อธิบดีศาลอาญา ชี้ชัด! คดีชุมนุมทางการเมือง สีเสื้อเปลี่ยนหลักฐานไม่ได้

อธิบดีศาลอาญาชี้ คดีชุมนุมทางการเมืองเสื้อสีเปลี่ยนหลักฐานไม่ได้
2015-01-09 16:42:43 | อ่าน : 0
http://crime.tnews.co.th/content/124046/
ส่วนการพิจารณาคดีการชุมนุมทางการเมืองเกี่ยวกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ( พธม.) และกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ ( นปช.)  อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา กล่าวว่า การพิจารณาคดีของทุกศาลจะดำเนินการอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม ไม่แยกสี และไม่เป็นเครื่องมือของใคร  ผิดก็ว่ากันไปตามผิด การพิจารณาขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน ไม่สามารถพิจารณานอกเหนือจากนี้ได้ และสีเสื้อก็ไม่สามารถเปลี่ยนหลักฐานได้
            
ด้านนายโชคชัย รุจินินนาท  รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา กล่าวเสริมว่า การบริหารจัดการพิจารณาคดีกลุ่มชุมนุมต่างๆ ว่า การพิจารณาของศาลอาญาเป็นไปตามขั้นตอนไม่ได้ล่าช้า  ในส่วนคดีของกลุ่ม พธม.มีหลายคดีและมีจำเลยกว่า 90 คน ซึ่งอัยการได้ทยอยฟ้องเข้ามา โดยเมื่อคดีแรกเข้าสู่ขั้นตอนการตรวจพยานหลักฐานก็จะมีอีกคดีที่เกี่ยวเนื่องกันถูกฟ้องเข้ามาและขอให้รวมคดี จึงต้องเริ่มนัดตรวจพยานกันใหม่ ซึ่งมีพยานหลักฐานจำนวนมากพยาน 1,000 กว่าปากที่จะต้องกลั่นกรอง นอกจากนี้  คดีดังกล่าวมีอัตราโทษสูง ตามกฎหมายไม่อนุญาตให้ศาลพิจารณาลับหลังจำเลยได้  สำหรับคดี นปช. ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการสืบพยานโจทก์แล้ว มีพยานบุคคลกว่า 100 ปาก โดยคดีชุมนุมทั้ง 2 เรื่อง มีพยานหลักฐานที่เป็นเอกสารจำนวนมากนับเป็นคันรถ  จึงมีการประชุมนอกรอบวางกรอบการสืบพยาน โดยให้คู่ความทั้งสองตกลงร่วมกันเรื่องบัญชีพยาน  ถึงแม้ว่าจะมีการเสนอพยานบุคคล 100 ปาก แต่เมื่อสืบพยานตกลงร่วมกันว่าจะสืบพยานปากสำคัญก่อน และเมื่อคู่ความนำสืบพยานสำคัญเป็นที่พอใจแล้ว พยานอื่นที่ไม่จำเป็นอาจจะพิจารณาตัดออก ดังนั้น คดีจึงนำกระบวนการปกติมาใช้ไม่ได้  ต้องขอความร่วมมือจากทั้งฝ่ายอัยการและทนายความ  ส่วนคดีการเมืองอื่นๆ อย่างคดีของ กปปส. ยังต้องรอดูว่ามีฟ้องเข้ามาอย่างไร  ส่วนกรณีที่มีผู้พิพากษาเข้าเป็นอนุกรรมการในคณะกรรมาธิการด้านกฎหมาย สปช.นั้น ส่วนตัวเห็นว่าการปฏิรูปในส่วนของศาลจำเป็นต้องมีคนทำงานที่รู้จริงเข้าไปร่วมเสนอแนวทาง ส่วนรายละเอียดให้เป็นเรื่องของสำนักงานดำเนินการ
            
ทางด้านนายรุ่งศักดิ์ วงศ์กระสันต์  รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา กล่าวถึงหลักการพิจารณาให้ประกันตัวผู้ต้องหาทั้งที่เป็นพลเรือนและเจ้าหน้าที่ในคดีหมิ่นเบื้องสูง และคดีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่มิชอบที่จะคุ้มครองสิทธิผู้ต้องหาและไม่ให้กระทบกระบวนการยุติธรรมว่า การพิจารณามีหลักการและเหตุผลอยู่แล้ว  ที่ต้องดูประกอบพฤติการณ์ความร้ายแรง  การที่จะไม่หลบหนี  การจะไม่ไปก่อเหตุใด ๆ กับพยานหลักฐาน และการจะไม่ก่อเหตุซ้ำอีก ขณะเดียวกันการใช้ดุลยพินิจว่าจะให้ประกันหรืออไม่ให้ประกันตัว  ก็ต้องถูกกลั่นกรองจากระบบศาลสูงด้วยอยู่แล้ว คือ หากศาลอาญาซึ่งเป็นศาลชั้นต้น มีคำสั่งไม่ให้ประกันตัวแล้ว  ผู้ต้องหาหรือจำเลยก็ยื่นอุทธรณ์ได้ หรือหากศาลอุทธรณ์จะสั่งไม่อนุญาตก็ยังสามารถยื่นฎีกาอีกได้ ถือเป็นการคุ้มครองสิทธิประชาชนทุกคน โดยหลักใช้ดุลยพินิจว่าจะให้ประกันหรือไม่ทั้งในชั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจ , อัยการ และศาล มีบัญญัติไว้ในประมวลวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 108 อยู่แล้ว คือ พิจารณาความหนัก-เบาของข้อหา , พยานหลักฐานที่ปรากฏมีเพียงใด , พฤติการณ์แห่งคดี , ความน่าเชื่อถือของหลักประกัน , จะหลบหนีหรือไม่ และจะเกิดความเสียหายหรืออันตรายใดจากการปล่อยชั่วคราวหรือไม่ ส่วนเหตุอื่นๆ เช่น กรณีที่พนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการคัดค้านการให้ประกันตัวก็เป็นส่วนประกอบในการพิจารณา โดยหลักหากเป็นคดีอาญาทั่วไป ไม่มีอะไรพิเศษ ก็จะได้ประกันตัวในเวลาไม่นานนัก แต่คดีบางประเภทอาจไม่ได้รับการปล่อยตัว เช่น คดีค้ายาเสพติดรายใหญ่
          
ผู้สื่อข่าวถามถึงประเด็นการให้ประกันตัวผู้ต้องหาคดีหมิ่นเบื้องสูง มาตรา 112 มีหลักเกณฑ์อย่างไร นายรุ่งศักดิ์ รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา กล่าวว่า คดีหมิ่นเบื้องสูงเป็นเรื่องของสถาบันซึ่งเป็นที่เคารพ เชิดชูของประชาชน การกระทำที่ก่อให้เกิดความระคายเคือง ก็ถือเป็นพฤติการณ์ที่มีความร้ายแรงด้วย อย่างไรก็ตามหากผู้ต้องหาไม่ได้ประกัน ก็ยังสามารถอุทธรณ์หรือฎีกาได้เช่นกัน
ภาพผู้จัดการออนไลน์
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่