สวัสดีเพื่อนๆชาวพันทิพย์ค่ะ วันนี้เรามีเรื่องอยากจะมาแบ่งปันประสบการณ์ ซึ่งเราคิดว่าอาจเป็นประโยชน์กับคนที่พบเจอปัญหา ท้อแท้ หรือรู้สึกว่าตันในชีวิตการเรียนค่ะ ซึ่งถึงแม้ตอนนี้เราจะยังคงมีปัญหาอยู่ แต่ก็อาจเป็นกำลังใจให้กับบางคนได้บ้างไม่มากก็น้อยค่ะ ซึ่งเราตั้งใจเขียนกระทู้นี้ ไม่ได้ต้องการอะไรนอกจากอยากให้เป็นประโยชน์หรือแรงบรรดาลใจ ซึ่งเรายังไม่ถนัดด้านการเล่าเรื่องเท่าไหร่ ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยค่ะ จุ๊บๆ
เริ่มเรื่องตอนม.ปลายก่อนเลย เราเป็นเด็กกล้าคิดกล้าตัดสินใจค่ะ รักความท้าทาย มั่นใจในความสามารถของตัวเอง เราเรียนอยู่โรงเรียนที่ค่อนข้างท๊อปที่สุดในจังหวัด ใครเห็นใครก็ชมว่าเก่ง (ทั้งๆที่เราเรียนไม่เก่ง) เป็นโรงเรียนวิทยาศาสตร์ เราเข้าเรียนที่นี่เพราะอยากลอง จริงๆเราเป็นเด็กที่ไม่ถนัดด้านวิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์เลย แต่เรามีความถนัดด้านภาษา ดนตรี และศิลปะที่มากกว่าคนอื่น คือเรียนรู้ได้เร็ว ความคิดสร้างสรรค์เรามักทำให้คนรอบตัวแปลกใจอยู่เสมอค่ะ แต่เราก็เลือกที่จะย้ายโรงเรียนโดยการสอบเข้าม.ปลายโรงเรียนที่ว่านี้ เพราะเราอยากรู้ค่ะ ว่าสิ่งนี้ที่มันยากที่เราทำมันไม่ได้ เราจะทำมันได้มั้ย คือเราอยากจะเอาชนะตัวเอง ซึ่งในที่สุดเราก็สอบเข้าโรงเรียนที่ว่าได้ค่ะ เพื่อนๆก็แปลกใจ บางคนหาว่าเราฝากบ้างอะไรบ้างก็ช่างเขา เราก็เรียนไปค่ะ ขณะเรียนก็รู้ตัวเองเลยว่า คณิตศาสตร์นี่แหละเป็นสิ่งที่เราทำไม่ได้ เกลียด และไม่มีความสุขเวลาเรียนค่ะ ตกทุกทกเทอม ร้องไห้นี่บ่อยเลย พ่อแม่ก็ว่าอยู่ตลอดว่า รนหาที่เอง แต่ในขณะเดียวกันเรากลับรู้สึกมันส์ค่ะ ท้าทาย สะใจ เหมือนเราเอาชนะตัวเองไปเรื่อยๆ เวลาผ่านมันไปได้แล้วรู้สึกว่า ทุกอย่างที่เราคิดว่าทำไม่ได้ มันทำได้น่ะ มันเป็นไปได้ จนมาวันนึงเราเรียนวิชาสังคมที่โรงเรียน อาจารย์สอนเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ เราก็รู้สึกว่า ด้านนี้มันช่างน่าสนใจ เป็นการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ เป็นความรู้ที่ประยุกต์ใช้ได้จริง ทีนี้แหละค่ะ ใครถามว่าอยากเข้าเรียนอะไร เราก็จะตอบว่า เศรษฐศาสตร์ค่ะ โดยที่ใครได้ยินเป็นต้องแบะปาก เพราะเราไม่เก่งคณิต โดยเฉพาะคุณครูคณิตศาสตร์ที่โรงเรียนค่ะ เขาพยายามบอกเราว่า ให้ไปสมัครเรียนที่ง่ายๆซะ เพราะเราเรียนไม่เก่งเกรดไม่ดี เนื่องจากที่โรงเรียนเราตกคณิตทุกเทอมเลย แล้วมันฉุดเกรดสุดๆ ซึ่งพ่อแม่เราเขาก็ถามน่ะค่ะว่า เอาจริงหรอ เราก็ตอบว่า "เอาดิ" โดยที่ถ้าจบด้านนี้ เราคิดว่าเราอยากจะมาสานต่อธุรกิจครอบครัว ซึ่งถ้ามีความรู้เศรษศาสตร์ มันก็ทำให้เรามองโลกได้กว้างขึ้น แถมหลักสูตรนี้มีเรียนการตลาดด้วย และอาจไปเรียนต่อป.โทที่ไหนซักแห่ง กลับมาเป็นแรงบรรดาลใจให้คนที่คิดว่าบางสิ่งมันเป็นไปไม่ได้ ว่ามันเป็นไปได้ คุณทำมันได้ เอาความรู้กลับมาพัฒนาประเทศ โห ฝันยาวเลยค่ะ โดยที่พอตอนม.6โรงเรียนเราเขาจัดห้องตามเกรดค่ะ ห้องหนึ่งคือพวกที่จะเรียนหมอ แล้วเราคือได้อยู่ห้องสุดท้ายมีแต่ผช.กับเพื่อนผญ.คนสองคน ซึ่งเป็นเด็กไม่ค่อยปกติ เอาไงละทีนี้ เราไม่ได้ท้อเลยค่ะ เราไม่ยอมแพ้ แม้เราจะถูกจัดให้อยู่กลุ่มต่ำที่สุด โดยมีเพื่อนผญ.ร่วมห้องเป็นคนที่มีปัญหาและเข้ากับสังคมไม่ได้ และเด็กผช.ในห้องก็มีเกเรบ้างและเคยมีเพื่อนที่ทะเลาะกันแรงมากทำให้เสียสมาธิอยู่เสมอ ส่วนอาจารย์ก็ไม่ตั้งใจสอนเลยค่ะ อาจารย์บางวิชานี่คือ เข้าห้องมาก็นั่งเฉยๆเลยค่ะ ไม่สอน โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ เราแทบไม่ได้เรียนเลย ทั้งๆที่เรากำลังจะเอ็นท์ เราจำเป็นต้องใช้ และด้านที่เราอยากเรียน มันก็ยิ่งจำเป็นด้วย
เรากลับบ้านมาส่องกระจก ถามตัวเองว่า "จะเอาไหม จะสู้ไหม จะทำไหม" แล้วเราก็ยิ้มกับตัวเองค่ะ นั่นเป็นการตกลงกับตัวเอง วันรุ่งขึ้นเราไปเรียน เราพยายามทำความรู้จักกับเพื่อนผญ.คนนี้ ตลอดทั้งปีเราพยายามใช้ชีวิตให้ได้ จนความมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นค่ะ "เราสอบติด" รอบแรก คนแรกๆ และเป็นด้านที่อาจารย์แบะปาก เป็นคณะที่ใช้คะแนนคณิตศาสตร์ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว ซึ่งในกลุ่มเราได้คะแนนคณิตศาสตร์สูงที่สุด และเราก็ได้เข้าเรียนคณะนี้อย่างใจหวัง แม้เพื่อนจะว่าเราเดาปิดตากาข้อสอบเข้ามา แต่เราก็รู้ว่าเราทำอะไร เหมือนเราจะชนะแต่ที่จริงมันแค่เริ่มต้น
ปิดเทอมนั้นเราลั้นลาเต็มที่เลยค่ะ พอเปิดเทอมชีวิตในมหาวิทยาลัยของเราดีค่ะ เพื่อนๆดีๆเยอะ ไม่ดีก็มีบ้าง แต่ปัญหาการเรียนคณิตศาสตร์ของเรา มันเริ่มก่อกวนการเรียนค่ะ เทอมแรกเราดรอปวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐานไป เราเริ่มมีสัญญาณว่าเรียนไม่รอดค่ะ เพราะปัญหาของเราคือ เจอโจทย์แล้วเราเอ๋อค่ะ เรื่องง่ายๆบางเรื่องเราก็ทำไม่ได้ เพราะการเรียนคณิตศาสตร์ของเรามันผิดทาง ใครจะเชื่อว่า เราลืมเนื้อหา วิธีการทำโจทย์ สูตรต่างๆ ไปหมดเลยตอนปิดเทอม คือเรามานั่งคิดว่าเกิดจากอะไร เราว่าเป็นเพราะ เราเกลียดวิชานี้และเราต่อต้านมันมาตลอด คิดเอาชนะ พอชนะแล้วเราก็เอาทุกอย่างทิ้งไป เหมือนทหารที่รบชนะโยนปืนทิ้ง หันหลังให้สมรภูมิ แต่โดนยิงสวนขั้วหัวใจจากข้าศึกที่เราประมาทคิดว่าตายแล้วแต่ไม่
ยิ่งนานวันเข้าเรากลับพบว่า มันไม่เหมือนการเรียนเพื่อเอาชนะในชีวิตม.ปลาย มันมีอะไรมากกว่านั้น เรากำลังทำร้ายตัวเองอยุ่ เรากำลังทำลายชีวิตตัวเอง จากความทุกข์ในการเรียน มันกลับกลายเป็นความทรมานแสนสาหัส เราสอบตกวิชาคณะ และพบว่าเศรษฐศาสตร์ที่เราเคยสนใจ มันกลับเปนสิ่งที่ทำเราน้ำตาคลอทุกครั้งที่เห็นเลยค่ะ ยิ่งนานวันเข้าเรายิ่งไฝ่หาทางที่เราชอบ ซึ่งคือด้านศิลป์ค่ะ เรากลับห้องมาทำสิ่งที่เราชอบ ส่วนเรื่องเที่ยวนี่เราเที่ยวพร้อมเพื่อน กลับมาอ่านหนังสือพร้อมเพื่อน แต่กลับเรียนรู้ได้น้อยกว่าเพื่อน คิดโจทย์ช้า ไม่เข้าใจโจทย์ คว้างปากกาทิ้ง หยิบมาเขียนใหม่ ยืมหนังสือเพื่อนมาอ่าน อ่านไม่รู้เรื่องทำไงดีเนื้อหาแสนจะยาก ให้เพื่อนติวให้ เราก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องอีก เพื่อนก็รู้สึกว่าเรานี่อาการหนักละ ตอนเช้าไม่ยอมไปเรียน ตื่นทันนะ แต่ตื่นมานั่งนิ่งๆ หยิบกีต้ามาเล่น ไม่อยากทำกราฟ ไม่อยากคิดโจทย์ ไม่อยากเจอหน้าอาจารย์ พันกันมาเป็นปัญหาใหญ่
แต่แปลกที่เพื่อนๆเราเขาไม่ได้มองว่าเราโง่ เราสอบตกแต่ไม่ได้หมายความว่าเรื่องอื่นจะคิดไม่เป็น เราว่านั่นอาจเป็นสิ่งที่เพื่อนสัมผัสได้ และต่างก็มาแนะนำเราว่า "เรียนไหวไหม เราว่าแกไปด้านอื่นดีกว่าน่ะ ด้านอื่นแกดูทำได้ดี เราว่าสิ่งที่แกทำมันอาจทำให้ชีวิตแกดีกว่านี้ มันต้องดีกว่านี้แน่ๆ ดูสิ่งที่แกชอบ สิ่งที่แกคิด บางอย่างพวกเราก็ทำไม่ได้" จนกระทั้งตอนนี้ เราเรียนอยู่ปีสามจะปีสี่แล้ว เกรดเรากำลังจะทำให้เราถูกรีไทล์ และทำให้เราจบไม่พร้อมเพื่อนแล้วในตอนนี้ ด้วยความบ้าของเรา มันทำให้เพื่อนหลายคนเสื่อมศรัทธา "โอเคเทอมนี้จะตั้งใจละ" แต่ก็ตกอยู่ดี อาจเป็นเพราะเราให้เวลากับมันไม่เพียงพอ และไฟของเรามันมอดลงทุกที ความมั่นใจที่เคยมีหายไป กลายเป็นคนที่มองไม่เห็นอนาคตตัวเอง สงสารพ่อแม่ เพื่อนๆก็มองว่าเราเหลวแหลก เพื่อนๆหลายคนเริ่มไม่มันใจในตัวเรา และเดินจากเราไปทีละคน ซึ่งไม่ผิดถ้าเขาจะเลือกเดินออกห่าง แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เรารับรู้ได้ว่า ในจุดต่ำสุด มีใครยื่นมือมาช่วยเรา และมีใครเหยียบเราบ้าง เรารู้สึกมีความคิดกังวลจากที่ไม่เคยมี ว่าถ้าเป็นแบบนี้ แสดงว่า จบไปเราจะจนที่สุดใช่มั้ย เราจะเลี้ยงพ่อแม่ไม่ได้ เราจะเป็นประชาชนล้มเหลวใช่ไหม
ตั้งสติ เอาอีกแล้ว เรากลับมานั่งพิจารณาตัวเอง เรานี่เป็นคนทำลาย เป็นคนผิด เราตระหนักในความไม่รอบคอบ ความงี่เง่า ความห่วยของตัวเอง
โอเค ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เราควรจะทำอย่างไรในเส้นทางนี้ดี? คิดแบบงี่เง่ามามาก เรามาลองคิดแบบคนดีๆดูไหม?
เมื่อเป็นคนผูกก็ต้องเป็นคนแก้เอง เดินมาถึงตอนนี้ ถ้าจะไปเริ่มใหม่ก็ไม่สาย แต่พอมองไปที่พ่อแม่ ท่านไม่ควรจะรอความสำเร็จเรานานขนาดนั้น เรามานั่งวาด ว่ามีอีกกี่วิชาที่เราต้องสู้กับมัน เรามานั่งปรับแนวความคิดของตัวเอง
"การเรียนสิ่งที่ไม่ชอบ หรือเจอปัญหาที่ถ้าเราจะหลีกเลี่ยงมันไม่ได้แล้ว จงมองมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต นั่งคุยกับตัวเองว่า ฉันจะอยู่กับเธอได้อย่างไรโดยที่ไม่ทรมาน เธอเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันทรมานจริงหรือ แล้วถ้าเธอจะเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันมีความสุข จะเป็นไปได้ไหม?"
ในเมื่อใครๆก็บอกว่า ทุกวิกฤติมีโอกาสซ่อนอยู่ แหม่ ของซ่อนอยู่มันก็ต้องหายากนิดนึงสิ ตั้งสติ หาโอกาสในนั้น
จากนั้นเราก็นึกออกว่า เราเคยเป็นเด็กช่างฝัน วาดความมุ่งหวังในกระดาษแผ่นหนึ่งที่บ้าน เรากลับไปหาเลยค่ะ
..."เรียนจบเราพาตัวเองไปต่อปริญญาโทต่างประเทศกันน่ะ จิตวิทยาดีไหม เราจะไปในที่แปลกๆ แบ่งปันความสุขให้คนที่เราพบเจอ เราจะวาดรูปให้เขา ร้องเพลงให้เขาฟัง แบ่งปันเรื่องราว แล้วเอาสิ่งที่เรียนรู้ที่เห็นมา ทำให้คนที่บ้านเรามีความสุขบ้าง"
มันไม่ใช่เงินทองกองเท่าบ้านที่เราเคยต้องการ คนรอบตัวทำให้เราคิดแบบนั้นไปใช่มั้ย ความฝันที่แท้จริงของเราคืออะไร เราพลาดที่เลือกเดินทางผิด แต่จะไม่พลาดรอบสอง เราจะต้องเดินตามความฝันของตนเองอย่างถูกต้องได้แล้ว ถ้าสมมุติวันนึงชีวิตล้มได้เก็บขยะจริง เราก็จะต้องหาหนทาง ให้การเก็บขยะของเรานั้นมันพิเศษ แปลก น่าสนใจ และนำพาความสุขให้ได้ "ตราบใดที่เรามีความสุขกับสิ่งที่ทำ อะไรๆมันก็จะดีเองแม้ไม่มีอะไรกิน"
โอเค อยากต่อปริญาโทต่างประเทศ อยากแบ่งปันอะไรก็ช่าง แต่กำลังจะโดนรีไทล์ เรียนสิ่งที่เกลียด จะทำยังไงดี ไหนหล่ะโอกาสในวิกฤติหน่ะปั๊ดโถ่วววววววววววว !!!
ยิ่งปัญหาหนัก เรายิ่งต้องทำความเข้าใจกับมัน เราเอากระดาษมานั่งเขียน เรียงลำดับสิ่งที่ควรทำก่อนหลัง ในเมื่อเรายังไม่ตาย มันต้องมีสิ่งที่เราทำได้ เพื่อสิ่งที่ดีกว่านี้
การเรียนของยากมันไม่ได้แปลว่าเราทำไม่ได้ ยาก เป็นไปได้ แต่เปอร์เซ็นอาจน้อย ถ้าอย่างนั้น มีวิธีไหนจะเพิ่มเปอร์เซ็นความเป็นไม่ได้เหล่านี้บ้าง
อย่างแรกคือเรียกความมั่นใจของตัวเองกลับมา เปลี่ยนทัศนะคติที่มีต่อตัวเองและต่อสิ่งที่เรากำลังเผชิญ ถ้าเราหลีกเลี่ยงคณิตศาสตร์ไม่ได้ แต่ในโลกนี้มีคนที่รักคณิตศาสตร์ แสดงว่ามันต้องมีข้อดี มีสิ่งที่น่าสนุกอยู่ในนั้น เหมือนพยายามกอดหมาดุ โดนกัดบ้างก็อดทน แต่ถ้ารู้จุดอ่อนของมัน ไว้วางใจซึ่งกันและกัน อะไรก็เปลี่ยนแปลงได้
อย่างต่อมาคือพยายามในจุดมุ่งหมายที่เราตั้งเป้าเอาไว้ มีวินัยและไม่หลอกตัวเอง มองโลกในแง่ดี มองแต่ละอย่างเป็นสเต็ปๆ ใจเย็นๆ คิดว่าต้องทำอะไรเท่าไหร่ถึงจะผ่านมันไปได้ "และให้ทำมันมากกว่านั้น"
ในเมื่อเคยผิดพลาด ชีวิตเรามันเกิดความผิดพลาดซ้ำกันได้ แต่มันจะซ้ำอีกถ้าเราไม่ตั้งใจแก้ไขมัน ซึ่งแย่มากสุดๆ ดดยที่เราต้องยอมรับความผิดของตัวเอง ยอมรับ รู้ตัว เข้าใจ ในพฤติกรรมและการกระทำที่นำพาให้เราต้องเจอสิ่งนี้ และเขียนว่าพฤติกรรมในฝันที่มันควรจะเป็นและนำพาเราไปถึงจุดหมายนั้นคืออะไร ในเมื่อพฤติกรรมที่เราเป็นอยู่ให้เรามาเจอสิ่งเหล่านี้ พฤติกรรมอีกแบบก็ควรพาเราไปสู่สิ่งอื่นที่ดีกว่าได้เช่นกัน และปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด ยิ้ม และเดินต่อ เจ็บ ต้องยอมรับ จุดหมายไกลแต่ไม่หนีไปไหน เกิดเป็นคนเราต้องมีความหวังอยู่เสมอ ความหวังเป็นสิ่งที่นำพาตัวเองไปสู่สิ่งต่างๆอีกมากมายที่เราก็อาจคาดไม่ถึง ปัญหาไม่ใช่ศัตรูของชีวิตเรา แต่ศัตรูที่แท้จริงคือจิตใจ ความคิดแง่ลบและความอ่อนแอในตัวเราเอง เราจะไม่แพ้และไม่ล้มเหลวจริงๆตราบใดที่ยังไม่เลิกสู้
จากนั้นเราก็พบว่า เราจะพยายามให้เกรดผ่านเกณฑ์จะถูกรีไทล์ และใช้โอกาสที่ได้เรียนมากปีกว่าคนอื่นเนี่ย มาอัพเกรดเฉลี่ยของตัวเอง นำไปสมัครเรียนต่อ หรือถ้าจบแล้วมันยังน้อยอยู่ เราก็จะหาหนทางเพื่อทำในสิ่งที่เราต้องการต่อไป เราจะมองโลกในแบบใหม่ ความสำเร็จในชีวิตมันคงไม่ได้จบอยู่ที่ตรงนี้แค่นี้ แม้มันจะสำคัญ แต่ถ้าเรารู้ตัวว่าได้พยายามแล้ว เราก็ควรหาหนทางอื่นที่ดีที่เหมาะกับตัวเราต่อไป
ปล.เราหวังว่าใครที่ท้อแท้อยู่ สิ่งที่เราเล่าไปอาจทำให้เขาคนนั้นรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง เราเป็นกำลังใจให้น่ะค่ะ
แบ่งปันประสบการณ์ เรียนด้านที่เกลียด กำลังจะโดนรีไทล์ คิดอย่างไรให้ชีวิตดีขึ้นให้ได้
เริ่มเรื่องตอนม.ปลายก่อนเลย เราเป็นเด็กกล้าคิดกล้าตัดสินใจค่ะ รักความท้าทาย มั่นใจในความสามารถของตัวเอง เราเรียนอยู่โรงเรียนที่ค่อนข้างท๊อปที่สุดในจังหวัด ใครเห็นใครก็ชมว่าเก่ง (ทั้งๆที่เราเรียนไม่เก่ง) เป็นโรงเรียนวิทยาศาสตร์ เราเข้าเรียนที่นี่เพราะอยากลอง จริงๆเราเป็นเด็กที่ไม่ถนัดด้านวิทยาศาสตร์หรือคณิตศาสตร์เลย แต่เรามีความถนัดด้านภาษา ดนตรี และศิลปะที่มากกว่าคนอื่น คือเรียนรู้ได้เร็ว ความคิดสร้างสรรค์เรามักทำให้คนรอบตัวแปลกใจอยู่เสมอค่ะ แต่เราก็เลือกที่จะย้ายโรงเรียนโดยการสอบเข้าม.ปลายโรงเรียนที่ว่านี้ เพราะเราอยากรู้ค่ะ ว่าสิ่งนี้ที่มันยากที่เราทำมันไม่ได้ เราจะทำมันได้มั้ย คือเราอยากจะเอาชนะตัวเอง ซึ่งในที่สุดเราก็สอบเข้าโรงเรียนที่ว่าได้ค่ะ เพื่อนๆก็แปลกใจ บางคนหาว่าเราฝากบ้างอะไรบ้างก็ช่างเขา เราก็เรียนไปค่ะ ขณะเรียนก็รู้ตัวเองเลยว่า คณิตศาสตร์นี่แหละเป็นสิ่งที่เราทำไม่ได้ เกลียด และไม่มีความสุขเวลาเรียนค่ะ ตกทุกทกเทอม ร้องไห้นี่บ่อยเลย พ่อแม่ก็ว่าอยู่ตลอดว่า รนหาที่เอง แต่ในขณะเดียวกันเรากลับรู้สึกมันส์ค่ะ ท้าทาย สะใจ เหมือนเราเอาชนะตัวเองไปเรื่อยๆ เวลาผ่านมันไปได้แล้วรู้สึกว่า ทุกอย่างที่เราคิดว่าทำไม่ได้ มันทำได้น่ะ มันเป็นไปได้ จนมาวันนึงเราเรียนวิชาสังคมที่โรงเรียน อาจารย์สอนเกี่ยวกับเศรษฐศาสตร์ เราก็รู้สึกว่า ด้านนี้มันช่างน่าสนใจ เป็นการศึกษาพฤติกรรมมนุษย์ เป็นความรู้ที่ประยุกต์ใช้ได้จริง ทีนี้แหละค่ะ ใครถามว่าอยากเข้าเรียนอะไร เราก็จะตอบว่า เศรษฐศาสตร์ค่ะ โดยที่ใครได้ยินเป็นต้องแบะปาก เพราะเราไม่เก่งคณิต โดยเฉพาะคุณครูคณิตศาสตร์ที่โรงเรียนค่ะ เขาพยายามบอกเราว่า ให้ไปสมัครเรียนที่ง่ายๆซะ เพราะเราเรียนไม่เก่งเกรดไม่ดี เนื่องจากที่โรงเรียนเราตกคณิตทุกเทอมเลย แล้วมันฉุดเกรดสุดๆ ซึ่งพ่อแม่เราเขาก็ถามน่ะค่ะว่า เอาจริงหรอ เราก็ตอบว่า "เอาดิ" โดยที่ถ้าจบด้านนี้ เราคิดว่าเราอยากจะมาสานต่อธุรกิจครอบครัว ซึ่งถ้ามีความรู้เศรษศาสตร์ มันก็ทำให้เรามองโลกได้กว้างขึ้น แถมหลักสูตรนี้มีเรียนการตลาดด้วย และอาจไปเรียนต่อป.โทที่ไหนซักแห่ง กลับมาเป็นแรงบรรดาลใจให้คนที่คิดว่าบางสิ่งมันเป็นไปไม่ได้ ว่ามันเป็นไปได้ คุณทำมันได้ เอาความรู้กลับมาพัฒนาประเทศ โห ฝันยาวเลยค่ะ โดยที่พอตอนม.6โรงเรียนเราเขาจัดห้องตามเกรดค่ะ ห้องหนึ่งคือพวกที่จะเรียนหมอ แล้วเราคือได้อยู่ห้องสุดท้ายมีแต่ผช.กับเพื่อนผญ.คนสองคน ซึ่งเป็นเด็กไม่ค่อยปกติ เอาไงละทีนี้ เราไม่ได้ท้อเลยค่ะ เราไม่ยอมแพ้ แม้เราจะถูกจัดให้อยู่กลุ่มต่ำที่สุด โดยมีเพื่อนผญ.ร่วมห้องเป็นคนที่มีปัญหาและเข้ากับสังคมไม่ได้ และเด็กผช.ในห้องก็มีเกเรบ้างและเคยมีเพื่อนที่ทะเลาะกันแรงมากทำให้เสียสมาธิอยู่เสมอ ส่วนอาจารย์ก็ไม่ตั้งใจสอนเลยค่ะ อาจารย์บางวิชานี่คือ เข้าห้องมาก็นั่งเฉยๆเลยค่ะ ไม่สอน โดยเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์ เราแทบไม่ได้เรียนเลย ทั้งๆที่เรากำลังจะเอ็นท์ เราจำเป็นต้องใช้ และด้านที่เราอยากเรียน มันก็ยิ่งจำเป็นด้วย
เรากลับบ้านมาส่องกระจก ถามตัวเองว่า "จะเอาไหม จะสู้ไหม จะทำไหม" แล้วเราก็ยิ้มกับตัวเองค่ะ นั่นเป็นการตกลงกับตัวเอง วันรุ่งขึ้นเราไปเรียน เราพยายามทำความรู้จักกับเพื่อนผญ.คนนี้ ตลอดทั้งปีเราพยายามใช้ชีวิตให้ได้ จนความมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นค่ะ "เราสอบติด" รอบแรก คนแรกๆ และเป็นด้านที่อาจารย์แบะปาก เป็นคณะที่ใช้คะแนนคณิตศาสตร์ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว ซึ่งในกลุ่มเราได้คะแนนคณิตศาสตร์สูงที่สุด และเราก็ได้เข้าเรียนคณะนี้อย่างใจหวัง แม้เพื่อนจะว่าเราเดาปิดตากาข้อสอบเข้ามา แต่เราก็รู้ว่าเราทำอะไร เหมือนเราจะชนะแต่ที่จริงมันแค่เริ่มต้น
ปิดเทอมนั้นเราลั้นลาเต็มที่เลยค่ะ พอเปิดเทอมชีวิตในมหาวิทยาลัยของเราดีค่ะ เพื่อนๆดีๆเยอะ ไม่ดีก็มีบ้าง แต่ปัญหาการเรียนคณิตศาสตร์ของเรา มันเริ่มก่อกวนการเรียนค่ะ เทอมแรกเราดรอปวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐานไป เราเริ่มมีสัญญาณว่าเรียนไม่รอดค่ะ เพราะปัญหาของเราคือ เจอโจทย์แล้วเราเอ๋อค่ะ เรื่องง่ายๆบางเรื่องเราก็ทำไม่ได้ เพราะการเรียนคณิตศาสตร์ของเรามันผิดทาง ใครจะเชื่อว่า เราลืมเนื้อหา วิธีการทำโจทย์ สูตรต่างๆ ไปหมดเลยตอนปิดเทอม คือเรามานั่งคิดว่าเกิดจากอะไร เราว่าเป็นเพราะ เราเกลียดวิชานี้และเราต่อต้านมันมาตลอด คิดเอาชนะ พอชนะแล้วเราก็เอาทุกอย่างทิ้งไป เหมือนทหารที่รบชนะโยนปืนทิ้ง หันหลังให้สมรภูมิ แต่โดนยิงสวนขั้วหัวใจจากข้าศึกที่เราประมาทคิดว่าตายแล้วแต่ไม่
ยิ่งนานวันเข้าเรากลับพบว่า มันไม่เหมือนการเรียนเพื่อเอาชนะในชีวิตม.ปลาย มันมีอะไรมากกว่านั้น เรากำลังทำร้ายตัวเองอยุ่ เรากำลังทำลายชีวิตตัวเอง จากความทุกข์ในการเรียน มันกลับกลายเป็นความทรมานแสนสาหัส เราสอบตกวิชาคณะ และพบว่าเศรษฐศาสตร์ที่เราเคยสนใจ มันกลับเปนสิ่งที่ทำเราน้ำตาคลอทุกครั้งที่เห็นเลยค่ะ ยิ่งนานวันเข้าเรายิ่งไฝ่หาทางที่เราชอบ ซึ่งคือด้านศิลป์ค่ะ เรากลับห้องมาทำสิ่งที่เราชอบ ส่วนเรื่องเที่ยวนี่เราเที่ยวพร้อมเพื่อน กลับมาอ่านหนังสือพร้อมเพื่อน แต่กลับเรียนรู้ได้น้อยกว่าเพื่อน คิดโจทย์ช้า ไม่เข้าใจโจทย์ คว้างปากกาทิ้ง หยิบมาเขียนใหม่ ยืมหนังสือเพื่อนมาอ่าน อ่านไม่รู้เรื่องทำไงดีเนื้อหาแสนจะยาก ให้เพื่อนติวให้ เราก็ไม่ค่อยจะรู้เรื่องอีก เพื่อนก็รู้สึกว่าเรานี่อาการหนักละ ตอนเช้าไม่ยอมไปเรียน ตื่นทันนะ แต่ตื่นมานั่งนิ่งๆ หยิบกีต้ามาเล่น ไม่อยากทำกราฟ ไม่อยากคิดโจทย์ ไม่อยากเจอหน้าอาจารย์ พันกันมาเป็นปัญหาใหญ่
แต่แปลกที่เพื่อนๆเราเขาไม่ได้มองว่าเราโง่ เราสอบตกแต่ไม่ได้หมายความว่าเรื่องอื่นจะคิดไม่เป็น เราว่านั่นอาจเป็นสิ่งที่เพื่อนสัมผัสได้ และต่างก็มาแนะนำเราว่า "เรียนไหวไหม เราว่าแกไปด้านอื่นดีกว่าน่ะ ด้านอื่นแกดูทำได้ดี เราว่าสิ่งที่แกทำมันอาจทำให้ชีวิตแกดีกว่านี้ มันต้องดีกว่านี้แน่ๆ ดูสิ่งที่แกชอบ สิ่งที่แกคิด บางอย่างพวกเราก็ทำไม่ได้" จนกระทั้งตอนนี้ เราเรียนอยู่ปีสามจะปีสี่แล้ว เกรดเรากำลังจะทำให้เราถูกรีไทล์ และทำให้เราจบไม่พร้อมเพื่อนแล้วในตอนนี้ ด้วยความบ้าของเรา มันทำให้เพื่อนหลายคนเสื่อมศรัทธา "โอเคเทอมนี้จะตั้งใจละ" แต่ก็ตกอยู่ดี อาจเป็นเพราะเราให้เวลากับมันไม่เพียงพอ และไฟของเรามันมอดลงทุกที ความมั่นใจที่เคยมีหายไป กลายเป็นคนที่มองไม่เห็นอนาคตตัวเอง สงสารพ่อแม่ เพื่อนๆก็มองว่าเราเหลวแหลก เพื่อนๆหลายคนเริ่มไม่มันใจในตัวเรา และเดินจากเราไปทีละคน ซึ่งไม่ผิดถ้าเขาจะเลือกเดินออกห่าง แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เรารับรู้ได้ว่า ในจุดต่ำสุด มีใครยื่นมือมาช่วยเรา และมีใครเหยียบเราบ้าง เรารู้สึกมีความคิดกังวลจากที่ไม่เคยมี ว่าถ้าเป็นแบบนี้ แสดงว่า จบไปเราจะจนที่สุดใช่มั้ย เราจะเลี้ยงพ่อแม่ไม่ได้ เราจะเป็นประชาชนล้มเหลวใช่ไหม
ตั้งสติ เอาอีกแล้ว เรากลับมานั่งพิจารณาตัวเอง เรานี่เป็นคนทำลาย เป็นคนผิด เราตระหนักในความไม่รอบคอบ ความงี่เง่า ความห่วยของตัวเอง
โอเค ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว เราควรจะทำอย่างไรในเส้นทางนี้ดี? คิดแบบงี่เง่ามามาก เรามาลองคิดแบบคนดีๆดูไหม?
เมื่อเป็นคนผูกก็ต้องเป็นคนแก้เอง เดินมาถึงตอนนี้ ถ้าจะไปเริ่มใหม่ก็ไม่สาย แต่พอมองไปที่พ่อแม่ ท่านไม่ควรจะรอความสำเร็จเรานานขนาดนั้น เรามานั่งวาด ว่ามีอีกกี่วิชาที่เราต้องสู้กับมัน เรามานั่งปรับแนวความคิดของตัวเอง
"การเรียนสิ่งที่ไม่ชอบ หรือเจอปัญหาที่ถ้าเราจะหลีกเลี่ยงมันไม่ได้แล้ว จงมองมันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต นั่งคุยกับตัวเองว่า ฉันจะอยู่กับเธอได้อย่างไรโดยที่ไม่ทรมาน เธอเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันทรมานจริงหรือ แล้วถ้าเธอจะเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันมีความสุข จะเป็นไปได้ไหม?"
ในเมื่อใครๆก็บอกว่า ทุกวิกฤติมีโอกาสซ่อนอยู่ แหม่ ของซ่อนอยู่มันก็ต้องหายากนิดนึงสิ ตั้งสติ หาโอกาสในนั้น
จากนั้นเราก็นึกออกว่า เราเคยเป็นเด็กช่างฝัน วาดความมุ่งหวังในกระดาษแผ่นหนึ่งที่บ้าน เรากลับไปหาเลยค่ะ
..."เรียนจบเราพาตัวเองไปต่อปริญญาโทต่างประเทศกันน่ะ จิตวิทยาดีไหม เราจะไปในที่แปลกๆ แบ่งปันความสุขให้คนที่เราพบเจอ เราจะวาดรูปให้เขา ร้องเพลงให้เขาฟัง แบ่งปันเรื่องราว แล้วเอาสิ่งที่เรียนรู้ที่เห็นมา ทำให้คนที่บ้านเรามีความสุขบ้าง"
มันไม่ใช่เงินทองกองเท่าบ้านที่เราเคยต้องการ คนรอบตัวทำให้เราคิดแบบนั้นไปใช่มั้ย ความฝันที่แท้จริงของเราคืออะไร เราพลาดที่เลือกเดินทางผิด แต่จะไม่พลาดรอบสอง เราจะต้องเดินตามความฝันของตนเองอย่างถูกต้องได้แล้ว ถ้าสมมุติวันนึงชีวิตล้มได้เก็บขยะจริง เราก็จะต้องหาหนทาง ให้การเก็บขยะของเรานั้นมันพิเศษ แปลก น่าสนใจ และนำพาความสุขให้ได้ "ตราบใดที่เรามีความสุขกับสิ่งที่ทำ อะไรๆมันก็จะดีเองแม้ไม่มีอะไรกิน"
โอเค อยากต่อปริญาโทต่างประเทศ อยากแบ่งปันอะไรก็ช่าง แต่กำลังจะโดนรีไทล์ เรียนสิ่งที่เกลียด จะทำยังไงดี ไหนหล่ะโอกาสในวิกฤติหน่ะปั๊ดโถ่วววววววววววว !!!
ยิ่งปัญหาหนัก เรายิ่งต้องทำความเข้าใจกับมัน เราเอากระดาษมานั่งเขียน เรียงลำดับสิ่งที่ควรทำก่อนหลัง ในเมื่อเรายังไม่ตาย มันต้องมีสิ่งที่เราทำได้ เพื่อสิ่งที่ดีกว่านี้
การเรียนของยากมันไม่ได้แปลว่าเราทำไม่ได้ ยาก เป็นไปได้ แต่เปอร์เซ็นอาจน้อย ถ้าอย่างนั้น มีวิธีไหนจะเพิ่มเปอร์เซ็นความเป็นไม่ได้เหล่านี้บ้าง
อย่างแรกคือเรียกความมั่นใจของตัวเองกลับมา เปลี่ยนทัศนะคติที่มีต่อตัวเองและต่อสิ่งที่เรากำลังเผชิญ ถ้าเราหลีกเลี่ยงคณิตศาสตร์ไม่ได้ แต่ในโลกนี้มีคนที่รักคณิตศาสตร์ แสดงว่ามันต้องมีข้อดี มีสิ่งที่น่าสนุกอยู่ในนั้น เหมือนพยายามกอดหมาดุ โดนกัดบ้างก็อดทน แต่ถ้ารู้จุดอ่อนของมัน ไว้วางใจซึ่งกันและกัน อะไรก็เปลี่ยนแปลงได้
อย่างต่อมาคือพยายามในจุดมุ่งหมายที่เราตั้งเป้าเอาไว้ มีวินัยและไม่หลอกตัวเอง มองโลกในแง่ดี มองแต่ละอย่างเป็นสเต็ปๆ ใจเย็นๆ คิดว่าต้องทำอะไรเท่าไหร่ถึงจะผ่านมันไปได้ "และให้ทำมันมากกว่านั้น"
ในเมื่อเคยผิดพลาด ชีวิตเรามันเกิดความผิดพลาดซ้ำกันได้ แต่มันจะซ้ำอีกถ้าเราไม่ตั้งใจแก้ไขมัน ซึ่งแย่มากสุดๆ ดดยที่เราต้องยอมรับความผิดของตัวเอง ยอมรับ รู้ตัว เข้าใจ ในพฤติกรรมและการกระทำที่นำพาให้เราต้องเจอสิ่งนี้ และเขียนว่าพฤติกรรมในฝันที่มันควรจะเป็นและนำพาเราไปถึงจุดหมายนั้นคืออะไร ในเมื่อพฤติกรรมที่เราเป็นอยู่ให้เรามาเจอสิ่งเหล่านี้ พฤติกรรมอีกแบบก็ควรพาเราไปสู่สิ่งอื่นที่ดีกว่าได้เช่นกัน และปฎิบัติตามอย่างเคร่งครัด ยิ้ม และเดินต่อ เจ็บ ต้องยอมรับ จุดหมายไกลแต่ไม่หนีไปไหน เกิดเป็นคนเราต้องมีความหวังอยู่เสมอ ความหวังเป็นสิ่งที่นำพาตัวเองไปสู่สิ่งต่างๆอีกมากมายที่เราก็อาจคาดไม่ถึง ปัญหาไม่ใช่ศัตรูของชีวิตเรา แต่ศัตรูที่แท้จริงคือจิตใจ ความคิดแง่ลบและความอ่อนแอในตัวเราเอง เราจะไม่แพ้และไม่ล้มเหลวจริงๆตราบใดที่ยังไม่เลิกสู้
จากนั้นเราก็พบว่า เราจะพยายามให้เกรดผ่านเกณฑ์จะถูกรีไทล์ และใช้โอกาสที่ได้เรียนมากปีกว่าคนอื่นเนี่ย มาอัพเกรดเฉลี่ยของตัวเอง นำไปสมัครเรียนต่อ หรือถ้าจบแล้วมันยังน้อยอยู่ เราก็จะหาหนทางเพื่อทำในสิ่งที่เราต้องการต่อไป เราจะมองโลกในแบบใหม่ ความสำเร็จในชีวิตมันคงไม่ได้จบอยู่ที่ตรงนี้แค่นี้ แม้มันจะสำคัญ แต่ถ้าเรารู้ตัวว่าได้พยายามแล้ว เราก็ควรหาหนทางอื่นที่ดีที่เหมาะกับตัวเราต่อไป
ปล.เราหวังว่าใครที่ท้อแท้อยู่ สิ่งที่เราเล่าไปอาจทำให้เขาคนนั้นรู้สึกดีขึ้นได้บ้าง เราเป็นกำลังใจให้น่ะค่ะ