สอบถามเพื่อนผู้ชายในช่วงอายุ 20 ที่ต้องการแต่งงานมีครอบครัวให้ทันอายุ 30 ว่าเตรียมตัวไว้อย่างไรบ้าง

วันที่ 5 มกราคม 2558

เนื่องจากอีกไม่กี่วันผมก็จะอายุ 26 แล้วและแพลนไว้ว่าต้องไม่เกิน 30 ปีจึงเหลือเวลาอีกแค่ 4 ปีเท่านั้นซึ่งกระชั้นมาก พอไปคุยเรื่องนี้กับเพื่อนคนไหนก็มีแต่บอกมาว่าทำไมต้องรีบร้อนขนาดนี้ ฟะ คือก่อนหน้านี้ผมก็ไม่ได้คิดหรอก ไม่เคยสนใจหญิงเลยด้วยซ้ำ(ในแง่คบเป็นแฟนนะ) ตั้งแต่ประถมเรื่อยมาถึงมัธยม จนเข้ามหาลัยแล้วก็ยังหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องเพื่อน เรื่องเกมส จนอยู่มาวันนึงน่าจะเป็นช่วงปี 2 ไม่รู้ว่าเพราะสัญชาตญาณหรือนาฬิกาชีวภาพอะไรในตัวมันเกิดตีดังขึ้นมา เช้าวันนึงผมลืมตาตื่นขึ้นแล้วก็รู้สึกว่า เฮ้ย! อยากมีครอบครัวแล้วแฮะ

วันนั้นผมลบแทบทุกสิ่งที่ผู้ใหญ่เค้าว่าไร้สาระในคอมทิ้ง(แต่แน่หละมันก็ยังพอเหลือไว้ช่วยคลายเครียดบ้าง) เริ่มหาความรู้อื่นๆนอกห้องเรียน เอาหนังสือในลังของป๊าที่เก็บไว้จนฝุ่นเขรอะมาไล่อ่าน ส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับหน้าที่การงาน การใช้ชีวิต และจิตวิทยา ซึ่งมีอยู่เป็นร้อยๆเล่มเพราะป๊าผมจบแค่ ป.4 แต่ก็ขยันเรียนรู้ทำมาหากินจนมีเงินหลักล้านมาแต่งกับแม่ ซื้อบ้าน และเปิดบริษัทได้ตั้งแต่อายุสามสิบต้นๆ ซึ่งเป็นเรื่องหนึ่งที่กดดันผมมาตลอดเหมือนกัน

ดังนั้นเรื่องแรกเลยที่ผมให้ความสำคัญก็คือเรื่องเงิน
โดยตอนนี้ผมมีรายได้อยู่ 3 ทางก็คือ 1.จากบริษัทที่บ้านอันนี้ไม่ได้เป็นตัวเงินแต่เป็นที่อยู่ที่กินฟรี 2.จากการลงทุนซึ่งเอาไว้เป็นค่าใช้จ่ายหลัก 3.มาจากการขายสินค้าออนไลนซึ่งตอนแรกก็ไม่คาดหวังอะไรมากแต่เดือนล่าสุดมันได้เฉียดครึ่งแสนละหลังจากทำมาปีนึงซึ่งน่าจะต่อยอดได้
ส่วนรายจ่ายเฉลี่ยทั้งปีที่ผ่านมาตกเดือนละไม่ถึงหมื่น หรือตอนไปทำงานข้างนอกแถวสีลมแถวสาทรมาสองปีก็อยู่ที่หมื่นกว่าๆ(ไม่นับเบี้ยประกันต่างๆ) เพราะผมอยู่ง่ายกินง่าย และพวกสินค้าแฟชั่นแบรนเนมผมรู้จักน้อยมากๆหรือที่รู้จักก็ไม่รู้ว่ามันดียังไง เผลอทำลายความภาคภูมิใจของใครต่อใครไปพอสมควรเหมือนกัน ยกเว้นอุปกรณอิเล็กทรอนิกกับสิ่งจำเป็นในการใช้ชีวิตซึ่งถูกฝังหัวมาตั้งแต่เด็กๆเลยว่าห้ามซื้อของถูก และห้ามเป็นหนี้

เรื่องที่สองคือเรื่องสุขภาพ
"อโรคยา ปรมาลาภา" เป็นสัจธรรมจริงๆนะ และตอนนี้ผมกำลังเพาะกายอยู่เนื่องจากมันได้รูปร่างและความแข็งแกร่งของร่างกายรวมถึงจิตใจด้วย เรื่องอาหารการกินก็ถูกบังคับไปในตัวอยู่แล้ว ส่วนเหล้านั้นดื่มเฉพาะเวลามีงานเลี้ยงซึ่งจัดปีละไม่กี่ครั้งเคยหนักสุดแค่มึนๆ ส่วนบุหรี่หรืออะไรที่แรงกว่านั้นไม่เคยแตะต้องครับ ใช่ว่าผมจะอิโนเซ้นกับของพวกนั้นนะ ส่วนตัวผมคิดว่าได้ใกล้ชิดมันมากกว่าคนส่วนใหญ่ในโลกนี้ซะอีก เพราะบ้านผมมีคนงานและบางส่วนนั้นก็ยุ่งเกี่ยวกับของพวกนั้นไม่ว่าจะเสพหรือขายโดยที่เราก็เอะใจล่ะเพราะอาการมันออก แต่ไม่เคยมีหลักฐานจนเวลาของพวกเค้ามาถึงเอง ก็มีไปโดนทำร้ายมั่ง ติดคุกมั่ง ครอบครัวแตกแยก มีแต่เรื่องแย่ๆ จนผมสาบานกับตัวเองว่าจะไม่ยอมให้ชีวิตตัวเองเป็นแบบนั้นเด็ดขาด ส่วนคนงานที่ดีๆขยันทำงานรักครอบครัวจนมีเงินเก็บซื้อรถออกไปรับจ้างเปิดร้านของตัวเองได้ก็มีเหมือนกันซึ่งน่าชื่นชมมาก และผมถือว่าเค้าเหนือกว่าผมอีกเพราะต้นทุนเค้าแทบไม่มีเลย

เรื่องที่สามคือการจัดสรรเวลา
ผมขีดเส้นเอาไว้ว่าต้องนอนวันละ 6 ชม. ออกกำลัง 1 ชม. พักผ่อน 2 ชม. ที่เหลืออีก 15 ชม. คือทำสิ่งที่จำเป็นต้องทำหรือเกิดประโยชน์ไม่ว่าด้านส่วนตัว หรือสังคม(ที่ผมกำลังพิมนี้ก็ใช้เวลาในส่วนของพักผ่อนอยู่) ส่วนจะตอนกี่โมงก็ต้องมาเซ็ตตามความเหมาะสม หรือจำเป็นจริงๆมันก็ต้องยืดหดบ้างละ แรกๆมันก็ไม่ง่ายเลยแต่พอทำไปเรื่อยๆมันก็กลายเป็นนิสัยไปเอง ซึ่งผมก็ใช้เวลาอยู่เป็นปีนะและตอนนี้กำลังหาทางไม่ให้วินัยนี้หายไปอยู่ ไม่งั้นคงเสียดายแย่

เรื่องที่สี่คือสังคม
"You are what you eat" และผู้คนที่เรา meet ก็ส่งผลเช่นเดียวกัน คงเป็นความโชคดีที่ผมได้อยู่ในสังคมเด็กเรียนมาโดยตลอด ที่ติดโอลิมปิควิชาการไปก็มี ซึ่งคนเหล่านี้มีความคิดความอ่านที่บางครั้งผมก็คิดไปไม่ถึงหรือคิดไม่ทัน ผมเลยชอบอยู่กับคนที่เก่งกว่ามันช่วยผลักดันอะไรหลายๆอย่างในตัวเรา และโดยธรรมชาติคนกลุ่มนี้จะไม่ทำอะไรให้ตัวเองดร็อปลงไปอยู่แล้วซ้ำยังพยามพัฒนาตัวเองขึ้นไป นอกจากในการเรียนปกติก็ยังมีหลายค่ายหลายโครงการที่ผมเคยเข้าและจะเข้าต่อไปไม่ว่าจะเป็นแนวบริหารธุรกิจ หรือพัฒนาอะไรก็แล้วแต่ เพราะเวลามาอยู่กับคนที่มีความสนใจคล้ายๆกันมันก็ทำให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้น เหมือนโลกนี้น่าอยู่ขึ้น

เรื่องที่ห้าคือครอบครัว
ผมยังกังวลครอบครัวใหม่ที่ตั้งใจจะสร้างขึ้นมา ตั้งแต่เรื่องบ้านซึ่งทำเลดีๆตามแนว BTS สุขุมวิทในตอนนี้ราคาไม่มีต่ำกว่า 5 แล้ว และยังต้องนึกถึงสภาพแวดล้อมของชุมชนนั้นอีกว่าเอื้ออำนวยให้กับคนที่เรารัก หรือลูกเราให้เติบโตมาเป็นผู้ใหญ่ที่ดีได้มั้ย ส่วนเรื่องขนบธรรมเนียมปฏิบัติว่าต้องจัดอะไรบ้างผมเตรียมไว้ย่อยๆหลายแผนนะตั้งแต่ความเป็นไปได้มากที่สุดจนต่ำที่สุด แต่อย่างน้อยที่สุดต้องมีบ้านเป็นเรือนหอล่ะ และเท่าที่ผมรู้มาผู้หญิงทุกคนล้วนมีความฝันว่าครั้งนึงในชีวิตจะต้องมีผู้ชายมาคุกเข่าขอเธอแต่งงาน ในฐานะที่เกิดมาเป็นลูกผู้ชายคนนึงก็อยากทำให้ความฝันของผู้หญิงสักคนเป็นความจริงเหมือนกันไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็ตาม เพราะเวลาเรารักใครเราจะพยามทำทุกอย่างให้เค้ามีความสุขเพราะนั่นจะทำให้เรามีความสุขไปด้วย ส่วนการเลี้ยงลูกก็ต้องดูตอนนั้นอีกทีแต่ที่แน่ๆลูกผมต้องได้รับโอกาสที่ไม่น้อยไปกว่าผม ยิ่งเรื่องสถานศึกษาอันดับต้นๆอย่างโรงเรียนสาธิตต่างๆตอนนี้รู้มาว่าต้องสมัครกันข้ามปีเลยทีเดียว

เรื่องที่หกคือคู่ครอง
ผมคิดถึงเรื่องนี้ท้ายสุดเลยเพราะผมนึกเปรียบเทียบกับการปลูกต้นไม้ว่า หากจะปลูกต้นอะไรอย่างน้อยที่สุดเราก็ควรเตรียมดินเอาไว้ให้ดีซะก่อนที่ไม่ว่าเมล็ดอะไรบังเอิญตกลงมาก็ต้องสามารถงอกงามได้ ผมเคยคุยเรื่องคู่ชีวิตกับเพื่อนๆหลายคน ต่างก็บอกทำนองว่ายังไงก็ต้องไม่ทำให้ชีวิตเค้าแย่ลงไปกว่าระดับที่เป็นอยู่ และเค้าก็ต้องไม่ทำให้ชีวิตเราแย่ลงไปด้วย หรือดีที่สุดคือต่างคนต่างส่งเสริมกันและกัน คือมีศรัทธา ศีล จาคะ และปัญญาเสมอกัน แต่พอเอาเข้าจริงก็มีไม่ครบหรอกเพราะความรักมันเลือกได้ที่ไหนล่ะ ผมเลือกคนที่ดูแล้วมีโพเทนเชียลสูงๆและคุยกันรู้เรื่องก็พอโดยสี่ปีที่ผ่านมาผมได้คุยจริงๆจังๆมาแล้วสี่คน(ปีละคนนะ) แต่ก็ไปได้ไกลที่สุดแค่เดินจับมือกัน เมื่อรู้แล้วว่าหนทางข้างหน้าของเรามันคนละเส้น การปล่อยมือนั้นไปคงจะดีที่สุด ความรักมันไม่เคยได้ดั่งใจจริงๆ อ้อ ผมไม่เคยบอกเรื่องแผนการต่างๆที่ผมเตรียมไว้เลยนะ เพื่อทดสอบว่าจะสามารถทำให้ผู้หญิงที่ผมคุยด้วยนั้นยอมรับ และรักในตัวผมจริงๆไม่ใช่มาคาดหวังในสิ่งที่จะทำให้เธอ ไหนๆผมก็ขอเดิมพันด้วยเวลาชีวิตที่เหลือทั้งหมดแล้ว ส่วนสเปกที่ฟิกเอาไว้สกรีนขั้นต้นที่หากรู้ว่าไม่มีจะไม่สานต่อเลยคือต้องอายุน้อยกว่าด้วยเหตุผลด้านวุฒิภาวะ และต้องขาวอันนี้อาจดูไร้สาระ แต่มันช่วยลดปมด้อยในใจผมที่เกิดมาคล้ำอยู่คนเดียวในตระกูล หากเชื้อสายจีนด้วยยิ่งดีเพราะผู้ใหญ่จะได้คุยกันรู้เรื่อง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่