังไงบ้างครับ
.
.
ขอบคุณที่อ่านจนจบครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่