ดร.นิเวศน์ในงานสัมมนาหัวข้อ "พิฆาตหมูตัวสุดท้ายฯ" | มาดูกันว่าแกทำให้พอร์ตโต 200+ เท่าได้อย่างไร?

เนื้อหาจะเกี่ยวกับชีวประวัติของแกตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบันครับ พร้อมกลยุทธการลงทุนและการคาดการแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต พูดเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2557

คลิกเพื่อดูคลิปวิดีโอ
เกิดมาเป็นลูกช่างไม้ซึ่งครอบครัวอพยพมาจากเมืองจีน ฐานะทางบ้านไม่ค่อยสู้ดี

อายุ 22
เรียนจบตรี จากวิศวะ จุฬาฯ แล้วเข้าทำงานในโรงงานน้ำตาลมาสักพัก จึงบินไปเรียนนอก ป.โท ป.เอก (ด้านการเงิน) ด้วยทุนฯ

อายุ 32
หลังจากกลับมาจากเมืองนอก ก็มาทำงานเป็นผู้บริหารสถาบันการเงินแล้วก็แต่งงาน ช่วงนี้ไม่คิดเรื่องการลงทุนที่เสี่ยง (แกเสริมว่า เรื่องนี้เกิดกับคนส่วนใหญ่เพราะหลังจากมีครอบครัว ความฝันนู้นนี้ก็จบล่ะ)

อายุ 42
เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ(ต้มยำกุ้ง) แบงค์ชาตินำซองขาวมาวางที่โต๊ะ ทำให้ต้องออกจากงาน (แต่หลังจากนั้นแกก็ไปทำงานเป็นที่ปรึกษาในด้านอื่นแทน) ตอนนั้นมีเงินเก็บประมาณ 10 ล้านบาท เนื่องจากหุ้นตกมาเยอะ แกเลยเห็นโอกาสในการลงทุนในหุ้น  โดยยึดหลักดังนี้
- ลงทุนระยะยาว
- ลงทุนแบบพอเพียง ได้เงินมาก็ลงทุนเพิ่ม
- เน้นกินปันผล
- ต้องการเป็นเจ้าของธุรกิจที่ดีที่สุดในประเทศ

ภาพแสดงจุดที่ดร.นิเวศน์เข้าซื้อหุ้นด้วยเงินเก็บทั้งหมดในช่วงปี 40 และ SET อยู่ที่ 800 จุด (สังเกตว่า SET ลงไปถึง 200 จุด หลังที่แกเข้าซื้อ)


อายุ 52
หลังจากลงทุน 100% ในหุ้นมา 10 ปี ก็ออกจากงานการทำงานประจำโดยมีอิสระภาพทางการเงิน หันมาทำงานมาเป็นนักวิชาการ พิธีกร และนักเขียน

ปัจจุบัน อายุ 61 ย่าง 62
ผ่านมา 17 ปี(หายไปไหน 3 ไม่รู้นะ) ลงจากลงทุนด้วยเงินเก็บทั้งหมดในตลาดหุ้น พอร์ตโตขึ้นมา 200 กว่าเท่า คิดเป็น 37% ต่อปี (ระหว่างทางมีการเติมเงินเข้าไปตลอด) โดยหุ้นแต่ละตัวส่วนใหญ่ โตเกิน 10 เท่า ทั้งนั้น

วิเคราะห์เศรษฐกิจ

ญี่ปุ่น
peak ขนาดที่ว่าราคาที่ดินของพระราชวังซื้อรัฐ New York ได้ทั้งรัฐ แล้วไหลลงๆ เพราะคนทำงานน้อยลงเรื่อย ส่วนคนสูงอายุกลับเพิ่งขึ้นเรื่อยๆ

จีน
ต่อไปอาจจะเป็นคล้ายๆ ญี่ปุ่น เพราะครอบครัวจีนรุ่นใหม่(เมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว) ถูกจำกัดให้มีลูกได้แค่ครอบครัวล่ะคน

ไทย
ช่วงก่อนวิกฤติ(ปี 35-36) เศรษฐกิจก็โตมาเรื่อยจาก 7-8 จนถึง 10% หลังจากผ่านวิกฤติไปแล้วประเทศไทยโตเหลือแค่ 5% ยิ่งไปกว่านั้นถ้ามองเศรษฐกิจ 5 ปีย้อนหลังโตแค่ 3% กว่าเท่านั้น ทำให้คาดว่าไทยน่าจะผ่านจุด peak ไปแล้วหรือใกล้จะถึง peak แล้ว
โดยกลยุทธช่วงนี้เป็นดังนี้
- เน้นหุ้น defensive
- หลีกเลี่ยงหุ้นเก็งกำไร โดยสังเกตจากหุ้นที่มีการซื้อขายต่อวันโดยเฉลี่ยเกิน 1% ของ market cap
- ตอนนี้ถือหุ้น 80% เงินสด 20% (ตอนต้นปีแกบอกว่าถือเงินสด 10%)
- ช่วงนี้เลยพิจารณาปรับพอร์ตบางส่วนไปลงทุนในต่างประเทศ


เส้นสีม่วงคือ GDP แสดงการเติบโตของประเทศ
เส้นสีฟ้าคือ CPI แสดงอัตราเงินเฟ้ออย่างคราวๆ

แกบอกให้สังเกตดูว่าช่วงย้อนหลังๆนักวิเคราะห์ชอบบอกว่า สมมติ P/E ตอนนี้ 18 เท่า คาดการว่าปีหน้าโต 15% ทำให้ Forward P/E ลดลงเหลือแค่ 13 เท่า แต่พอย้อนไปดูจริงๆ โตแค่ 6-7% สรุปว่าตอนนี้ หุ้นแพง แต่ไม่ได้แปลว่าขึ้นไม่ได้นะ เพราะแพงก็แพงได้อีก เหมือนแมวที่ก่อนมันจะตาย มันมักจะขึ้นไปสูงๆ แล้วก็ลงเลย

เม่าออกรถ

ทิ้งท้ายแกบอกว่าทุกอย่างมันมีรอบของมัน ทั้งชีวิตและตลาดหุ้น หลายคนเคยผ่านแต่ช่วงดีๆ ยังไม่เคยเห็นช่วงแย่ๆ ของมัน

ปล. ฟังดร. แกพูดเรื่องแมว ผมล่ะนึกว่าแกเป็นนักเทคนิคซะอีก อารมณ์ว่าตอนนี้กำลังจะขึ้นทำ wave 5 ฮาๆ


ปล.2 จริงๆ การลงทุน แบบดร. นี่ไม่ใช่ใครก็จะทำได้ เพราะตามที่แกบอก แกเข้าซื้อด้วยเงินเก็บทั้งหมดแถว 800 จุด ตลาดลงไปทำ bottom ที่ 200 จุด ในเวลาไม่ถึง 2 ปี จะมีสักกี่คนที่ทนได้แบบแก อย่าลืมว่าตอนนั้นแกเพิ่งตกงานใหม่ด้วย คิดแล้วสยองแทน ลูกก็ยังไม่ถึง 10 ขวบ

แถม: สำหรับท่านที่อยากดูสัมมนาเกี่ยวกับหุ้นเพิ่มเติมจาก playlist ของผมบน YouTube ได้เลยครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
ตอนนี้คือคลื่นแห่งความโลภ คนกลัวตกรถมากกว่ากลัวติดดอย
หุ้นยิ่งลงยิ่งสวน สวนจนเงินหมด ถูกแล้วมีถูกกว่า
ที่เลวร้ายที่สุดคือถูกจนคนไม่อยากซื้อ  เพราะมันลงจนเสียความมั่นใจจะซื้อไปแล้ว
ไม่ก็พอถึงจุดที่ควรซื้อ ก็ไม่มีเงินจะซื้อ

ถ้าตลาดจบตรงนี้ ไม่รู้อีกนานมั้ยจะกลับมา อาจจะ sideway หลายปีอยู่ข้างล่าง
พอบอกให้ซื้อหุ้น คนจะส่ายหน้าหมด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่