(づ ̄ ³ ̄)づ
Kill Me, Heal Me --- โรคหลายบุคลิกของพระเอก
ลีลาวดีเพลิง --- กลไกป้องกันตัวเองทางจิตของพระเอก
มาทำความรู้จักอาการของพระเอกมีปัญหาทางจิตจากสองเรื่องนี้กันค่ะ
ขี้เกียจตั้งกระทู้แยก รวมกันเลยเนอะ
มีพระเอกป่วยทางจิตทั้งสองคนในกระทู้เดียว คุ้มเบย ~
Kill Me, Heal Me
รู้กันแล้วจากเรื่องย่อว่าพระเอกของเราจะมีบุคลิกภาพที่แตกต่างถึง 7 แบบในคนคนเดียว
และต้องอาศัยนางเอกซึ่งเป็นจิตแพทย์มาช่วยบำบัดให้โดยไม่เปิดเผย
Kill Me, Heal Me ก็คงหมายถึง การบำบัดให้หายจากโรคหลายบุคลิก
โดยการ
กำจัด บุคลิกที่ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงออกไป
แต่ถ้าอ้างอิงเรื่อง "ตัวตนที่แท้จริง" จากหนังเรื่องอื่นๆ เช่น ภาพยนตร์เรื่อง Identity

ก็คงมีลุ้นว่า บุคลิกไหนกันแน่ที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของพระเอก
บุคลิกอื่นนอกจากตัวตนเดิมของพระเอก จะเป็นไปตามบทความต่อไปนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้
ต้องคอยดูกันต่อไปค่ะ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮
【 อาการของโรคหลายบุคลิก 】
จากเว็บ >
https://blog.eduzones.com/snowytest/117614
ตัวละครในภาพยนตร์หลายเรื่องต้องเผชิญชะตากรรมความกดดันอย่างแสนสาหัส
บางเรื่องเล่าเหตุการณ์เงื่อนปมในวัยเด็ก บาดแผลในจิตใจที่ฝังรากลงลึกไปในระดับสามัญสำนึก
ผลพวงจากความคับแค้นเหล่านั้นสะท้อนให้พฤติกรรมของตัวละครมีความผิดแผกไปจากความปกติ
ในช่วงวัยรุ่น และลามไปถึงวัยผู้ใหญ่ วัยกลางคน
พฤติกรรมหนึ่งที่ภาพยนตร์มักสะท้อนให้เห็น คือพฤติกรรมของตัวละคร ที่ห้วงเวลาหนึ่งมีบุคลิกหนึ่ง
ห้วงเวลาต่อมากลับกลายเป็นบุคคลอีกคนหนึ่ง ในกรณีนี้ทางจิตเวชสะท้อนถึงอาการป่วย
โรคหลายบุคลิก
Dissociative Identity Disorder (DID) หรือ
Multiple Personality Disorder (MPD)
เป็นโรคที่ถูกจัดอยู่ในประเภท
Dissociative Disorder
ซึ่งโรคในกลุ่มนี้จะมีลักษณะที่เกี่ยวข้องกับสติสัมปชัญญะ ความทรงจำ เอกลักษณ์ และการรับรู้สภาวะแวดล้อม
ลักษณะของผู้ป่วย คือ จะมีบุคลิกที่เป็นนิสัยตั้งแต่ 2 บุคลิกขึ้นไป โดยแต่ละบุคลิกจะมีการ “ผลัดกันออกมา”
และบุคลิกแต่ละบุคลิกจะมีลักษณะเฉพาะ มีชื่อ ประวัติความเป็นมา รวมไปถึงนิสัยที่ต่างกันไปในแต่ละคน
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ในยามที่อยู่ในบุคลิกเดิมจะ “จำไม่ได้” ว่ามีอะไรเกิดขึ้นระหว่างที่บุคลิกอื่นออกมา
ในขณะที่บุคลิกอื่นที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่มักจะรู้และจำได้ว่ามีบุคลิกเดิมอยู่
โรคหลายบุคลิกมักพบในเพศหญิง และจะพบบ่อยครั้งในผู้ที่มีประวัติถูกทารุณกรรมทางเพศในช่วงวัยเด็ก
ส่งผลให้บุคลิกหลักหรือบุคลิกเดิมของผู้ป่วยที่เป็นคนอ่อนแอ ซึมเศร้า และขี้หวาดระแวง
ถูกคลุมทับด้วยบุคคลใหม่ที่ผู้ป่วยอยากเป็นและอยากทำ (ซึ่งเป็นและทำไม่ได้ในบุคลิกเดิม) ขึ้นมา
โดยบุคลิกเหล่านั้นจะแสดงออกมาเมื่อบุคลิกเดิมเกิดความกังวล หรืออยู่ในสถานการณ์ที่บุคลิกเดิมไม่สามารถรับมือได้
โรคหลายบุคลิกเป็นโรคเรื้อรังและอาการจะกำเริบเป็นช่วงๆ เมื่อผู้ป่วยอยู่ในสภาวะกดดัน
และจะทุเลาลงเมื่ออายุเลย 40 ปีไปแล้ว
อาการของโรคหลายบุคลิกสังเกตได้โดยง่าย อาทิ
1.ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่น เรียกร้องให้ผู้อื่นปรับตัว
2.เอาแต่ใจตัวเอง
3.ไม่รู้สึกว่าตัวเองมีปัญหาคิดว่าคนอื่นมีปัญหา
4.ไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม
5.มีปัญหาทางอารมณ์ซึ่งเป็นผลจากการปรับตัวไม่ดี
บุคลิกภาพผิดปกติประเภทต่างๆ แสดงออกอย่างมากมาย โดยทั้งหมดมีชื่อเฉพาะและอาการจำเพาะ ตัวอย่างเช่น
1.บุคลิกภาพผิดปกติแบบหวาดระแวง
2.บุคลิกภาพผิดปกติแบบแยกตัว
3.บุคลิกภาพผิดปกติแบบแปลกแยก
4.บุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคม (แบบอันธพาล)
5.บุคลิกภาพผิดปกติแบบฮิสทีเรีย
6.บุคลิกภาพผิดปกติแบบหลงตัวเอง
7.บุคลิกภาพผิดปกติแบบพึ่งพิงผู้อื่น
8.บุคลิกภาพผิดปกติแบบย้ำคิดย้ำทำ
9.บุคลิกภาพผิดปกติแบบหลบเลี่ยงปัญหา
10.บุคลิกภาพผิดปกติแบบไม่มีวุฒิภาวะ (เด็กไม่โต)
11.บุคลิกภาพผิดปกติแบบผสม
12.บุคลิกภาพผิดปกติแบบไม่อาจจัดกลุ่มได้
สาเหตุของโรคบุคลิกภาพผิดปกติ ประกอบด้วย การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสมไม่ถูกต้อง
การเผชิญปัญหาในชีวิตที่ทำให้การเรียนรู้ผิดไปจากเด็กทั่วไป ปัจจัยทางพันธุกรรม
การเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อม โรงเรียน และเพื่อน การรักษา
โรคหลายบุคลิกสามารถรักษาได้โดยใช้วิธีจิตบำบัด หรือสะกดจิต
โดยให้ผู้ป่วยได้ระบายในสิ่งที่ไม่สามารถบอกใครได้
จนเป็นสาเหตุให้เกิดการเบี่ยงเบนพฤติกรรมจนกลายเป็นสร้างบุคลิกต่างๆ ขึ้นมา
-------------------------------------------------------------------------------------------
╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮
Dissociative Trance Disorder
วิชาการกันขึ้นอีกระดับ ศัพท์ยากเริ่มมาละ
บทความเต็มๆ อ่านได้ที่ >>
http://www.ramamental.com/psychiatrist/dissociative-trance-disorder/
Introduction
Dissociative disorder จัดว่าเป็นกลุ่มโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่ง
ซึ่งมีลักษณะสำคัญ คือ มีการสูญเสียเพียงบางส่วน หรือทั้งหมดของบูรณาการตามปกติ (Normal integration)
ในเรื่องของ ความจำ ในอดีต, การรับรู้ ในเอกลักษณ์ และประสาทสัมผัส กับการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย
อย่างไรก็ตาม Dissociative Disorder มีความแตกต่างกันในแต่ละชนิดค่อนข้างมาก รวมทั้งมีปัจจัยทางด้านสังคม
ที่ทำให้อาการแสดงของโรคมีความหลากหลาย จนทำให้เกิดความสับสนและเข้าใจไม่ตรงกัน โดยเฉพาะในด้านการวินิจฉัย
The Concept of Dissociation
Janet (1889) ได้ให้คำจำกัดความของคำว่า
Disaggregation mentale ซึ่งมักมีความหมายเดียวกับภาวะ
Dissociation
ว่าเป็นกระบวนการของการแยกตัวของความคิด และ Cognition ซึ่งอยู่ในระดับจิตไร้สำนึกออกจากความรู้สึกตัวในภาวะปกติ
โดยที่ Janet อธิบาย โดยใช้ Deficit model ว่า
เป็นความผิดปกติของจิตใจที่ไม่สามารถควบคุมการแยกตัวนั้นได้
Breurer (1895) ได้เปรียบเทียบภาวะ
Dissociation กับภาวะ
Autohypnosis
คือ เมื่อบุคคลอยู่ใน Hypnoid State สิ่งต่างๆ ที่อยู่ในจิตไร้สำนึกจะปรากฎออกมา
Freud อธิบายปรากฎการณ์ของ
Dissociation ด้วย
Conflict model โดยที่เชื่อว่าบุคคลนั้นมี Conflict ซึ่งเป็น Traumatic Memories
ที่เกิดจากแรงขับดันในจิตใจและถูกกดไว้ในระดับจิตไร้สำนึก ด้วยกลไก Dissociation หรือที่ Freud ใช้คำว่า repression
ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาในระยะหลังที่พบภาวะ dissociation สัมพันธ์กับโรค post-traumatic stress disorder และ บุคคลที่มีประวัติ sexual abuse
Biological concept มีแนวคิดซึ่งเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับโรคลมชัก การทำงานที่ผิดปกติของ Dominance Cerebral Hemisphere, Dysyegulation of cerebral serotonergic function, หรือ Endogenous opiate
ระบาดวิทยา
ยังไม่มีการศึกษาที่เพียงพอ แต่ประมาณว่าพบได้ทั่วไป มีแนวโน้มว่าพบในประเทศที่กำลังพัฒนามากกว่าประเทศอุตสาหกรรม
มีบางการศึกษาเชื่อว่า
dissociative trance disorder เป็น
dissociative disorder ชนิดที่พบมากที่สุด
แต่ถ้ามองเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกาจะพบ
dissociative identity disorder มากกว่า
ทำให้คิดว่า
dissociative problem ในคนตะวันออก มีลักษณะการแทรกแซงของ
outside identity
ขณะที่ในคนตะวันตก แสดงออกในลักษณะ การต่อสู้ระหว่าง
inner identity ของตนเอง
สำหรับอุบัติการณ์ในประเทศไทย ยังไม่พบว่ามีการศึกษาโดยรวม มีบางการศึกษาซึ่งพอจะอธิบายลักษณะบางอย่างเกี่ยวกับอุบัติการณ์ของโรคนี้
- การศึกษาเรื่องผู้ป่วย โดย นพ.สงัน สุวรรณเลิศ (2513) จากจำนวนผู้ป่วย 50 คน
เป็นเพศหญิง 96%, เพศชาย 4%
อายุที่เริ่มมีอาการ 21-30 ปี = 38%
เป็นในผู้ที่มีครอบครัวแล้ว = 76%
มีอาการน้อยกว่า 1 ชั่วโมง = 98%
มีอาการเพียงครั้งเดียว = 44%
- นอกจากนี้ยังมีลักษณะการเกิดโรคที่เรียกว่า
ผีเข้าแบบกลุ่ม ซึ่งเมื่อพิจารณาในแต่ละบุคคล
ก็เข้าได้กับ dissociative trance disorder ซึ่งมีรายงานอยู่จำนวนไม่น้อย รวมทั้งที่เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์
-------------------------------------------------------------------------------------------
╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮
ลีลาวดีเพลิง
บทประพันธ์ "กิ่งฉัตร"
พระเอกทำไมถึงได้จ้องหาเรื่องนางเอกนัก จะเข้าใจผิดมองในแง่ร้ายไปถึงไหน ???
เป็นละครไทยที่พระเอกมาแนวหาเรื่องนางเอก มองในแง่ร้าย(อยู่ได้)
แต่พออ่านเรื่องกลไลทางจิตแล้ว ตัวละครก็ไม่ได้งี่เง่าหรือไร้เหตุผลนะ
แต่เป็นเพราะตัวละครใช้กลไกทางจิตเพื่อปรับสภาพจิตใจให้สมดุลโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว ...
(ไม่ได้อ่านนิยายค่ะ ดูแต่ละคร ไม่ทราบว่าในนิยายพระเอกจะหื่น เอ๊ย จะหาเรื่องนางเอกขนาดนี้ไหม)
พื้นฐานความเข้าใจเรื่องกลไกทางจิต
http://www.ramamental.com/medicalstudent/generalpsyc/psych_analysis_theory/
จิ้มไปอ่าน ที่ลิงก์เลยค่ะ
เราชอบอ่าน (แต่เดี๋ยวก็ลืม...-_-) เวลาดูหนังดูละครที่ตัวละครมีปัญหาทางจิตจะดูสนุกขึ้นอ่ะ
เท่าที่ดูละครลีลาวดีเพลิงมาสามตอน ตัวพระเอกเองก็มีปัญหาทางจิตอยู่เดิม
คือ จำเหตุการณ์ร้ายแรงในอดีตที่เกี่ยวกับการเสียชีวิตของแม่ที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก และเหตุการณ์ที่ตัวเองถูกทำร้ายไม่ได้
(เลยเดาว่า ความจำที่หายไปในช่วงนั้น อาจไม่ได้เกิดจากการถูกทำร้าย ตีหัว
แต่อาจเป็นกลไลป้องกันตัวเองทางจิตที่กดเก็บความจำที่เจ็บปวดนั้นไว้)
= เก็บกดความคิดความรู้สึกหรือความต้องการที่ตนเองยอมรับไม่ได้ไว้ในระดับจิตไร้สำนึก--->กลไก Repression
พอมาเจอนางเอกแล้วรู้สึกหลงรักตั้งแต่แรกเห็น แต่ดันเข้าใจว่านางเอกมีพฤติกรรมไม่ดีเรื่องชู้สาว ความรู้สึกเลยสับสน
ยิ่งพอแฟนเก่าที่เคยมีพฤติกรรมนอกใจกลับเข้ามาจะคืนดี เลยยิ่งเหวี่ยง รู้สึกโกรธเกลียดแฟนเก่าแต่กลับมาลงที่นางเอก ทำตัวแย่ๆ ใส่
เพราะรับไม่ได้ที่(เข้าใจว่า)นางเอกเป็นคนไม่ดี (นางเอกอยู่ในสถานะทางสังคมต่ำกว่า)
= การเปลี่ยนเป้าหมายที่ตนเองเกิดความรู้สึกไปยังทีอื่นซึ่งมีผลเสียต่อตนเองน้อยกว่า ---> กลไก Displacement
= ความต้องการหรือความรู้สึกที่ตนเองรับไม่ได้ถูกเปลี่ยนไปเป็นสิ่งในภาวะตรงข้ามและ ---> กลไก Reaction - formation
แต่ดูๆ ไป พระเอกเราน่าจะ "เยอะ" กว่าสามอย่างนี่นะ 55
ลีลาวดีเพลิงมีแต่คนน่าสงสัย พี่ชาย ลูกพี่ลูกน้องของพระเอกนี่ก็มีปัญหาทางจิตแน่ๆ
ไม่แน่ใจว่าเป็น บุคลิกภาพแตกแยกประเภทไหนหรือเปล่า
(ห้ามสปอยล์นะคะ พยายามไม่เข้ากระทู้ละครเลย อยากเดาเอง
มีเพื่อนบอกว่าที่เดาไว้แบบฮาร์ดคอร์ ถูกไป 90% ละ...รอลุ้น 5555)
-------------------------------------------------------------------------------------------
╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮
ตัวละครแนวเหวี่ยงๆ ไร้เหตุผลในบางเรื่อง ถึงจะเหมือนทำตัวงี่เง่าไร้เหตุผลในสายตาคนทั่วไป แต่ก็เป็นไปตามกลไกทางจิต
แบบนี้จะดูแล้วสนุกค่ะ เพราะคนเขียนจะสร้างปมที่มีที่มาที่ไปให้ตัวละคร สร้างความขัดแย้ง แล้วก็คลี่คลาย อย่างมีเหตุผล
คนดูก็จะสามารถคาดเดาได้ว่า ต่อไปความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร "น่าจะ" คลี่คลายไปได้ยังไง
แต่บางเรื่องดูแล้วไม่เข้าใจเลยว่าตัวละครมีปัญหาแบบนี้แล้วทำไมมีพฤติกรรมแบบนั้น
ทำให้ไม่อิน..ไม่เชื่อในพฤติกรรมตัวละคร
เลยต้องเลิกดูกลางคัน หักดิบมันกลางเรื่อง เพราะดูไปก็เครียดแล้วไม่รู้จะใช้กลไก displacement เอากับใคร

...

นั่งหาอ่านเพลินๆ เพราะไม่รู้จะออกไปไหนในวันเด็ก 55
เลยเอามาแชร์กันเผื่อจะดูละครแล้วสนุกขึ้น
ผิดถูกยังไงก็เพิ่มเติมได้เลยค่ะ
Kill Me, Heal Me --- โรคหลายบุคลิกและกลไกป้องกันตัวเองทางจิตของตัวละคร
Kill Me, Heal Me --- โรคหลายบุคลิกของพระเอก
ลีลาวดีเพลิง --- กลไกป้องกันตัวเองทางจิตของพระเอก
มาทำความรู้จักอาการของพระเอกมีปัญหาทางจิตจากสองเรื่องนี้กันค่ะ
ขี้เกียจตั้งกระทู้แยก รวมกันเลยเนอะ
มีพระเอกป่วยทางจิตทั้งสองคนในกระทู้เดียว คุ้มเบย ~
Kill Me, Heal Me
รู้กันแล้วจากเรื่องย่อว่าพระเอกของเราจะมีบุคลิกภาพที่แตกต่างถึง 7 แบบในคนคนเดียว
และต้องอาศัยนางเอกซึ่งเป็นจิตแพทย์มาช่วยบำบัดให้โดยไม่เปิดเผย
Kill Me, Heal Me ก็คงหมายถึง การบำบัดให้หายจากโรคหลายบุคลิก
โดยการ กำจัด บุคลิกที่ไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงออกไป
แต่ถ้าอ้างอิงเรื่อง "ตัวตนที่แท้จริง" จากหนังเรื่องอื่นๆ เช่น ภาพยนตร์เรื่อง Identity
ก็คงมีลุ้นว่า บุคลิกไหนกันแน่ที่เป็นตัวตนที่แท้จริงของพระเอก
บุคลิกอื่นนอกจากตัวตนเดิมของพระเอก จะเป็นไปตามบทความต่อไปนี้หรือเปล่าก็ไม่รู้
ต้องคอยดูกันต่อไปค่ะ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮
【 อาการของโรคหลายบุคลิก 】
จากเว็บ > https://blog.eduzones.com/snowytest/117614
ตัวละครในภาพยนตร์หลายเรื่องต้องเผชิญชะตากรรมความกดดันอย่างแสนสาหัส
บางเรื่องเล่าเหตุการณ์เงื่อนปมในวัยเด็ก บาดแผลในจิตใจที่ฝังรากลงลึกไปในระดับสามัญสำนึก
ผลพวงจากความคับแค้นเหล่านั้นสะท้อนให้พฤติกรรมของตัวละครมีความผิดแผกไปจากความปกติ
ในช่วงวัยรุ่น และลามไปถึงวัยผู้ใหญ่ วัยกลางคน
พฤติกรรมหนึ่งที่ภาพยนตร์มักสะท้อนให้เห็น คือพฤติกรรมของตัวละคร ที่ห้วงเวลาหนึ่งมีบุคลิกหนึ่ง
ห้วงเวลาต่อมากลับกลายเป็นบุคคลอีกคนหนึ่ง ในกรณีนี้ทางจิตเวชสะท้อนถึงอาการป่วย
โรคหลายบุคลิก Dissociative Identity Disorder (DID) หรือ Multiple Personality Disorder (MPD)
เป็นโรคที่ถูกจัดอยู่ในประเภท Dissociative Disorder
ซึ่งโรคในกลุ่มนี้จะมีลักษณะที่เกี่ยวข้องกับสติสัมปชัญญะ ความทรงจำ เอกลักษณ์ และการรับรู้สภาวะแวดล้อม
ลักษณะของผู้ป่วย คือ จะมีบุคลิกที่เป็นนิสัยตั้งแต่ 2 บุคลิกขึ้นไป โดยแต่ละบุคลิกจะมีการ “ผลัดกันออกมา”
และบุคลิกแต่ละบุคลิกจะมีลักษณะเฉพาะ มีชื่อ ประวัติความเป็นมา รวมไปถึงนิสัยที่ต่างกันไปในแต่ละคน
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ในยามที่อยู่ในบุคลิกเดิมจะ “จำไม่ได้” ว่ามีอะไรเกิดขึ้นระหว่างที่บุคลิกอื่นออกมา
ในขณะที่บุคลิกอื่นที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่มักจะรู้และจำได้ว่ามีบุคลิกเดิมอยู่
โรคหลายบุคลิกมักพบในเพศหญิง และจะพบบ่อยครั้งในผู้ที่มีประวัติถูกทารุณกรรมทางเพศในช่วงวัยเด็ก
ส่งผลให้บุคลิกหลักหรือบุคลิกเดิมของผู้ป่วยที่เป็นคนอ่อนแอ ซึมเศร้า และขี้หวาดระแวง
ถูกคลุมทับด้วยบุคคลใหม่ที่ผู้ป่วยอยากเป็นและอยากทำ (ซึ่งเป็นและทำไม่ได้ในบุคลิกเดิม) ขึ้นมา
โดยบุคลิกเหล่านั้นจะแสดงออกมาเมื่อบุคลิกเดิมเกิดความกังวล หรืออยู่ในสถานการณ์ที่บุคลิกเดิมไม่สามารถรับมือได้
โรคหลายบุคลิกเป็นโรคเรื้อรังและอาการจะกำเริบเป็นช่วงๆ เมื่อผู้ป่วยอยู่ในสภาวะกดดัน
และจะทุเลาลงเมื่ออายุเลย 40 ปีไปแล้ว
อาการของโรคหลายบุคลิกสังเกตได้โดยง่าย อาทิ
1.ไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับผู้อื่น เรียกร้องให้ผู้อื่นปรับตัว
2.เอาแต่ใจตัวเอง
3.ไม่รู้สึกว่าตัวเองมีปัญหาคิดว่าคนอื่นมีปัญหา
4.ไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม
5.มีปัญหาทางอารมณ์ซึ่งเป็นผลจากการปรับตัวไม่ดี
บุคลิกภาพผิดปกติประเภทต่างๆ แสดงออกอย่างมากมาย โดยทั้งหมดมีชื่อเฉพาะและอาการจำเพาะ ตัวอย่างเช่น
1.บุคลิกภาพผิดปกติแบบหวาดระแวง
2.บุคลิกภาพผิดปกติแบบแยกตัว
3.บุคลิกภาพผิดปกติแบบแปลกแยก
4.บุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคม (แบบอันธพาล)
5.บุคลิกภาพผิดปกติแบบฮิสทีเรีย
6.บุคลิกภาพผิดปกติแบบหลงตัวเอง
7.บุคลิกภาพผิดปกติแบบพึ่งพิงผู้อื่น
8.บุคลิกภาพผิดปกติแบบย้ำคิดย้ำทำ
9.บุคลิกภาพผิดปกติแบบหลบเลี่ยงปัญหา
10.บุคลิกภาพผิดปกติแบบไม่มีวุฒิภาวะ (เด็กไม่โต)
11.บุคลิกภาพผิดปกติแบบผสม
12.บุคลิกภาพผิดปกติแบบไม่อาจจัดกลุ่มได้
สาเหตุของโรคบุคลิกภาพผิดปกติ ประกอบด้วย การเลี้ยงดูที่ไม่เหมาะสมไม่ถูกต้อง
การเผชิญปัญหาในชีวิตที่ทำให้การเรียนรู้ผิดไปจากเด็กทั่วไป ปัจจัยทางพันธุกรรม
การเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อม โรงเรียน และเพื่อน การรักษา
โรคหลายบุคลิกสามารถรักษาได้โดยใช้วิธีจิตบำบัด หรือสะกดจิต
โดยให้ผู้ป่วยได้ระบายในสิ่งที่ไม่สามารถบอกใครได้
จนเป็นสาเหตุให้เกิดการเบี่ยงเบนพฤติกรรมจนกลายเป็นสร้างบุคลิกต่างๆ ขึ้นมา
-------------------------------------------------------------------------------------------
╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮
Dissociative Trance Disorder
วิชาการกันขึ้นอีกระดับ ศัพท์ยากเริ่มมาละ
บทความเต็มๆ อ่านได้ที่ >> http://www.ramamental.com/psychiatrist/dissociative-trance-disorder/
Introduction
Dissociative disorder จัดว่าเป็นกลุ่มโรคทางจิตเวชชนิดหนึ่ง
ซึ่งมีลักษณะสำคัญ คือ มีการสูญเสียเพียงบางส่วน หรือทั้งหมดของบูรณาการตามปกติ (Normal integration)
ในเรื่องของ ความจำ ในอดีต, การรับรู้ ในเอกลักษณ์ และประสาทสัมผัส กับการควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย
อย่างไรก็ตาม Dissociative Disorder มีความแตกต่างกันในแต่ละชนิดค่อนข้างมาก รวมทั้งมีปัจจัยทางด้านสังคม
ที่ทำให้อาการแสดงของโรคมีความหลากหลาย จนทำให้เกิดความสับสนและเข้าใจไม่ตรงกัน โดยเฉพาะในด้านการวินิจฉัย
The Concept of Dissociation
Janet (1889) ได้ให้คำจำกัดความของคำว่า Disaggregation mentale ซึ่งมักมีความหมายเดียวกับภาวะ Dissociation
ว่าเป็นกระบวนการของการแยกตัวของความคิด และ Cognition ซึ่งอยู่ในระดับจิตไร้สำนึกออกจากความรู้สึกตัวในภาวะปกติ
โดยที่ Janet อธิบาย โดยใช้ Deficit model ว่า เป็นความผิดปกติของจิตใจที่ไม่สามารถควบคุมการแยกตัวนั้นได้
Breurer (1895) ได้เปรียบเทียบภาวะ Dissociation กับภาวะ Autohypnosis
คือ เมื่อบุคคลอยู่ใน Hypnoid State สิ่งต่างๆ ที่อยู่ในจิตไร้สำนึกจะปรากฎออกมา
Freud อธิบายปรากฎการณ์ของ Dissociation ด้วย Conflict model โดยที่เชื่อว่าบุคคลนั้นมี Conflict ซึ่งเป็น Traumatic Memories
ที่เกิดจากแรงขับดันในจิตใจและถูกกดไว้ในระดับจิตไร้สำนึก ด้วยกลไก Dissociation หรือที่ Freud ใช้คำว่า repression
ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาในระยะหลังที่พบภาวะ dissociation สัมพันธ์กับโรค post-traumatic stress disorder และ บุคคลที่มีประวัติ sexual abuse
Biological concept มีแนวคิดซึ่งเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับโรคลมชัก การทำงานที่ผิดปกติของ Dominance Cerebral Hemisphere, Dysyegulation of cerebral serotonergic function, หรือ Endogenous opiate
ระบาดวิทยา
ยังไม่มีการศึกษาที่เพียงพอ แต่ประมาณว่าพบได้ทั่วไป มีแนวโน้มว่าพบในประเทศที่กำลังพัฒนามากกว่าประเทศอุตสาหกรรม
มีบางการศึกษาเชื่อว่า dissociative trance disorder เป็น dissociative disorder ชนิดที่พบมากที่สุด
แต่ถ้ามองเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกาจะพบ dissociative identity disorder มากกว่า
ทำให้คิดว่า dissociative problem ในคนตะวันออก มีลักษณะการแทรกแซงของ outside identity
ขณะที่ในคนตะวันตก แสดงออกในลักษณะ การต่อสู้ระหว่าง inner identity ของตนเอง
สำหรับอุบัติการณ์ในประเทศไทย ยังไม่พบว่ามีการศึกษาโดยรวม มีบางการศึกษาซึ่งพอจะอธิบายลักษณะบางอย่างเกี่ยวกับอุบัติการณ์ของโรคนี้
- การศึกษาเรื่องผู้ป่วย โดย นพ.สงัน สุวรรณเลิศ (2513) จากจำนวนผู้ป่วย 50 คน
เป็นเพศหญิง 96%, เพศชาย 4%
อายุที่เริ่มมีอาการ 21-30 ปี = 38%
เป็นในผู้ที่มีครอบครัวแล้ว = 76%
มีอาการน้อยกว่า 1 ชั่วโมง = 98%
มีอาการเพียงครั้งเดียว = 44%
- นอกจากนี้ยังมีลักษณะการเกิดโรคที่เรียกว่า ผีเข้าแบบกลุ่ม ซึ่งเมื่อพิจารณาในแต่ละบุคคล
ก็เข้าได้กับ dissociative trance disorder ซึ่งมีรายงานอยู่จำนวนไม่น้อย รวมทั้งที่เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์
-------------------------------------------------------------------------------------------
╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮
ลีลาวดีเพลิง
บทประพันธ์ "กิ่งฉัตร"
พระเอกทำไมถึงได้จ้องหาเรื่องนางเอกนัก จะเข้าใจผิดมองในแง่ร้ายไปถึงไหน ???
เป็นละครไทยที่พระเอกมาแนวหาเรื่องนางเอก มองในแง่ร้าย(อยู่ได้)
แต่พออ่านเรื่องกลไลทางจิตแล้ว ตัวละครก็ไม่ได้งี่เง่าหรือไร้เหตุผลนะ
แต่เป็นเพราะตัวละครใช้กลไกทางจิตเพื่อปรับสภาพจิตใจให้สมดุลโดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัว ...
(ไม่ได้อ่านนิยายค่ะ ดูแต่ละคร ไม่ทราบว่าในนิยายพระเอกจะหื่น เอ๊ย จะหาเรื่องนางเอกขนาดนี้ไหม)
พื้นฐานความเข้าใจเรื่องกลไกทางจิต
http://www.ramamental.com/medicalstudent/generalpsyc/psych_analysis_theory/
จิ้มไปอ่าน ที่ลิงก์เลยค่ะ
เราชอบอ่าน (แต่เดี๋ยวก็ลืม...-_-) เวลาดูหนังดูละครที่ตัวละครมีปัญหาทางจิตจะดูสนุกขึ้นอ่ะ
เท่าที่ดูละครลีลาวดีเพลิงมาสามตอน ตัวพระเอกเองก็มีปัญหาทางจิตอยู่เดิม
คือ จำเหตุการณ์ร้ายแรงในอดีตที่เกี่ยวกับการเสียชีวิตของแม่ที่เกิดขึ้นในวัยเด็ก และเหตุการณ์ที่ตัวเองถูกทำร้ายไม่ได้
(เลยเดาว่า ความจำที่หายไปในช่วงนั้น อาจไม่ได้เกิดจากการถูกทำร้าย ตีหัว
แต่อาจเป็นกลไลป้องกันตัวเองทางจิตที่กดเก็บความจำที่เจ็บปวดนั้นไว้)
= เก็บกดความคิดความรู้สึกหรือความต้องการที่ตนเองยอมรับไม่ได้ไว้ในระดับจิตไร้สำนึก--->กลไก Repression
พอมาเจอนางเอกแล้วรู้สึกหลงรักตั้งแต่แรกเห็น แต่ดันเข้าใจว่านางเอกมีพฤติกรรมไม่ดีเรื่องชู้สาว ความรู้สึกเลยสับสน
ยิ่งพอแฟนเก่าที่เคยมีพฤติกรรมนอกใจกลับเข้ามาจะคืนดี เลยยิ่งเหวี่ยง รู้สึกโกรธเกลียดแฟนเก่าแต่กลับมาลงที่นางเอก ทำตัวแย่ๆ ใส่
เพราะรับไม่ได้ที่(เข้าใจว่า)นางเอกเป็นคนไม่ดี (นางเอกอยู่ในสถานะทางสังคมต่ำกว่า)
= การเปลี่ยนเป้าหมายที่ตนเองเกิดความรู้สึกไปยังทีอื่นซึ่งมีผลเสียต่อตนเองน้อยกว่า ---> กลไก Displacement
= ความต้องการหรือความรู้สึกที่ตนเองรับไม่ได้ถูกเปลี่ยนไปเป็นสิ่งในภาวะตรงข้ามและ ---> กลไก Reaction - formation
แต่ดูๆ ไป พระเอกเราน่าจะ "เยอะ" กว่าสามอย่างนี่นะ 55
ลีลาวดีเพลิงมีแต่คนน่าสงสัย พี่ชาย ลูกพี่ลูกน้องของพระเอกนี่ก็มีปัญหาทางจิตแน่ๆ
ไม่แน่ใจว่าเป็น บุคลิกภาพแตกแยกประเภทไหนหรือเปล่า
(ห้ามสปอยล์นะคะ พยายามไม่เข้ากระทู้ละครเลย อยากเดาเอง
มีเพื่อนบอกว่าที่เดาไว้แบบฮาร์ดคอร์ ถูกไป 90% ละ...รอลุ้น 5555)
-------------------------------------------------------------------------------------------
╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮╰☆╮
ตัวละครแนวเหวี่ยงๆ ไร้เหตุผลในบางเรื่อง ถึงจะเหมือนทำตัวงี่เง่าไร้เหตุผลในสายตาคนทั่วไป แต่ก็เป็นไปตามกลไกทางจิต
แบบนี้จะดูแล้วสนุกค่ะ เพราะคนเขียนจะสร้างปมที่มีที่มาที่ไปให้ตัวละคร สร้างความขัดแย้ง แล้วก็คลี่คลาย อย่างมีเหตุผล
คนดูก็จะสามารถคาดเดาได้ว่า ต่อไปความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร "น่าจะ" คลี่คลายไปได้ยังไง
แต่บางเรื่องดูแล้วไม่เข้าใจเลยว่าตัวละครมีปัญหาแบบนี้แล้วทำไมมีพฤติกรรมแบบนั้น
ทำให้ไม่อิน..ไม่เชื่อในพฤติกรรมตัวละคร
เลยต้องเลิกดูกลางคัน หักดิบมันกลางเรื่อง เพราะดูไปก็เครียดแล้วไม่รู้จะใช้กลไก displacement เอากับใคร
...
นั่งหาอ่านเพลินๆ เพราะไม่รู้จะออกไปไหนในวันเด็ก 55
เลยเอามาแชร์กันเผื่อจะดูละครแล้วสนุกขึ้น
ผิดถูกยังไงก็เพิ่มเติมได้เลยค่ะ