(เรื่องเก่าสำนวนเดิม เรื่องนี้ครบสิบห้าปีแล้วครับ เอามาวางคลายคิดถึง)
สร้อยสน
กุหลาบโรยกลิ่นหอมเย็น ฟุ้งกรุ่นกำจายทั่วบริเวณ บางกลีบปลิวลมมาเคลียแขน กลิ่นกลีบอ่อนบางซ่านเข้าไปถึงในใจของชายหนุ่ม ผู้ห่างสัมผัสอันหอมหวานมานานนัก
เขามาที่ส่วนสวนกุหลาบนี่เป็นประจำ เพราะนอกจากสีและกลิ่นอันพึงใจแล้ว เขายังจะได้มีโอกาสได้ทอดตามองอีกคนที่เขาเฝ้ามองมาตลอด
สวนสาธารณะแห่งนี้มีทั้งกลุ่มไม้ดอก ไม้ใบ ไม้โชว์กิ่ง และไม้ให้ร่ม ปลูกร่วมและสลับกลุ่มกันได้จังหวะจนน่านั่งไปเสียทุกมุม จากตรงซุ้มกุหลาบข้ามลานหญ้าไปก็เป็นส่วนของสวนสนหลากพันธุ์ ไม่ไกลเกินกว่าที่สายตาของชายหนุ่มจะจับจ้องไปยังหญิงสาว ซึ่งก็มานั่งอยู่ที่ม้านั่งใต้เงาสนนั่นเป็นประจำเช่นกัน
ลมกรรโชกแรงขึ้นจนกุหลาบเหลืองโรย ต้องปลิดกลีบทิ้งเกสรไปทั้งดอก เช่นเดียวกับเพื่อนต่างสีที่พากันสลัดก้านปล่อยให้ละอองเรณูปลิวลมตลบจนเขาต้องหลับตาหลบพิษแห่งความหอมของราชินีดอกไม้ พลางรีบปิดสมุดบันทึกในมือด้วยเกรงว่าความรักความหลังจะปลิวไปไกลจนเกินเก็บคืน
สิ่งหนึ่งสัมผัสแขนแกร่งด้วยความแผ่วเบาแล้วพาดไพล่อยู่ที่หน้าตัก เมื่อลืมตาก็เห็นว่าเป็นแพรโปร่งบาง สอดดิ้นทองงามระยับราวกับเครื่องประดับมากกว่าเป็นแค่ผ้าคลุมผม เขามองกลับไปยังเจ้าของ ซึ่งนั่งอยู่ใต้หมู่สนฝั่งโน้น ลมเอยช่างเป็นใจให้ช้ำ พัดยอกย้อนจนมีเหตุเป็นอันต้องสบสายตากันจนได้
เธอนั่งนิ่งราวไร้ความรู้สึกใด เพียงสายตาที่มองเท่านั้นเขาก็จำต้องมาส่งแพรบางคืนให้ถึงมือ ทั้งที่อยากจะแอบซ่อนเก็บมันไว้จะแย่
"ขอบคุณค่ะ....อยู่คุยเป็นเพื่อนกันก่อนก็ได้นะคะ...ฉันเห็นคุณมานานแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสได้ทักทายกันเลย....มาที่นี่เป็นประจำเหมือนกันนะคะ....ท่าทางจะชอบกุหลาบมาก เห็นมาทีไรก็ตรงไปอยู่ในสวนกุหลาบนั่นตลอดเลย"
ตลอดเวลาของการเปิดบทสนทนาอันยาวนาน เขาได้แต่เพียงมองลึกลงไปในแววตาใสหมดจดของเธอ
พยายามมองให้ลึกไปถึงข้างใน จนไม่แน่ใจว่าเขาไม่เห็นอะไรหรือในนั้นไม่มีอะไรกันแน่ จึงพยายามมองหาทุกซอกมุมที่พอมี ทว่าทุกส่วนคงยังว่างเปล่า และลืมไปว่าปล่อยให้ฝ่ายที่เพิ่งกล่าวขอบคุณ พูดอยู่คนเดียวมาหลายคำ
"อ้อ...ครับ....ผมชอบกลิ่นกุหลาบน่ะครับ....มันหอมเย็นชื่นจนช่วยให้ผ่อนคลายและสบายใจขึ้นมาก..." เขายิ้มให้ทั้งหน้าเมื่อเธอยิ้มตอบกลับมาอย่างเต็มใจ
"นิลค่ะ...ดาวนิล....ยินดีที่ได้ทักกันเสียทีนะคะ" เธอชิงแนะนำตัวเองเสียก่อน จนเขาไม่ทันคิดอะไรได้มากไปกว่า แนะนำตนเองตอบไปโดยอัตโนมัติ
"ชื่อกานต์ ที่แปลว่าที่รักหรือเปล่าคะ...แหมชื่อยังกับพระเอกนิยายรายสัปดาห์" เธอหยอกอย่างเป็นกันเองได้เร็วเกินไปด้วยซ้ำ "แต่ว่าชื่อคุณนี่คุ้นหูจังค่ะ.....แต่จำไม่ได้เสียแล้วหละค่ะว่าเคยมีใครที่รู้จักมาก่อนมีชื่อนี้" เธอเอื้อมมือมาแตะเบาๆ ที่ต้นแขน ท่าทีแสดงความขอโทษทั้งที่ยังมิได้ทำผิดกิริยาอันใดเลย
"ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณนิล.....ทำไมมานั่งตรงนี้คนเดียวตลอดเลยเล่าครับ" เขาพลาดไปโดยไม่ทันสะกิดใจ
"เอ๊ะ...คุณกานต์แอบมองนิลอยู่ตลอดเลยหรือคะ" เธอยังคงอารมณ์แจ่มใส
"ขอโทษครับที่เสียมารยาท....ผมหมายความว่า...เอ่อ..." คนที่เฝ้ามองมาตลอดจึงได้แต่ตะกุกตะกักอยู่แค่นั้น
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ...ก็จริงนี่คะ....นิลมานั่งที่นี่คนเดียวตลอดมา....มานั่งรื้อฟื้นความทรงจำเก่าๆ น่ะค่ะ"
เพียงแค่นั้นทั้งคู่ก็นิ่งงันจมอยู่กับความคิด ความรัก ความหลังของแต่ละฝ่าย กานต์ยังจำเธอที่รักของตนได้ตลอดมา ทั้งยังย้ำกับใจว่ายังรักเธอมั่นเสมอ สิ่งใดที่เธอจะได้มีความสุขกับชีวิตเขาก็จะยินดีหามาพลีให้ ได้แม้แต่ชีวิตตัวเอง
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร เพราะอาการกรีดปลายนิ้วค่อยสานสิ่งหนึ่งอยู่นั้นดูเป็นไปตามความเคยชินมากกว่าจะตั้งใจ
"สร้อยสน....สวยจริงครับคุณนิล" เขาเอ่ยปากทักสิ่งที่อยู่ในมือเรียวละมุน ทำลายความเงียบและห้วงคำนึงของหญิงสาวตรงหน้า
"ค่ะ...สร้อยสน...ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าฉันชอบร้อยมันตั้งแต่เมื่อไหร่...รู้แต่เพียงว่า...ฉัน...เคยร้อยมันด้วยหัวใจทั้งดวง และด้วยสร้อยสนนี่แหละค่ะที่ร้อยหัวใจอีกดวงของคนที่ฉันรักเอาไว้"
เธอสลดลงเล็กน้อย คล้ายดอกไม้งามต้องแสงแรงร้อนของแดดบ่าย
"น่าอิจฉาความรู้สึกดีๆ ของคุณนะครับ" เขาจะเอ่ยอันใดได้มากกว่านี้อีกเล่า
"อย่าเลยค่ะ....สิ่งใดที่ทำให้เรารู้สึกดีมากๆ หากวันใดมันห่างหาย หรือว่าเราเผลอลืมเลือนไป แต่แล้ววันหนึ่งเรากลับห่วงหาหรือจดจำมันได้ขึ้นมา ความรู้สึกดีมากๆ นั้นจะกลับมาทำร้ายความเป็นตัวของตัวเราได้รุนแรงพอๆ กัน โดยเฉพาะความรู้สึกที่เรียกว่า รัก"
ดาวนิลไม่ได้หยุดมือจากการถักร้อยเส้นใบสนในมือ เขาสังเกตเห็นว่า มือนั้นสั่นเล็กน้อย แล้วปลายเล็บบางก็เผลอจิกให้สายใบสนขาดจากกัน
"อุ๊ย....ขาดเสียแล้ว....ตั้งใจว่าจะร้อยให้คุณกานต์ในฐานะคนที่จะเป็นมิตรที่ดีต่อกันในโอกาสต่อไป....เดี๋ยวจะร้อยให้ใหม่นะคะ" คนพูดรวบกำเศษเส้นแหลกสลายไว้ในมือ ราวกับว่าอยากจะหลอมมันด้วยกระไอร้อนแห่งชีวิตให้มันได้หวนคืนดังเก่ากระนั้น
เขาแอบหวังว่า แม้สร้อยสนเส้นขาดนั้นก็เพียงพอแล้วกับตน ทว่าเธอกลับโปรยมันลงรวมกับเศษก้านใบแห้งแข็งตรงหน้า สุดที่เขาจะเอ่ยอะไรออกมาได้ จึงเพียงแต่เพียงเอื้อมหยิบมันขึ้นมาพินิจดูอีกครั้ง
"น่าเสียดาย...ไม่น่าเชื่อว่าเส้นใบสนแข็งๆ เป็นข้อเล็กๆ นี่จะเอามาร้อยเป็นอะไรแบบนี้ก็ได้นะครับ" ชายหนุ่มแสดงความเห็นราวกับตนไม่เคยเห็นความละเอียดอ่อนเช่นนี้มาก่อน
"ไม่ต้องเสียดายหรอกค่ะ....ฉันร้อยมันได้แค่ลายนี้ลายเดียวเท่านั้น ลายเดียวที่ฉันจำได้...จะด้วยสิ่งใดก็แล้วแต่ เส้นใหม่นี่ก็ไม่เคยด้อยกว่าเส้นเก่าเลยค่ะ แม้ว่ามันจะไม่เคยสวยงามกว่าก็ตาม"
ความเงียบมาเยือนคนทั้งสองอีกคราว ภาพความหลังมีแรงมหาศาลในการดึงให้ทั้งคู่กลับไปจมอยู่กับอดีตอีกครั้ง ภาพของหญิงสาวที่เขาเฝ้ามองมานานกลายเป็นเพียงฉากหนึ่งของชีวิตที่ผัดผ่านความรานร้าวร้ายมาหนักหนาสาหัส อาจจะเช่นกันกับสร้อยสนเส้นใหม่ในมืองาม ที่เจ้าตัวดูจะตั้งใจจับจ้องและระมัดระวังไม่ได้มันขาดจากกันเหมือนอย่างเส้นก่อนหน้า
หมู่นกทยอยกลับรังที่กลุ่มไม้ใบหนา ถัดสวนกุหลาบไปอีกด้าน ลมแรงพัดหวนย้อนกลับมาจากทางนั้น จนกลิ่นหอมอ่อนกำจายผ่าน เธอยืดตัวขึ้นตรงสูดหายใจยาวขณะมองไปยังซุ้มกุหลาบนั่น เขามองตามนิดหนึ่งก่อนจะกลับมามองตาเธอ นัยตารื้นน้ำฉ่ำชื่นยังคงไม่มีอันใดเคลือบแฝงเช่นเคย
"หากยังรักยังคิดถึง ทำไมไม่กลับไปหาสิ่งที่เรารัก เราคิดถึงล่ะครับ" เขาไม่รู้เลยว่า ข้อความที่กล่าวออกมานี้จะกรีดแทงเข้าไปถึงส่วนไหนของหัวใจเธอ หญิงสาวจึงหลั่งน้ำตาพราวอันแม้จะซ่อนไว้ด้วยการก้มหน้า หากหยดน้ำใสยังหยาดลงมิได้หยุด
"คุณครับ...คุณ...คุณนิล....เป็นอะไรไปครับ...ผมขอโทษ...ขอโทษนะครับหากว่าพูดอะไรผิดไป"
อีกเป็นนานกว่าอีกฝ่ายจะข่มน้ำตาน้ำใจของตนให้กลับมาดำรงสติกับปัจจุบันได้"ดูสิ ขาดอีกจนได้ คุณกานต์คะ ฉันตั้งใจจะร้อยมันให้กับคุณจริงๆ รออีกครู่นะคะ" เธอยังถอนสะอื้น จนถ้อยคำขาดเป็นห้วงๆ
"วันหน้าก็ได้ครับ.......ผมต้องขอโทษจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณรู้สึกไม่ดีขนาดนี้เลย"
เพราะแดดอ่อนเริ่มปรับสีฟ้าเป็นชมพูหม่นซีดและหมอง แมลงกลางคืนเริ่มระงมขานทักทายยามอาทิตย์ย่ำยอแสง กลิ่นกุหลาบจางเริ่มถูกแทนด้วยดอกไม้กลางคืน ซ่อนกลิ่นคละกลิ่นมากับราตรีและวาสนา ทั้งนั้นหอมฉุนรุนแรงชวนวิงเวียนมากกว่าจะสดชื่น
"ผมว่าผมคงต้องกลับก่อนแล้วหละครับ...
เขาบอกอย่างเกรงใจเธอเต็มที่ กระไรเลยกับความเป็นสุภาพบุรุษซึ่งต้องยกไปไว้เสียอีกทางหนึ่งก่อน
"...คุณ ก็ควรจะกลับได้แล้วนะครับ....ถ้า...หากว่า ผมต้องเป็นเหตุให้คุณรู้สึกเศร้าหรือเสียใจ ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรก็ตาม.....ผม.....ผม......ก็ ก็ควร จะต้องไปจากตรงนี้เสียที......"
"ได้โปรดเถิดค่ะ...โปรดอยู่เป็นเพื่อนฉันอีกสักครู่ อีกครู่เดียวเท่านั้น เมื่อ ..... เมื่อตะวันลับฟ้าเราค่อยไปจากตรงนี้พร้อมๆ กัน" เสียงของหญิงสาววิงวอนจากส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจเพียงในประโยคแรก แล้วความเลื่อนลอยก็กลับมาประทับตรงที่เดิมของมันอีกครั้ง
(ต่อ)
สร้อยสน
สร้อยสน
กุหลาบโรยกลิ่นหอมเย็น ฟุ้งกรุ่นกำจายทั่วบริเวณ บางกลีบปลิวลมมาเคลียแขน กลิ่นกลีบอ่อนบางซ่านเข้าไปถึงในใจของชายหนุ่ม ผู้ห่างสัมผัสอันหอมหวานมานานนัก
เขามาที่ส่วนสวนกุหลาบนี่เป็นประจำ เพราะนอกจากสีและกลิ่นอันพึงใจแล้ว เขายังจะได้มีโอกาสได้ทอดตามองอีกคนที่เขาเฝ้ามองมาตลอด
สวนสาธารณะแห่งนี้มีทั้งกลุ่มไม้ดอก ไม้ใบ ไม้โชว์กิ่ง และไม้ให้ร่ม ปลูกร่วมและสลับกลุ่มกันได้จังหวะจนน่านั่งไปเสียทุกมุม จากตรงซุ้มกุหลาบข้ามลานหญ้าไปก็เป็นส่วนของสวนสนหลากพันธุ์ ไม่ไกลเกินกว่าที่สายตาของชายหนุ่มจะจับจ้องไปยังหญิงสาว ซึ่งก็มานั่งอยู่ที่ม้านั่งใต้เงาสนนั่นเป็นประจำเช่นกัน
ลมกรรโชกแรงขึ้นจนกุหลาบเหลืองโรย ต้องปลิดกลีบทิ้งเกสรไปทั้งดอก เช่นเดียวกับเพื่อนต่างสีที่พากันสลัดก้านปล่อยให้ละอองเรณูปลิวลมตลบจนเขาต้องหลับตาหลบพิษแห่งความหอมของราชินีดอกไม้ พลางรีบปิดสมุดบันทึกในมือด้วยเกรงว่าความรักความหลังจะปลิวไปไกลจนเกินเก็บคืน
สิ่งหนึ่งสัมผัสแขนแกร่งด้วยความแผ่วเบาแล้วพาดไพล่อยู่ที่หน้าตัก เมื่อลืมตาก็เห็นว่าเป็นแพรโปร่งบาง สอดดิ้นทองงามระยับราวกับเครื่องประดับมากกว่าเป็นแค่ผ้าคลุมผม เขามองกลับไปยังเจ้าของ ซึ่งนั่งอยู่ใต้หมู่สนฝั่งโน้น ลมเอยช่างเป็นใจให้ช้ำ พัดยอกย้อนจนมีเหตุเป็นอันต้องสบสายตากันจนได้
เธอนั่งนิ่งราวไร้ความรู้สึกใด เพียงสายตาที่มองเท่านั้นเขาก็จำต้องมาส่งแพรบางคืนให้ถึงมือ ทั้งที่อยากจะแอบซ่อนเก็บมันไว้จะแย่
"ขอบคุณค่ะ....อยู่คุยเป็นเพื่อนกันก่อนก็ได้นะคะ...ฉันเห็นคุณมานานแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาสได้ทักทายกันเลย....มาที่นี่เป็นประจำเหมือนกันนะคะ....ท่าทางจะชอบกุหลาบมาก เห็นมาทีไรก็ตรงไปอยู่ในสวนกุหลาบนั่นตลอดเลย"
ตลอดเวลาของการเปิดบทสนทนาอันยาวนาน เขาได้แต่เพียงมองลึกลงไปในแววตาใสหมดจดของเธอ
พยายามมองให้ลึกไปถึงข้างใน จนไม่แน่ใจว่าเขาไม่เห็นอะไรหรือในนั้นไม่มีอะไรกันแน่ จึงพยายามมองหาทุกซอกมุมที่พอมี ทว่าทุกส่วนคงยังว่างเปล่า และลืมไปว่าปล่อยให้ฝ่ายที่เพิ่งกล่าวขอบคุณ พูดอยู่คนเดียวมาหลายคำ
"อ้อ...ครับ....ผมชอบกลิ่นกุหลาบน่ะครับ....มันหอมเย็นชื่นจนช่วยให้ผ่อนคลายและสบายใจขึ้นมาก..." เขายิ้มให้ทั้งหน้าเมื่อเธอยิ้มตอบกลับมาอย่างเต็มใจ
"นิลค่ะ...ดาวนิล....ยินดีที่ได้ทักกันเสียทีนะคะ" เธอชิงแนะนำตัวเองเสียก่อน จนเขาไม่ทันคิดอะไรได้มากไปกว่า แนะนำตนเองตอบไปโดยอัตโนมัติ
"ชื่อกานต์ ที่แปลว่าที่รักหรือเปล่าคะ...แหมชื่อยังกับพระเอกนิยายรายสัปดาห์" เธอหยอกอย่างเป็นกันเองได้เร็วเกินไปด้วยซ้ำ "แต่ว่าชื่อคุณนี่คุ้นหูจังค่ะ.....แต่จำไม่ได้เสียแล้วหละค่ะว่าเคยมีใครที่รู้จักมาก่อนมีชื่อนี้" เธอเอื้อมมือมาแตะเบาๆ ที่ต้นแขน ท่าทีแสดงความขอโทษทั้งที่ยังมิได้ทำผิดกิริยาอันใดเลย
"ยินดีที่ได้รู้จักครับคุณนิล.....ทำไมมานั่งตรงนี้คนเดียวตลอดเลยเล่าครับ" เขาพลาดไปโดยไม่ทันสะกิดใจ
"เอ๊ะ...คุณกานต์แอบมองนิลอยู่ตลอดเลยหรือคะ" เธอยังคงอารมณ์แจ่มใส
"ขอโทษครับที่เสียมารยาท....ผมหมายความว่า...เอ่อ..." คนที่เฝ้ามองมาตลอดจึงได้แต่ตะกุกตะกักอยู่แค่นั้น
"ไม่เป็นไรหรอกค่ะ...ก็จริงนี่คะ....นิลมานั่งที่นี่คนเดียวตลอดมา....มานั่งรื้อฟื้นความทรงจำเก่าๆ น่ะค่ะ"
เพียงแค่นั้นทั้งคู่ก็นิ่งงันจมอยู่กับความคิด ความรัก ความหลังของแต่ละฝ่าย กานต์ยังจำเธอที่รักของตนได้ตลอดมา ทั้งยังย้ำกับใจว่ายังรักเธอมั่นเสมอ สิ่งใดที่เธอจะได้มีความสุขกับชีวิตเขาก็จะยินดีหามาพลีให้ ได้แม้แต่ชีวิตตัวเอง
ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร เพราะอาการกรีดปลายนิ้วค่อยสานสิ่งหนึ่งอยู่นั้นดูเป็นไปตามความเคยชินมากกว่าจะตั้งใจ
"สร้อยสน....สวยจริงครับคุณนิล" เขาเอ่ยปากทักสิ่งที่อยู่ในมือเรียวละมุน ทำลายความเงียบและห้วงคำนึงของหญิงสาวตรงหน้า
"ค่ะ...สร้อยสน...ไม่รู้เหมือนกันค่ะว่าฉันชอบร้อยมันตั้งแต่เมื่อไหร่...รู้แต่เพียงว่า...ฉัน...เคยร้อยมันด้วยหัวใจทั้งดวง และด้วยสร้อยสนนี่แหละค่ะที่ร้อยหัวใจอีกดวงของคนที่ฉันรักเอาไว้"
เธอสลดลงเล็กน้อย คล้ายดอกไม้งามต้องแสงแรงร้อนของแดดบ่าย
"น่าอิจฉาความรู้สึกดีๆ ของคุณนะครับ" เขาจะเอ่ยอันใดได้มากกว่านี้อีกเล่า
"อย่าเลยค่ะ....สิ่งใดที่ทำให้เรารู้สึกดีมากๆ หากวันใดมันห่างหาย หรือว่าเราเผลอลืมเลือนไป แต่แล้ววันหนึ่งเรากลับห่วงหาหรือจดจำมันได้ขึ้นมา ความรู้สึกดีมากๆ นั้นจะกลับมาทำร้ายความเป็นตัวของตัวเราได้รุนแรงพอๆ กัน โดยเฉพาะความรู้สึกที่เรียกว่า รัก"
ดาวนิลไม่ได้หยุดมือจากการถักร้อยเส้นใบสนในมือ เขาสังเกตเห็นว่า มือนั้นสั่นเล็กน้อย แล้วปลายเล็บบางก็เผลอจิกให้สายใบสนขาดจากกัน
"อุ๊ย....ขาดเสียแล้ว....ตั้งใจว่าจะร้อยให้คุณกานต์ในฐานะคนที่จะเป็นมิตรที่ดีต่อกันในโอกาสต่อไป....เดี๋ยวจะร้อยให้ใหม่นะคะ" คนพูดรวบกำเศษเส้นแหลกสลายไว้ในมือ ราวกับว่าอยากจะหลอมมันด้วยกระไอร้อนแห่งชีวิตให้มันได้หวนคืนดังเก่ากระนั้น
เขาแอบหวังว่า แม้สร้อยสนเส้นขาดนั้นก็เพียงพอแล้วกับตน ทว่าเธอกลับโปรยมันลงรวมกับเศษก้านใบแห้งแข็งตรงหน้า สุดที่เขาจะเอ่ยอะไรออกมาได้ จึงเพียงแต่เพียงเอื้อมหยิบมันขึ้นมาพินิจดูอีกครั้ง
"น่าเสียดาย...ไม่น่าเชื่อว่าเส้นใบสนแข็งๆ เป็นข้อเล็กๆ นี่จะเอามาร้อยเป็นอะไรแบบนี้ก็ได้นะครับ" ชายหนุ่มแสดงความเห็นราวกับตนไม่เคยเห็นความละเอียดอ่อนเช่นนี้มาก่อน
"ไม่ต้องเสียดายหรอกค่ะ....ฉันร้อยมันได้แค่ลายนี้ลายเดียวเท่านั้น ลายเดียวที่ฉันจำได้...จะด้วยสิ่งใดก็แล้วแต่ เส้นใหม่นี่ก็ไม่เคยด้อยกว่าเส้นเก่าเลยค่ะ แม้ว่ามันจะไม่เคยสวยงามกว่าก็ตาม"
ความเงียบมาเยือนคนทั้งสองอีกคราว ภาพความหลังมีแรงมหาศาลในการดึงให้ทั้งคู่กลับไปจมอยู่กับอดีตอีกครั้ง ภาพของหญิงสาวที่เขาเฝ้ามองมานานกลายเป็นเพียงฉากหนึ่งของชีวิตที่ผัดผ่านความรานร้าวร้ายมาหนักหนาสาหัส อาจจะเช่นกันกับสร้อยสนเส้นใหม่ในมืองาม ที่เจ้าตัวดูจะตั้งใจจับจ้องและระมัดระวังไม่ได้มันขาดจากกันเหมือนอย่างเส้นก่อนหน้า
หมู่นกทยอยกลับรังที่กลุ่มไม้ใบหนา ถัดสวนกุหลาบไปอีกด้าน ลมแรงพัดหวนย้อนกลับมาจากทางนั้น จนกลิ่นหอมอ่อนกำจายผ่าน เธอยืดตัวขึ้นตรงสูดหายใจยาวขณะมองไปยังซุ้มกุหลาบนั่น เขามองตามนิดหนึ่งก่อนจะกลับมามองตาเธอ นัยตารื้นน้ำฉ่ำชื่นยังคงไม่มีอันใดเคลือบแฝงเช่นเคย
"หากยังรักยังคิดถึง ทำไมไม่กลับไปหาสิ่งที่เรารัก เราคิดถึงล่ะครับ" เขาไม่รู้เลยว่า ข้อความที่กล่าวออกมานี้จะกรีดแทงเข้าไปถึงส่วนไหนของหัวใจเธอ หญิงสาวจึงหลั่งน้ำตาพราวอันแม้จะซ่อนไว้ด้วยการก้มหน้า หากหยดน้ำใสยังหยาดลงมิได้หยุด
"คุณครับ...คุณ...คุณนิล....เป็นอะไรไปครับ...ผมขอโทษ...ขอโทษนะครับหากว่าพูดอะไรผิดไป"
อีกเป็นนานกว่าอีกฝ่ายจะข่มน้ำตาน้ำใจของตนให้กลับมาดำรงสติกับปัจจุบันได้"ดูสิ ขาดอีกจนได้ คุณกานต์คะ ฉันตั้งใจจะร้อยมันให้กับคุณจริงๆ รออีกครู่นะคะ" เธอยังถอนสะอื้น จนถ้อยคำขาดเป็นห้วงๆ
"วันหน้าก็ได้ครับ.......ผมต้องขอโทษจริงๆ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณรู้สึกไม่ดีขนาดนี้เลย"
เพราะแดดอ่อนเริ่มปรับสีฟ้าเป็นชมพูหม่นซีดและหมอง แมลงกลางคืนเริ่มระงมขานทักทายยามอาทิตย์ย่ำยอแสง กลิ่นกุหลาบจางเริ่มถูกแทนด้วยดอกไม้กลางคืน ซ่อนกลิ่นคละกลิ่นมากับราตรีและวาสนา ทั้งนั้นหอมฉุนรุนแรงชวนวิงเวียนมากกว่าจะสดชื่น
"ผมว่าผมคงต้องกลับก่อนแล้วหละครับ...
เขาบอกอย่างเกรงใจเธอเต็มที่ กระไรเลยกับความเป็นสุภาพบุรุษซึ่งต้องยกไปไว้เสียอีกทางหนึ่งก่อน
"...คุณ ก็ควรจะกลับได้แล้วนะครับ....ถ้า...หากว่า ผมต้องเป็นเหตุให้คุณรู้สึกเศร้าหรือเสียใจ ไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรก็ตาม.....ผม.....ผม......ก็ ก็ควร จะต้องไปจากตรงนี้เสียที......"
"ได้โปรดเถิดค่ะ...โปรดอยู่เป็นเพื่อนฉันอีกสักครู่ อีกครู่เดียวเท่านั้น เมื่อ ..... เมื่อตะวันลับฟ้าเราค่อยไปจากตรงนี้พร้อมๆ กัน" เสียงของหญิงสาววิงวอนจากส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจเพียงในประโยคแรก แล้วความเลื่อนลอยก็กลับมาประทับตรงที่เดิมของมันอีกครั้ง
(ต่อ)