ยุทธศาสตร์บอลไทย “เพื่อการไต่อันดับโลก”

กระทู้สนทนา
(ผมเขียนบทความนี้ก่อนการเตะนัดชิงนัดที่ 2 ระหว่างไทยกับมาเลเซียครับ ที่ยังไม่ได้โพสเพราะกระทู้ช่วงนั้นตกเร็วมาก)   

ที่ผ่านมามีหลายคนแสดงความเห็นว่าอันดับฟีฟ่าไม่สามารถบอกระดับความสามารถที่แท้จริงของชาติใดชาติหนึ่งได้ 100% ซึ่งผมเห็นว่าประเด็นนี้ถูกต้องครับ แต่อันดับฟีฟ่ามันมีความสำคัญแน่นอนในเรื่องการจัดอันดับทีมวางในการแข่งขันทัวร์นาเมนต์ต่างๆ ซึ่งทีมที่ได้รับการจัดเป็นทีมวางหรือ seeding team ย่อมมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จเข้ารอบลึกๆได้มากขึ้นกว่าทีมที่ไม่ได้เป็นทีมวาง เนื่องจากจะมีโอกาสได้เจอคู่ต่อสู้ที่อ่อนกว่านั่นเอง ในขณะที่ถ้าถึงแม้ว่าทีมเราจะเก่งกาจแค่ไหน แต่ถ้าไม่ได้เป็นทีมวางก็มีโอกาสที่จะไปอยู่ร่วมสายกับทีมที่เก่งจริงๆในทวีปโอกาสมันก็ย่อมน้อยกว่า...

สรุปคืออันดับของฟีฟ่า ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุด แต่มันก็เป็นวิธีที่แฟร์ที่สุดแล้วในจัดอันดับทีมฟุตบอลที่เป็นสมาชิก

คราวนี้มาถึงเรื่องการวางแผนในการใต่อันดับโลก....

ปัจจุบันนี้จากอันดับฟีฟ่าล่าสุดที่พึ่งปล่อยออกมา ประเทศไทยอยู่อันดับที่ 142 หรืออันดับที่ 22 ของเอเชีย (ธันวาคม 2014) ขณะที่ตอนนี้เหลือแมทช์ที่เป็นทางการสำหรับทีมชาติชุดใหญ่อีก 1 นัดคือ AFF Suzuki Cup ที่จะเจอกับมาเลเซียเสาร์นี้  ความสำคัญของการแข่งขันนัดนี้ก็คือเราจะต้องชนะให้ได้เพื่อรักษาอันดับไม่ให้ตกไปกว่านี้ ถ้าผลออกมาเสมอหรือแพ้ก็มีสิทธิที่อันดับเราจะตกในการจัดอันดับครั้งหน้า (8 ม.ค.58) เนื่องจากมาเลเซียมีอันดับโลกอยู่ที่ 154 ซึ่งต่ำกว่าเราแล้ว การเสมอหรือแพ้ทีมที่อ่อนกว่าในตารางอันดับย่อมทำให้คะแนนตกลงไปตามสูตรการคำนวนการจัดอันดับ
ฟันธงคือถ้าเราชนะมาเลเซียได้ เราน่าจะปิดปีที่อันดับ 140 โดยแซงพม่า (อันดับ 141) ขึ้นเป็นอันดับ 3 ในอาเซียน ตามหลังฟิลิปปินส์ (อันดับ 130) และเวียดนาม (อันดับ137) ขณะที่ถ้าเสมอหรือแพ้ อันดับเราน่าจะหล่นมาประมาณอันดับ 145-146  (จากประกาศล่าสุดเราอยู่ที่ 144 ซึ่งใกล้เคียงกับที่ผมประมาณไว้ตอนเขียนต้นฉบับ)

คราวนี้มาถึงเป้าหมายของเราในปี 2015 มั่งซึ่งผมมองว่ามันจะเป็นปีที่สำคัญจริงๆของเราในการผงาดขึ้นมาเป็นทีมแถวหน้าของเอเชียอีกครั้ง !
โดยเราจะมีแมทช์การแข่งขันอย่างเป็นทางการของทีมชาติชุดใหญ่ถึง 8 นัดด้วยกัน (ไม่รวมนัดอุ่นเครื่องตามโปรแกรม FIFA day)  ซึ่ง 8 นัดนั้นจะเป็นการแข่งขันรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกปี 2018 และการแข่งขันรอบคัดเลือก Asian Cup 2019  รวมเป็นการแข่งขันเดียวกันไปเลย (ตามมติ AFC วันที่ 16 เม.ย.57)  โดยประเทศไทยจะเข้าทำการแข่งขันตั้งแต่รอบคัดเลือกรอบ 2 เป็นต้นไป เริ่มเตะตั้งแต่วันที่ 11 มิ.ย.2558 ไปจนถึงปลายปี ซึ่งการแข่งขันนี้จะได้สถานะการแข่งขัน (Match Status) ระดับ 3 หรือ x2.5 ซึ่งถือว่ามีความสำคัญมาก (AFF Suzuki Cup ได้สถานะระดับ 4 เทียบเท่านัดกระชับมิตรหรือแค่ x1.0 เท่านั้น)

รายละเอียดการคิดคะแนน FIFA Ranking ดูได้จากกระทู้ด้านล่างนี้ครับ
http://topicstock.pantip.com/supachalasai/topicstock/2009/10/S8449362/S8449362.html

อันดับแรกคือเราต้องมาตั้งเป้าหมายก่อนซึ่งผมขอแบ่งเป็น 3 ระยะคือ เป้าระยะสั้น เป็น 1 ใน 16 ทีมเอเชีย เป้าระยะกลางด้วยการเป็น 1 ใน 10 ทีมเอเชีย และเป้ายาวคือการเป็น 1 ใน 6 ของเอเชีย  สรุปคือ

โดยถ้าจะให้เป็น 1 ใน 16 ทีมของเอเชียเราควรจะมีคะแนนอยู่ในระดับ 250 คะแนนขึ้นไป
โดยถ้าจะให้เป็น 1 ใน 10 ทีมของเอเชียเราควรจะมีคะแนนอยู่ในระดับ 350 คะแนนขึ้นไป
โดยถ้าจะให้เป็น 1 ใน 6 ทีมของเอเชียเราควรจะมีคะแนนอยู่ในระดับ 400 คะแนนขึ้นไป

ดูเหมือนไม่เยอะนะครับ แต่ถ้าจะทำให้ได้ขอบอกเลยว่าไม่ง่าย ต้องอาศัยการวางแผนงานที่รัดกุม การหานัดอุ่นเครื่องที่เกิดประโยชน์  และเราต้องทำผลงานให้ดียามเมื่อเจอทีมที่ต่ำชั้นกว่าในรายการที่มีความสำคัญ  อีกข้อที่ต้องนึกถึงก็คือ คะแนนที่ได้จากการแข่งขันในปีนั้นๆจะใช้คะแนนเฉลี่ย (โดยเอาคะแนนที่ได้ในแต่ละนัดทั้งปีมารวมกันและหารจำนวนนัดที่เล่นทั้งหมด เหมือนการคิด GPA ตอนเรียน)

จากที่เขียนไปข้างต้นจะเป็นได้ว่าเราจะมีแมทช์ที่มีตัวคุณ 2.5 ให้เล่นถึง 8 นัด เอาให้เห็นภาพง่ายๆคือถ้าเราชนะทีมที่อันดับโลกต่ำกว่า 150 (ซึ่ง FIFA Ranking ถือว่าทีมที่อันดับโลกตั้งแต่ 150 ลงไปจะให้ค่าสัมปะสิทธิ์ต่างๆต่ำสุดอยู่แล้ว) เราก็จะได้คะแนนถึง 318.75 คะแนนแล้ว !  ขณะที่ถ้าเราชนะทีมเดียวกันในการแข่งขันนัดกระชับมิตรเราจะได้คะแนนแค่ 127.5 คะแนนเท่านั้น !

ดังนั้นการวางแผนนัดกระชับมิตรที่ไม่ดีพอย่อมเป็นตัวฉุดคะแนนที่เราจะได้ในปีนั้นให้ต่ำลงด้วย ! เนื่องจากจำนวนนัดที่เล่นจะถูกนำไปรวมเป็นตัวหารเช่นกัน

แมทช์กระชับมิตร: ควรมีหรือไม่?

หลายคนมองว่างั้นเราไม่ต้องไปเตะกระชับม้งกระชับมิตรกันละไม่ได้ประโยชน์เลย !!  ผมขอบอกว่านัดกระชับมิตรนี่แล่ะมีความสำคัญที่สุดไม่แพ้แมทช์ทางการนอกจากจะเป็นแมทช์เรียกความฟิตให้กับนักเตะทีมชาติแล้ว ยังเป็นเรียกนักเตะทีมชาติหลายๆคนที่อาจจะห่างหายจากการเล่นด้วยกันไปนานเข้ามาซ้อมติกิตาก้ากันหน่อยเดี๋ยวจะลืมจังหวะกันไป อีกทั้งถ้ามีนักเตะใหม่ๆที่ฝีเท้าจัดจ้าน หรือตัวจริงเกิดซวยเจ็บยาว จะได้เรียกตัวใหม่ๆเข้ามาลองทีม เหล่านี้คือเหตุผลที่ว่าทำไมแมทช์กระชับมิตรถึงมีความสำคัญ

แต่อย่างไรก็ตามอย่าอินดี้ไปจัดนอก FIFA Day แล้วกัน..... เพราะการจัดนอกปฏิทินย่อมทำให้ทีมต่างๆไม่สามารถส่งทีมชาติชุดใหญ่มาได้ หรือถ้าได้ก็ต้องลำบากมากๆ

ขอแนะนำสมาคมเลยว่าให้เอาตารางอันดับฟีฟ่ามานั่งดูทุกเดือน แล้วเลือกจิ้มเลยว่าทีมไหนที่มีอันดับสูงกว่าเราที่อยู่ในพิสัยที่เราจะชนะได้  ให้ใช้ประโยชน์จากความไม่สมบูรณ์ของตารางนี่แล่ะ  ปีหน้าขอแนะนำให้เชิญ มัลดีฟท์, จีน, หรือฟิลิปปินส์ มาลับแข้งที่เมืองไทยหน่อย หรือถ้าจะให้ดีเอาพวกทีมเกรดดีของยุโรปมาก็ได้ พวกหมู่เกาะฟาโรห์, มาเซโดเนีย, เบลารุซ เนี่ยถ้าเชิญมาได้ เชิญมาเลย เลี้ยงดูปูเสื่อเค้าให้ดีๆ  ผมมองว่าการเชิญทีมแกร่งๆมาอุ่นเครื่องแล้วแพ้เนี่ยไม่เกิดประโยชน์เลยนอกจากได้ประสบการณ์ สู้เอาทีมเกรดกลางๆอันดับโลกสูงกว่าเรามาอุ่นเครื่องแล้วให้เด็กเราถล่มเรียกขวัญและกำลังใจดีกว่า

อุปสรรคอย่างหนึ่งที่เจอแน่นอนคือการเชิญทีมที่มีอันดับเหนือกว่าเรามาเตะอาจจะยากเนื่องจากคู่แข่งมองว่าไม่เกิดประโยชน์ในการมาอุ่นเครื่องกับเราที่มีอันดับต่ำกว่า....เค้าไม่โง่นะครับ

เทคนิคในการนี้อาจจะต้องใช้ทักษะในการเจรจา, connection ของผู้บริหาร, และอาจจะต้องทำ Selling Story ไปเสนอกับสมาคมฟุตบอลเป้าหมายที่เราต้องการเชิญไม่ใช่กระดาษแฟกซ์แผ่นเดียว และเพื่อชักจูงทีมเหล่านั้นมาอุ่นเครื่องกับเรา เราอาจจะต้องจ่ายเงินเยอะขึ้นเพื่อดึงทีมเหล่านั้นมาเตะ แต่รับรองว่าคุ้มแน่นอนในระยะยาว อย่างน้อยก็มีเรื่องค่าตั๋วเข้าชม ค่าสปอนเซอร์ หรืออะไรอย่างอื่น ถ้าทำให้แฟนบอล หรือสื่อมวลชนว่าการอุ่นเครื่องเป็นเรื่องสำคัญ บวกกับศรัทธาแฟนบอลตอนนี้ ผมมองว่าถึงเป็นนัดอุ่นเครื่องยังไงแฟนบอลก็เข้าสนาม

บอลไทยกับการไปบอลโลก 2018?

ยังเร็วเกินไปเหมือนอย่างที่โค้ชโก้ และอีกหลายๆคนบอกไว้ (แต่ก็คงได้ลุ้นกันสนุกระหว่างทาง) สิ่งที่ต้องทำอันดับแรกคือการเร่งตัวเองให้มาเป็นทีมแถวหน้าของเอเชียให้เร็วที่สุด ซึ่งขั้นตอนนี้อาจจะใช้เวลาขั้นต่ำ 3-5 ปี  ซึ่งอันดับโลกที่ดีขึ้นหมายถึงโอกาสที่ดีขึ้นเป็นเงาตามตัว เพราะเราจะมีโอกาสได้ลับแข้งกับทีมชั้นนำมากขึ้น (ไม่มีข้อจำกัดเรื่องการอุ่นเครื่องกับทีมอันดับต่ำกว่า) นั่นหมายถึงนักเตะของเราก็จะได้ประสบการณ์เพิ่มขึ้นนั่นเอง

ขอสรุปแผนและเป้าหมายที่ควรจะเป็นดังนี้

ปี 2015:  เราเลือกอุ่นเครื่องให้เป็นประโยชน์กับทีมที่อ่อนแต่อันดับสูงกว่า  พร้อมกับทำผลงานในรอบคัดเลือก AFC Cup 2019/World Cup 2018 รอบ 2 ให้ดี เพื่อตั้งเป้าเข้ารอบ 3 ให้ได้

ปี 2016:  ไม่ว่าเราจะเข้ารอบ 3 คัดบอลโลกได้หรือไม่ ถ้าได้ถือว่าเกินเป้า! แต่ถ้าไม่ได้เราจะหล่นมาที่รอบ 3 คัด AFC Cup 2019  ต้องทำผลงานให้ดี …ปลายปีมีป้องกันแชมป์ Suzuki Cup

ปี 2017:  (สมมุติว่าเราตกรอบ 2 คัดบอลโลก)  ยังเตะคัดเลือกรอบ 3 AFC Cup 2019 อยู่ แต่โปรแกรมจะเริ่มบางลงแล้ว ถ้าคะแนนเราอยู่ระดับสูงก็คงจะได้อุ่นเครื่องกับทีมดีๆมากขึ้น เพื่อเลี้ยงฐานคะแนนให้อยู่ในระดับ 250 คะแนนเป็นอย่างน้อย !

ปี 2018:  เตะคัดเลือกรอบ 3 AFC Cup 2019 นัดปิดท้าย ซึ่งหวังว่าเราจะเข้ารอบสุดท้ายที่จะเตะกันปีต่อไป ปลายปีมีป้องกันแชมป์ Suzuki Cup (555+)

ปี 2019:  ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผนเราจะได้เล่น AFC Cup 2019 รอบสุดท้าย   หลังจากจบ AFC Cup 2019 เราน่าจะปรับฐานคะแนนมาอยู่ที่ 300 คะแนน และจะเริ่มคัดบอลโลกปี 2022 กับ AFC Cup 2023 ในปีนี้เลย

ปี 2020-2021:  เริ่มขั้นตอนการคัดเลือกและอุ่นเครื่อง.. ทีมชาติแกนหลักของทีมไทยในตอนนี้จะมีประสบการณ์สะสมมาพอสมควรน่าจะได้ลุ้นอย่างเต็มตัวในการคัดบอลโลกเที่ยวนี้

ปี 2022:  เงื่อนไขด้านเวลาเหมาะสมแล้ว ถ้าเรามีผสมโชคอีกนิดหน่อย ผมหวังว่าไทยจะได้ไปบอลโลกครั้งแรกในประวัติศาสตร์ในปีนี้ !

นี่คือภาพที่ฝันไว้ครับ บางคนอาจจะดูถูกดูแคลนว่าเราไม่มีทางทำได้หรอก ...ผมขอบอกว่าถ้าเรามีความปรารถนาอะไรสักอย่างอย่างแรงกล้า การกระทำทุกอย่างของเราจะมุ่งพาพวกเราไปยังจุดนั้น ผมหวังว่าสมาคมจะรับรู้ถึงความฝันของแฟนบอลทุกคน และพร้อมรับฟัง ปรับปรุง และเดินไปในเส้นทางนี้พร้อมกันกับแฟนบอลชาวไทยทุกคน

ผมเห็นภาพที่คนไทยออกมาต้อนรับขบวนแห่วีรบุรุษนักเตะไทยชุดคว้าแชมป์ Suzuki Cup ที่ผ่านมาอย่างล้นหลาม....ยอมรับว่าขนลุกและตื้นตันมากๆ... นักเตะหลายๆคนบอกว่าชีวิตเปลี่ยนไป....

แต่อยากบอกน้องๆนักเตะว่า...นั่นมันเทียบไม่ได้เลยถ้าน้องสามารถทำให้ประเทศไทยไปบอลโลกได้สำเร็จ......
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่