แด่เธอผู้จากไป... เรื่องจริงที่อยากเล่าเป็นธรรมทาน ให้เห็นคุณค่าของคนที่อยู่ .. "ข้างตัว”
ขอบคุณสำหรับทุกๆกำลังใจจากใจจริงค่ะ และสิ่งที่เราอยากจะขอมีเพียงแค่ ... "ช่วยร่วมกันอธิฐานให้เค้าไปสู่สุขคติ" ... เขาไม่ได้จากไปอย่างสูญเปล่า... เพราะเค้าได้ทิ้งสิ่งที่มีคุณค่า นั่นคือ ธรรมะแห่งสติ ในการดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท ไว้ใจในของพวกเราทุกคนค่ะ ...
"ขอส่งผ่านทุกๆกำลังใจนี้ไปยัง ครอบครัว พี่น้อง เพื่อนๆ คนรัก และทุกคนที่เค้ารู้จัก ขอให้ทุกคนเข้มแข็งขึ้นได้ในเร็ววันค่ะ"
ขอเริ่มเลยแล้วกันนะคะ
“เรา” พบกับ “เค้า” เมื่อ 10 ปีที่แล้วค่ะ...
เค้าเป็นรุ่นน้อง ที่อายุห่างกันตั้ง 5 ปี เค้าเป็นลูกชายของเพื่อนสนิทพ่อค่ะ เลยทำให้รู้จักกันค่ะ แต่ที่เริ่มสนิทกันเพราะ ตอนนั้น เราย้ายบ้านมาอยู่ซอยเดียวกันกับบ้านเค้าค่ะ
ช่วงปีแรกของการพบกัน ด้วยความที่พ่อเรากับพ่อเค้าเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก เวลามีงานบุญอะไรให้ช่วย พ่อเราก็มักจะไปช่วยตลอดค่ะ ไม่ว่าจะงานบวช งานแต่ง งานศพ ก็ไปช่วยหมดค่ะ ตอนนั้น เราอายุ 15 จังหวะที่ย้ายบ้านไปอยู่ซอยดียวกันกับเค้าพอดี ก็เลยเหมือนได้มีโอกาสได้รู้จักกัน ใกล้ชิดกันมากขึ้นทั้งๆที่ตอนนั้น เค้าเองอยู่แค่ ป.5 แต่เราอยู่ ม.3 ห่างกันแบบ คนละวัยเลยค่ะ
“เค้า” เป็นคนร่าเริงค่ะ ขี้เล่น ขี้แกล้ง ชนิดที่เรานั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้เลยค่ะ โดนแหย่โดนแกล้งตลอด และที่สาคัญเป็นคนที่ .. “ตาสวย” มากค่ะ ขนตายาวเป็นแพร ตาหวานเหมือนผู้หญิงเลยค่ะ
อย่างที่บอกค่ะ “เค้า” เป็นคนขี้เล่นมาก อยู่ไม่สุข เป็นเด็กร่าเริง มักมีแต่เสียงหัวเราะ...เวลาเจอกันทีไร ก็จะหาเรื่องให้เราหัวเราะได้ตลอดด้วยวิธีของเค้าน่ะค่ะ แหย่บ้าง แกล้งบ้าง ชวนไปนู่น ชวนมานี่ ... ตอนนั้น เราก็ไม่ได้คิดอะไรหรอกค่ะ คิดว่าเด็กคิดว่าเป็นน้อง แต่อยู่ไปอยู่มา เราเองต่างหากที่เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่...มันมีความรู้สึกบางอย่างที่มากกว่าคาว่า “พี่ น้อง” ค่ะ ... เพราะสิ่งที่เค้าทำคือ ปั่นจักรยานมาดักรอหน้าบ้าน ตอน 3 โมงเย็นซึ่งเป็นเวลาที่เราจะลงมาล้างจานหน้าบ้านทุกวัน ย้ำ !! นะคะ ทุกวันจริงๆ ขี่วนไปวนมาวันละหลายๆรอบ แรกๆก็ไม่ได้ทัก ขี่ผ่านไปผ่านมาเฉยๆ เราก็ไม่ได้คิดอะไร จนพักหลังๆเริ่มส่งเสียง ตุ๊กแก! (555) บ้าง หรือตะโกนถามว่า ทำไรอ่ะ? บ้าง เหมือนอยากคุยด้วย ตามสไตล์เด็กๆของเค้าค่ะ 555 ... ซึ่งจากที่เฉยๆ จนกลายเป็นว่าเราจะซ้อนจักรยานเค้าไปขี่รถเล่นทุกวันเป็นกิจวัตรประจำวัน... ช่วงนั้น สนิทกันค่ะ จนคนแถวบ้าน พวกเพื่อนๆพ่อยังแซว 555
มีเรื่องน่ารักของเค้าหลายๆอย่างค่ะที่เราจำได้ ... ตอนนั้น เค้าเป็น เด็กตัวเล็กค่ะ ซนด้วย แต่แข็งแรง ร่าเริง ตอนซ้อนจักรยานเค้า เหมือนจะหนักนะ เราก็เป็นห่วง แต่ก็รู้ได้ว่าเค้าพยายาม ส่ายไปส่ายมาบ้างแต่ไม่มีคำว่าไม่ไหวค่ะ ^^
วันเวลาผ่านไป...ความสัมพันธ์เริ่มพัฒนาค่ะ ความใกล้ชิดทำให้มันมีความรู้สึกดีดีต่อกันค่ะ โทรคุยกันบ้างบางครัง้ วันที่ไม่ได้เจอ แต่ด้วยความที่อายุห่างกันค่อนข้างเยอะ และตอนนั้นคงยังไม่เข้าใจค่ะว่าความรักคืออะไร ณ วันนี้เราเลยมองว่ามันเป็นความรู้สึกของเพื่อนสนิทค่ะ ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่ “สวยงาม” มากค่ะ...
มารับหน้าบ้าน ขี่จักยานเล่น หกล้ม สอนการบ้าน ... ยิ้ม หัวเราะ แบบนี้ทุกวัน จนวันหนึ่งที่มรสุมใหญ่ซัดเข้ามาในครอบครัวเรา
ค่ะ (มาถึงตรงนี้ขอไม่เล่ารายละเอียดนะคะ) ซึ่ง มันเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เราต้องย้ายที่อยู่อีกครั้ง พวกเราก็เลยค่อยๆห่างกันเรื่อยๆค่ะ
ย่างเข้าปีที่ 3 ของการพบกัน เค้าย้ายมาอยู่โรงเรียนเดียวกับเราตอนเข้ามัธยมค่ะ เค้าอยู่ ม.1 เราอยู่ ม.6 ช่วงนั้น เป็นช่วงที่ได้เจอกันบ้างประปลายค่ะ แต่ความแตกต่างเรื่องช่วงวัยมันเริ่มชัดเจนค่ะ เค้าเป็นเด็กม.ต้นที่ชีวิตกาลังสนุกกับเพื่อนๆและโลกใหม่ที่เพิ่งเปิดกว้างขึ้น ส่วนเราเป็นเด็กม.ปลายที่ชีวิตวุ่นอยู่กับการทางานพาร์ไทม์และเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัย ถ้าให้พูดจริงๆตอนนั้น เราก็ลืมความสาคัญของความสัมพันธ์นี้ไปเลยชั่วขณะหนึ่งค่ะ...
หลังเรียนจบม.6 เราซิ้ว 1 ปี ค่ะและหลังจากนั้น เราก็สอบเข้าได้ที่มหาลัยแห่งหนึ่งแถวชลบุรีค่ะ 4 ปีระหว่างที่เรียนมหาลัย เรากับเค้าไม่ได้เจอกันเลยค่ะ ขาดการติดต่อกันไปเลย 4 ปี เต็ม มีเพียงแค่ครั้ง เดียวช่วงปี 4 เทอมต้น ที่มีโอกาสได้เจอกันแค่แว๊บเดียว ซึ่ง ในตอนนั้นเค้าก็โตเป็นหนุ่มหล่อที่ถ้าเจอกันข้างนอกเราก็คงจำไม่ได้แน่นอนค่ะ และเป็นเพราะธรรมชาติของเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงค่ะ ที่เมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่นก็จะมีเส้นกั้น บางๆระหว่างเพศค่ะ ส่วนหนึ่งคือความรู้สึกสนใจในเพศตรงข้ามที่มันทำให้มีความรู้สึกเขินอาย หรือความไม่สนิทใจเกิดขึ้น ค่ะ สาหรับตัวเราในตอนนั้น เราก็ไม่กล้าออกตัวเยอะค่ะเพราะเราเป็นผู้หญิงโตขึ้นยิ่งต้องวางตัว เช่นเดียวกับกับเค้าที่ค่อยๆโตขึ้นเป็นหนุ่มหล่อ ^^ ทั้งที่เมื่อก่อนสนิทกันก็เถอะ เราสองคนก็เลยไม่ได้พูดอะไรกันเลยแม้แต่คำเดียว
เวลาผ่านไปอีก 1 ปี เต็มๆค่ะ ชีวิตเราเริ่มก้าวสู่วัยผู้ใหญ่ ผ่านช่วงฝึกงาน จนได้งานทำเป็นหลักแหล่ง เริ่มเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาค่ะ ส่วนเค้าก็โตเป็นหนุ่มหล่อที่มีสาวติดตรึม และเจ้าชู้จนที่ไม่น่าแปลกใจเลยเพราะนิสัยมันส่อแววมาตั้งแต่เด็ก 555 ... เรามีโอกาสได้เจอเค้าอีกครั้ง ในปีที่ 9 ของการพบกัน ในงานอันเป็นมงคลของพี่ชายเค้า งานบวชค่ะ และมันก็...ตามเดิมค่ะ ... เค้ากลายเป็นหนุ่มหล่อที่มีเสน่ห์ที่เราได้แต่มองดูอยู่เบื้องหลังไกลๆ เพราะอย่างที่บอกไปค่ะ จริงๆถ้าแค่คิดว่าเคยสนิทกัน ถ้าคิดได้แค่นั้นตั้งแต่แรกก็คงจะดี...แต่เพราะเราก็ทิฐิเยอะ คือ เราโตกว่า เป็นผู้หญิงอีก จะให้วิ่งไปทักเหมือนตอนเด็กๆมันก็คงทำไม่ได้แล้ว เค้าเองก็ยุ่งๆกับการช่วยงาน และเราก็ต้องรีบกลับเพราะต้องไปทำงานต่อ...
จนสุดท้ายก็เลยไม่มีโอกาสได้คุยกัน ... ซึ่งมันก็เป็นเวลานานถึง 5 ปีเต็ม...
และสุดท้าย ... วันที่ไม่สามารถพูดอะไรกับเค้าได้อีกก็มาถึง ...
แด่เธอผู้จากไป... เรื่องจริงที่อยากเล่าเป็นธรรมทาน ให้เห็นคุณค่าของคนที่อยู่ ... "ข้างตัว”
ขอบคุณสำหรับทุกๆกำลังใจจากใจจริงค่ะ และสิ่งที่เราอยากจะขอมีเพียงแค่ ... "ช่วยร่วมกันอธิฐานให้เค้าไปสู่สุขคติ" ... เขาไม่ได้จากไปอย่างสูญเปล่า... เพราะเค้าได้ทิ้งสิ่งที่มีคุณค่า นั่นคือ ธรรมะแห่งสติ ในการดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท ไว้ใจในของพวกเราทุกคนค่ะ ...
"ขอส่งผ่านทุกๆกำลังใจนี้ไปยัง ครอบครัว พี่น้อง เพื่อนๆ คนรัก และทุกคนที่เค้ารู้จัก ขอให้ทุกคนเข้มแข็งขึ้นได้ในเร็ววันค่ะ"
ขอเริ่มเลยแล้วกันนะคะ
“เรา” พบกับ “เค้า” เมื่อ 10 ปีที่แล้วค่ะ...
เค้าเป็นรุ่นน้อง ที่อายุห่างกันตั้ง 5 ปี เค้าเป็นลูกชายของเพื่อนสนิทพ่อค่ะ เลยทำให้รู้จักกันค่ะ แต่ที่เริ่มสนิทกันเพราะ ตอนนั้น เราย้ายบ้านมาอยู่ซอยเดียวกันกับบ้านเค้าค่ะ
ช่วงปีแรกของการพบกัน ด้วยความที่พ่อเรากับพ่อเค้าเป็นเพื่อนสนิทกันมาตั้งแต่เด็ก เวลามีงานบุญอะไรให้ช่วย พ่อเราก็มักจะไปช่วยตลอดค่ะ ไม่ว่าจะงานบวช งานแต่ง งานศพ ก็ไปช่วยหมดค่ะ ตอนนั้น เราอายุ 15 จังหวะที่ย้ายบ้านไปอยู่ซอยดียวกันกับเค้าพอดี ก็เลยเหมือนได้มีโอกาสได้รู้จักกัน ใกล้ชิดกันมากขึ้นทั้งๆที่ตอนนั้น เค้าเองอยู่แค่ ป.5 แต่เราอยู่ ม.3 ห่างกันแบบ คนละวัยเลยค่ะ
“เค้า” เป็นคนร่าเริงค่ะ ขี้เล่น ขี้แกล้ง ชนิดที่เรานั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้เลยค่ะ โดนแหย่โดนแกล้งตลอด และที่สาคัญเป็นคนที่ .. “ตาสวย” มากค่ะ ขนตายาวเป็นแพร ตาหวานเหมือนผู้หญิงเลยค่ะ
อย่างที่บอกค่ะ “เค้า” เป็นคนขี้เล่นมาก อยู่ไม่สุข เป็นเด็กร่าเริง มักมีแต่เสียงหัวเราะ...เวลาเจอกันทีไร ก็จะหาเรื่องให้เราหัวเราะได้ตลอดด้วยวิธีของเค้าน่ะค่ะ แหย่บ้าง แกล้งบ้าง ชวนไปนู่น ชวนมานี่ ... ตอนนั้น เราก็ไม่ได้คิดอะไรหรอกค่ะ คิดว่าเด็กคิดว่าเป็นน้อง แต่อยู่ไปอยู่มา เราเองต่างหากที่เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่...มันมีความรู้สึกบางอย่างที่มากกว่าคาว่า “พี่ น้อง” ค่ะ ... เพราะสิ่งที่เค้าทำคือ ปั่นจักรยานมาดักรอหน้าบ้าน ตอน 3 โมงเย็นซึ่งเป็นเวลาที่เราจะลงมาล้างจานหน้าบ้านทุกวัน ย้ำ !! นะคะ ทุกวันจริงๆ ขี่วนไปวนมาวันละหลายๆรอบ แรกๆก็ไม่ได้ทัก ขี่ผ่านไปผ่านมาเฉยๆ เราก็ไม่ได้คิดอะไร จนพักหลังๆเริ่มส่งเสียง ตุ๊กแก! (555) บ้าง หรือตะโกนถามว่า ทำไรอ่ะ? บ้าง เหมือนอยากคุยด้วย ตามสไตล์เด็กๆของเค้าค่ะ 555 ... ซึ่งจากที่เฉยๆ จนกลายเป็นว่าเราจะซ้อนจักรยานเค้าไปขี่รถเล่นทุกวันเป็นกิจวัตรประจำวัน... ช่วงนั้น สนิทกันค่ะ จนคนแถวบ้าน พวกเพื่อนๆพ่อยังแซว 555
มีเรื่องน่ารักของเค้าหลายๆอย่างค่ะที่เราจำได้ ... ตอนนั้น เค้าเป็น เด็กตัวเล็กค่ะ ซนด้วย แต่แข็งแรง ร่าเริง ตอนซ้อนจักรยานเค้า เหมือนจะหนักนะ เราก็เป็นห่วง แต่ก็รู้ได้ว่าเค้าพยายาม ส่ายไปส่ายมาบ้างแต่ไม่มีคำว่าไม่ไหวค่ะ ^^
วันเวลาผ่านไป...ความสัมพันธ์เริ่มพัฒนาค่ะ ความใกล้ชิดทำให้มันมีความรู้สึกดีดีต่อกันค่ะ โทรคุยกันบ้างบางครัง้ วันที่ไม่ได้เจอ แต่ด้วยความที่อายุห่างกันค่อนข้างเยอะ และตอนนั้นคงยังไม่เข้าใจค่ะว่าความรักคืออะไร ณ วันนี้เราเลยมองว่ามันเป็นความรู้สึกของเพื่อนสนิทค่ะ ซึ่งมันเป็นความรู้สึกที่ “สวยงาม” มากค่ะ...
มารับหน้าบ้าน ขี่จักยานเล่น หกล้ม สอนการบ้าน ... ยิ้ม หัวเราะ แบบนี้ทุกวัน จนวันหนึ่งที่มรสุมใหญ่ซัดเข้ามาในครอบครัวเรา
ค่ะ (มาถึงตรงนี้ขอไม่เล่ารายละเอียดนะคะ) ซึ่ง มันเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เราต้องย้ายที่อยู่อีกครั้ง พวกเราก็เลยค่อยๆห่างกันเรื่อยๆค่ะ
ย่างเข้าปีที่ 3 ของการพบกัน เค้าย้ายมาอยู่โรงเรียนเดียวกับเราตอนเข้ามัธยมค่ะ เค้าอยู่ ม.1 เราอยู่ ม.6 ช่วงนั้น เป็นช่วงที่ได้เจอกันบ้างประปลายค่ะ แต่ความแตกต่างเรื่องช่วงวัยมันเริ่มชัดเจนค่ะ เค้าเป็นเด็กม.ต้นที่ชีวิตกาลังสนุกกับเพื่อนๆและโลกใหม่ที่เพิ่งเปิดกว้างขึ้น ส่วนเราเป็นเด็กม.ปลายที่ชีวิตวุ่นอยู่กับการทางานพาร์ไทม์และเตรียมตัวสอบเข้ามหาลัย ถ้าให้พูดจริงๆตอนนั้น เราก็ลืมความสาคัญของความสัมพันธ์นี้ไปเลยชั่วขณะหนึ่งค่ะ...
หลังเรียนจบม.6 เราซิ้ว 1 ปี ค่ะและหลังจากนั้น เราก็สอบเข้าได้ที่มหาลัยแห่งหนึ่งแถวชลบุรีค่ะ 4 ปีระหว่างที่เรียนมหาลัย เรากับเค้าไม่ได้เจอกันเลยค่ะ ขาดการติดต่อกันไปเลย 4 ปี เต็ม มีเพียงแค่ครั้ง เดียวช่วงปี 4 เทอมต้น ที่มีโอกาสได้เจอกันแค่แว๊บเดียว ซึ่ง ในตอนนั้นเค้าก็โตเป็นหนุ่มหล่อที่ถ้าเจอกันข้างนอกเราก็คงจำไม่ได้แน่นอนค่ะ และเป็นเพราะธรรมชาติของเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงค่ะ ที่เมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่นก็จะมีเส้นกั้น บางๆระหว่างเพศค่ะ ส่วนหนึ่งคือความรู้สึกสนใจในเพศตรงข้ามที่มันทำให้มีความรู้สึกเขินอาย หรือความไม่สนิทใจเกิดขึ้น ค่ะ สาหรับตัวเราในตอนนั้น เราก็ไม่กล้าออกตัวเยอะค่ะเพราะเราเป็นผู้หญิงโตขึ้นยิ่งต้องวางตัว เช่นเดียวกับกับเค้าที่ค่อยๆโตขึ้นเป็นหนุ่มหล่อ ^^ ทั้งที่เมื่อก่อนสนิทกันก็เถอะ เราสองคนก็เลยไม่ได้พูดอะไรกันเลยแม้แต่คำเดียว
เวลาผ่านไปอีก 1 ปี เต็มๆค่ะ ชีวิตเราเริ่มก้าวสู่วัยผู้ใหญ่ ผ่านช่วงฝึกงาน จนได้งานทำเป็นหลักแหล่ง เริ่มเป็นผู้เป็นคนขึ้นมาค่ะ ส่วนเค้าก็โตเป็นหนุ่มหล่อที่มีสาวติดตรึม และเจ้าชู้จนที่ไม่น่าแปลกใจเลยเพราะนิสัยมันส่อแววมาตั้งแต่เด็ก 555 ... เรามีโอกาสได้เจอเค้าอีกครั้ง ในปีที่ 9 ของการพบกัน ในงานอันเป็นมงคลของพี่ชายเค้า งานบวชค่ะ และมันก็...ตามเดิมค่ะ ... เค้ากลายเป็นหนุ่มหล่อที่มีเสน่ห์ที่เราได้แต่มองดูอยู่เบื้องหลังไกลๆ เพราะอย่างที่บอกไปค่ะ จริงๆถ้าแค่คิดว่าเคยสนิทกัน ถ้าคิดได้แค่นั้นตั้งแต่แรกก็คงจะดี...แต่เพราะเราก็ทิฐิเยอะ คือ เราโตกว่า เป็นผู้หญิงอีก จะให้วิ่งไปทักเหมือนตอนเด็กๆมันก็คงทำไม่ได้แล้ว เค้าเองก็ยุ่งๆกับการช่วยงาน และเราก็ต้องรีบกลับเพราะต้องไปทำงานต่อ...
จนสุดท้ายก็เลยไม่มีโอกาสได้คุยกัน ... ซึ่งมันก็เป็นเวลานานถึง 5 ปีเต็ม...
และสุดท้าย ... วันที่ไม่สามารถพูดอะไรกับเค้าได้อีกก็มาถึง ...