## ชีวิต ม.ปลาย ลำบากใจจริงๆ เรียนต่อมหาลัย ปรึกษาหน่อยครับ

คือตอนนี้ผมอยู่ ม.หก เรียนสายวิทย์คณิต ตอนแรกที่ตั้งใจมาตลอดคือผมอยากเรียนทางสายสุขภาพ แพทย์ ทันตะ เภสัช แต่ในใจก็รู้สึกชอบด้านสถาปัตย์อยู่ จนถึงวันนี้อีกไม่กี่วันข้างหน้าก็จะสอบ 7 วิชาสามัญ ซึ่งผมลุ้นทันตะ และก็แพทย์ไว้ แต่ตอนนี้ผมก็ยังไม่มีที่เรียนครับ ผมคิดว่าตอนแรกผมคงจะสอบติดทันตะ สอบติดแพทย์ตั้งแต่แรก แต่พอเวลาผ่านมาเรื่อยๆ ผมเริ่มร้สึกว่าตัวเองไม่เหมาะกับทางนี้เลย เพราะคิดว่าผมคงสอบไม่ได้ ความจริงอยากเรียนมากๆเลย แต่เวลาผ่านไป "ความฝันกับความจริงมันช่างต่างกันเยี่ยงนัก" ตอนนี้ผมลำบากใจมาก ไม่รู้จะปรึกษาใคร พ่อกับแม่ผมไม่กี่วันมานี้ก็บอกว่า อยากเรียนอะไรก็เรียน สนับสนุนเต็มที่ เรื่องพ่อแม่ผมจึงสบายใจได้ระดับนึง แต่ที่หนักใจต่อมาคือ ผมกำลังจะเปลี่ยนสายครับ ผมกำลังจะเปลี่ยนมาเรียนทางสถาปัตย์ซึ่งผมชอบด้านการวาดภาพ แต่ติดตรงที่ว่าพอผมหันกับมามองเงินเดือนแล้วผมคิดว่าค่าตอบแทนน้อยพอสมควรเลยครับ ผมหาข้อมูลนะครับเรื่องเงินเดือนที่แบบมันจะเพิ่มขึ้นตามผลงานของเเราไรงี้ แต่มันก็หลายปี แล้วผมกลัวสิ่งที่วาดฝันไว้กับสิ่งที่ผมอยากเป็นมันตรงข้ามกัน ผมกลัวผมหางานไม่ได้ กลัวถึงเวลานั้นแล้วผมเปลี่ยนใจ กลัวคิดผิด และอีกอย่างผมเห็นสถาปัตย์ มธ. ที่เรียนคณะวิทย์4ปี สถาปัตย์อีก2ปี ผมเลยคิดว่ามันจะดีกว่าไหมถ้าเราเรียนม.นี้ ตอนนี้ผมลังเลมากครับ ไม่รู้ชีวิตจะเดินต่อไปยังไง อนาคตข้างหน้าจะเป็นอย่างไร อีกอย่างผมก็สงสัยด้วยว่าการเรียนสถาปัตย์ที่เขาบอกว่าทำงานไปด้วยได้นั้นจริงหรือป่าวครับ แล้วถ้าเป็นแบนี้เราจะวางแผนการเรียนยังไงให้จบมาหางานได้ ไม่ต้องใช้เวลามาก มีสถาปนิกคนไหนที่เรียนจบแล้วทำงานมีเงิน อยากรู้มากเลยครับว่าวางแผนชีวิตยังไง หรือผมควรหันกลับไปทางสายสุขภาพดี นั่งพิมพ์ไปน้ำตาก็จะไหล ช่วยแชร์ประสบการณ์หน่อยนะครับ
            ไม่ว่าสายอาชีพไหนก็ตาม
แก้ไขข้อความเมื่อ

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 6
พี่...หรือป้าดี...ฮ่า (พี่ขอพูดมุมมองเลยหลักสี่มาแล้ว พวกไม้ใกล้ฝั่ง ) ....พี่ว่าเรื่องเงินก็สำคัญ ในชีวิตการทำงานจริงกับเรื่องเรียนต่างกันเยอะ สมัยพี่เรียนม.ปลายไม่มีใครแนะนำว่าจะเรียนอะไรดี หรืออาจจะเรียนไม่จบ ม.หก พอดีสอบเทียบมาเลยออกมาเลย ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน พ่อแม่ก็ไม่ได้แนะนำอะไรเพราะไม่มีเงินจะส่งเรียน ปล่อยให้เราเผชิญชะตากรรมเอง สุดท้ายก็เลือกคณะที่เขาฮิตสมัยพี่คือนิเทศ เพราะส่วนใหญ่คนสวยเขาเรียนคณะนี้ (สมองคิดได้แค่นี้เอง..ฮ่า) แต่ตัวเราไม่สวย  พอจบมาโลกของการทำงาน คือคุณจบคณะอะไรก็ได้ ไม่ได้ตรงตามสาขาที่เรียนหรอก พอจบมาก็ไปทำงานบริษัททัวร์ญี่ปุ่น พอทำไปได้สัก10 ก็อยากเปลี่ยนอาชีพ ก็ออกมาทำไกด์ สักพัก มีคนมาชวนทำกราฟฟิค คือทำ powerpoint สุดท้ายแต่งงานกับวิศวะ ตอนนั้นก็หางานใหม่ทำ พอเงินเดือนออก แฟนเขาพูดว่า เขาทำงานเดือนเดียวเท่ากับเราทำงานสามเดือน ดู...พูดให้คิด ...คิดไปคิดมาเลยย้ายมาทำด้านวิศวะแล้วกัน .... มีไปทำทัวร์บ้าง รู้สนุกสนุกกับแขกที่ไปทัวร์ เพราะเราก็ได้ไปเที่ยวด้วย ถือว่าเป็นอาชีพที่รักอีกอาชีพหนึ่ง แต่ความเป็นจริง แล้วมันได้เงินน้อยถ้าเทียบกับงานด้านวิศวะซึ่ง ไม่ชอบเลย อะไรก็ไม่รู้ มันไม่เข้าหัวเลย ฟังวิศวะเขาคุยกันไม่รู้เรื่อง หัวฟูเลย ..ฮ่า ก็ค่อยๆปรับตัวคิดว่าได้เงินเยอะกว่า ...ถึงบอกว่าสุดท้ายสิ่งที่เรารักอาจจะไม่ทำเงิน  เราก็เปลี่ยนมารักสิ่งที่ทำเงินแล้วเอาความเป็นตัวเราเข้าไปอยู่ในงานนั้นด้วย เพราะนักนิเทศมีอารมณ์ศิลปิน ท้ายที่สุดตอนนี้พี่ก็มีความสุขกับงานด้านวิศวกรรมที่เราชอบ ถึงแม้จะเงินน้อยกว่าด้านวิศวกรรมอื่นๆ งานวิศวกรรมนี่เยอะมาก เราก็เลือกที่เราชอบแต่ยังไงก็เงินดีกว่าอาชีพไกด์ และออฟฟิศ
   สรุปนะ อยากให้ไปนั่งคิด บางคนทำงานทั้งวันได้พันห้า เดินไปเดินมารับห้าพัน บางทีมันก็ไม่ได้ขึ้นอยู่ว่าคุณจบอะไรมา อยากทำอะไรทำแล้วเรามีความสุขด้วย มีเงินด้วยก็ดี  แล้วพี่มองว่าสถาปิกเงินไม่น่าดี ก็เคยเจอสถาปนิกโกงเงิน แค่ไม่กี่หมื่นเอง ยังทำ พี่เดาว่าสงสัยรายได้จะไม่ดี  ใครจะมาจ้างเขียนแบบบ่อยๆ คนเก่าๆเขาก็เอาไปกิน ยกเว้นว่าเก่งมาก หรือเราจะแบนเข็มมาทางด้านภาษา ทำงานกับต่างชาติก็เงินดี นี่เธอเพิ่งอยู่แค่ ม.หกเอง ถ้าทำงาน 10 กว่าปี พี่จะแนะนำว่า ต้องคิดว่า อาชีพที่ทำเนี้ย ตอนแก่ใครจะจ้างเราไหม เราจะเกษียนอายุตัวเองเมื่อไหร่ หมายความว่า เราทำงานน้อยลง แต่ยังคงมีกินมีใช้ ทั้งครอบครัว ไม่ใช่แค่ตัวเอง เอาละจบ ขอให้น้องโชคดีนะ ถ้าจะถามเรื่องคณะวิศวะก็หลังไมค์ได้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่