เนื่องจากปีใหม่นี้ตัวผมเองจะได้ไปประจำการทำงานที่หนองคายกันยาวๆ ดังนั้นในช่วงก่อนผมที่ไปเซอร์เวย์เลยมีโอกาสเข้าไปถ่ายภาพที่เวียงจันทน์อยู่บ่อยๆ และในกระทู้นี้ผมจะแนะนำการเดินทางแบบง่ายๆ ให้กับคนที่กำลังสนใจอยากจะไปเที่ยวในเวียงจันทน์ดูสักครั้ง รวมไปถึงสถานที่เที่ยวที่น่าสนใจและที่สำคัญ ใครที่ชอบพกกล้องถ่ายภาพด้วยต้องไม่พลาด ผมมีช่วงเวลาแนะนำแต่ละสถานที่บอกไว้ด้วยว่าถ่ายตอนไหนดี ก็อยากจะให้ไปเที่ยวแล้วได้ภาพสวยๆ กลับมากันเนอะ

การจะข้ามไปเที่ยวทางฝั่งประเทศลาวมีอยู่หลายวิธี ทั้งเครื่องบิน รถทัวร์ เรือ แต่วิธีสุดเบสิกสำหรับคนที่ชอบแบ็คแพคแบบประหยัด ก็คือการข้ามฝั่งจากชายแดนหนองคายเข้าสู่ประเทศลาวด้วยการนั่งรถเมล์เข้าไปคนละ 15 บาท โดยใช้เวลาแปปเดียวเท่านั้น

พอมาถึงด่านตม. ของประเทศลาว ตรงจุดนี้การเข้าเมืองไม่น่ายากสำหรับคนไทย เพราะเราสามารถสื่อสารกับคนลาวกันรู้เรื่อง อย่าได้กังวลไป หลังจากที่กรอกแบบฟอร์มเข้าเมืองเสร็จเรียบร้อยแล้ว เชื่อว่าเกือบทั้งหมดถ้าไม่ติดต่อรถตู้ตั้งแต่แรกก็จะโดนพวกบรรดารถเหมาเสนอให้นั่งรถตู้เข้าเมืองกับราคาที่ไม่ค่อยโอเคสักเท่าไหร่ ผมแนะนำว่ายังมีอีกวิธีหนึ่งที่เราสามารถเดินทางได้อย่างประหยัดเงินอยู่นั่นคือการนั่งรถเมล์นั่นเอง

อันที่จริงผมก็ไม่คิดหรอกว่าเขาจะมีรถเมล์เข้าเมืองเพราะตอนเข้ามาก็โดนพวกรถเหมารุมถามเต็มไปหมด และบอกตามตรงว่ารถเมล์ก็จอดซะไกล ไม่เป็นจุดเด่นเลย ใครจะไปรู้ใช่มะ แต่ตอนนี้ขึ้นเป็นแล้ว ตัวรถเมล์จะจอดทางขวามือไกลๆ ถ้าเราเดินผ่านตม. ออกมา ให้ดูรถเมล์เบอร์ 14 นะครับครับ ตัวรถจะเข้าไปจอดในตัวเมืองเวียงจันทน์ที่ขนส่งหลังตลาดเช้า พอขึ้นมาบนรถเมล์ผมรู้สึกชอบนะ เพราะเราได้ขึ้นต้นสาย คนแทบไม่มี แอร์เย็น แถมเบาะอะไรยังใหม่อยู่ ที่สำคัญราคาแค่ 25 บาท เท่านั้น

ใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบชั่วโมงครับ จำได้ว่าจอดหลายป้ายและตัวรถไปไม่เร็วนัก ภาพนี้เป็นบรรยากาศที่ขนส่ง ยังเช้าอยู่และเป็นวันธรรมดาคนเลยไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่
จากจุดนี้หลังจากที่ไปเช็คอินโรงแรมเสร็จแล้ว เราจะเริ่มเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ กัน ขอบอกก่อนว่าในภาพทั้งหมดผมไม่ได้เรียงตามสถานที่ในแต่ละวัน แต่ผมเรียงตามความเหมาะสมของแสงที่เหมาะแก่การถ่ายภาพกับสถานที่นั้นๆ ซึ่งใครที่ยังไม่เคยไปก็ลองดูจากภาพที่ผมถ่ายไว้ได้เลยและแพลนคร่าวๆ ได้เลย ผมกำกับเอาไว้แล้วว่าแต่ละที่ควรไปชมและถ่ายภาพช่วงไหนถึงจะสวย หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ

เริ่มกันที่ ธาตุดำ ก่อนเลย เพิ่งเคยมาที่นี่ครั้งแรกเหมือนกัน เป็นเจดีย์ทรงดอกบัวหกเหลี่ยม ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเวียงจันทน์ ถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกป้องภัยอันตรายแก่บ้านเมือง บอกเลยว่ามีไม่กี่มุมให้ถ่ายเท่าไหร่ (แสงที่เหมาะกับการถ่ายภาพ : ตอนเช้า)

หอพระแก้ว แต่เดิมเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตและยังเคยเป็นวัดหลวงประจำราชวงศ์ของลาว สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2108 โดยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตที่ได้รับการอัญเชิญจากนครเชียงใหม่ จนเมื่อปี พ.ศ. 2322 นครเวียงจันทน์ถูกกองทัพสยามตีแตก กองทัพสยามได้อัญเชิญพระแก้วมรกต พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของนครเวียงจันทน์ไป พร้อมทั้งกวาดต้อนราชวงศ์ชาวลาวกลับไปยังกรุงเทพฯมากมาย แต่ในปัจจุบันหอพระแก้วได้มีการบูรณะใหม่เกือบทั้งหมด จนกลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ทุกคนต้องมาเยือน ซึ่งใครที่มาจะเห็นรถทัวร์แทบทุกคันต้องจอดให้นักท่องเที่ยวลงมาชมความสวยงาม ภายในอุโบสถมีพิพิธภัณฑ์แสดงพระแท่นบัลลังก์ปิดทองจารึกพระไตรปิฏกเอาไว้
เวลาเปิดมีสองช่วง คือตั้งแต่เวลา 08.00 - 12.00 น. และ 13.00 - 16.00 น.ค่าเข้าชม 5,000 กีบ (แสงที่เหมาะกับการถ่ายภาพ : ตอนเช้า - ตอนเย็น)

แม้ตัวหอพระแก้วจะได้รับการบูรณะใหม่แต่พวกพระพุทธรูปหรือสถาปัตยกรรมต่างๆ ในสมัยก่อนก็ยังมีหลงเหลือให้เห็น

แสงตอนบ่ายจะฉาบลงตามที่พระพุทธรูปฝั่งขวาของอุโบสถ

รวมไปถึงแผ่นกระเบื้องแสงลงแบบอาร์ตๆ ที่จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ

ด้านหลังของอุโบสถ แปลกใจตรงที่ไม่ค่อยมีคนเดินมาแถวนี้เท่าไหร่ จริงๆ ผมว่าเป็นมุมที่สวยกว่าด้านหน้าซะอีก เพราะมีบริเวณพื้นที่ดูสบายตากว่ากันเยอะ จุดนี้ของมาถ่ายภาพตอนเช้าครับ

ตรงข้ามกับหอกระแก้ว เดินมาไม่กี่ก้าวก็มีอีกหนึ่งวัดชื่อ วัดศรีษะเกษ เป็นอีกวัดยอดนิยมของนักท่องเที่ยว เวลาเปิดมีสองช่วง คือตั้งแต่เวลา 08.00 - 12.00 น. และ 13.00 - 16.00 น.ค่าเข้าชม 5,000 กีบ (แสงที่เหมาะกับการถ่ายภาพ : ตอนเช้า)

วัดศรีษะเกษเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในเวียงจันทน์ โดยสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2361 โดยเข้าอนุวงศ์ โดยมีการออกแบบคล้ายกับศิลปะรัตนโกสินทร์ของไทย ภายในประดิษฐานองค์พระประธานเก่าแก่ และมีพระพุทธรูปมากกว่า 2,000 องค์ตามผนัง รวมไปถึงจิตรกรรมฝาผนังเก่าแก่

วัดนี้ผมชอบภาพรวม โดยเฉพาะการที่ทาสีของกำแพงและอุโบสถด้วยสีเดียวกันอย่างสีเหลืองดูเข้ากันดี เวลาโดนแสงในวันที่ฟ้าใสๆ ถ่ายรูปแล้วยิ่งสวย

บริเวณรอบๆ วัดยังมีจุดถ่ายภาพแนวๆ ให้เราครีเอทได้อีกเยอะ

วัดธาตุฝุ่น เป็นอีกหนึ่งวัดที่แนะนำให้มาเดินดู อาจจะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเท่าไหร่ แต่ความสวยงามของสถาปัตยกรรมนี้ยกนิ้วให้เลยเพราะมีบริเวณอาณาเขตที่กว้างและมีหลายจุดที่น่าสนใจในการถ่ายภาพ วัดนี้อยู่ใกล้ๆ กับประตูชัยครับ เวลาเปิดปิด 08.00-17.00 น. เข้าชมฟรี (แสงที่เหมาะกับการถ่ายภาพ : ตอนเย็น)

วัดธาตุฝุ่นเป็นวัดที่สร้างใหม่ในเมื่อปี พ.ศ. 2538 ด้วยผู้มีจิตศรัทธาเนื่องจากอยากรักษาเอกลักษณ์ของวัดเอาไว้ ดังนั้นจึงไม่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ แต่มีความสวยงามแบบสถาปัตยกรรมลาวแท้ๆ

ใครที่ชอบถ่ายภาพสถาปัตยกรรมต้องไม่พลาด มีมุมให้ถ่ายเยอะแยะไปหมด

มาถึงแลนด์มาร์คสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศลาวอย่าง พระธาตุหลวง ปูชนียสถานสำคัญยิ่งแห่งนครหลวงเวียงจันทน์ และเป็นศูนย์รวมใจของประชาชนชาวลาวทั่วประเทศ ตามตำนานกล่าวว่าพระธาตุหลวงมีประวัติการก่อสร้างนับพันปีเช่นเดียวกับพระ ธาตุพนมในประเทศไทย และปรากฎความเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ของดินแดนทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงอย่าง แยกไม่ออก สถานที่นี้ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์สำคัญอย่างยิ่งของประเทศลาว ดังปรากฏว่าตราแผ่นดินของลาวที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้มีรูปพระธาตุหลวงเป็น ภาพประธานในดวงตรา เวลาเปิดปิด 08.00 - 16.00 น.ค่าเข้าชม 5,000 กีบ (แสงที่เหมาะกับการถ่ายภาพ : ตอนเย็น - ค่ำ)

เห็นจากภาพนอกไกลๆ ยังรู้สึกว่าเจดีย์มันทองอร่าม แต่พอเข้าไปข้างในดูใกล้ๆ ก็ยิ่งดูล้ำค่า บอกได้คำเดียวว่ามาตอนบ่ายๆ มีแสบตากันไปข้าง ผมว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยที่สุดของเสียงจันทน์แล้วล่ะ

องค์พระธาตุมีความสูง 45 เมตร ลักษณะคล้ายดอกบัวตูมซึ่งหมายถึงสัญลักษณ์คำสอนของพระพุทธเจ้านั่นเอง นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมักไม่พลาดการเข้ามาเที่ยวชมหากผู้หญิงแต่งกายไม่เหมาะสมก็มีผ้าซิ่นให้เช่า

รอบๆ พระธาตุหลวงมีสถานที่สำคัญทางศาสนามากมาย

นอกจากนี้ก็ยังมีหอพระธรรม ซึ่งเป็นสถานที่ดูแลรักษาหนังสือพระธรรมคำสอนต่างๆ ซึ่งได้สร้างขึ้นมาใหม่ มีความสวยงามไม่แพ้โบราณสถานเช่นกัน

สำหรับคนชอบถ่ายภาพแนะนำให้รอถึงช่วงพระอาทิตย์ตก เพราะพระธาตุมีการเปิดไฟส่องสว่างสวยงาม แม้ตัวพระธาตุจะปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าแล้ว แต่ด้านนอกสามารถถ่ายภาพได้

อีกมุมกับแสงสวยๆ ยามค่ำคืน แต่ถ่ายในสวนนี่บริจาคเลือดให้ยุงไปเยอะทีเดียว

สถานที่สุดท้ายที่จะแนะนำถ้าไม่แวะมาก็เหมือนมาไม่ถึงกับ ประตูไซ อนุสรณ์สถานที่ระลึกถึงประชาชนลาวผู้เสียสละชีวิตในสงครามก่อนหน้าการปฎิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์กับสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลมาจากประตูชัยโดยมีการสร้างเลียนแบบ L’Arc De Triomphe กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส (แสงที่เหมาะกับการถ่ายภาพ : ตอนเย็น - ค่ำ)

ไม่แนะนำให้มาช่วงบ่ายๆ เพราะร้อนสุดๆ ตัวประตูไซสามารถขึ้นไปชมทัศนียภาพมุมสูงเมืองเวียงจันทน์ด้านบนได้ ค่าขึ้นอยู่ที่ 2,000 กับ เท่านั้น ประตูปิดเวลา 17.00 น. ที่ประตูชัยไซว่าเป็นสถานที่ฝึกมือถ่ายภาพสถาปัตยกรรมได้อย่างดี

มุมสุดยอดมหาชน ที่เราสามารถเห็นได้เวลาค้นหาได้ตามกูเกิ้ล แน่นอนว่าผมก็ถ่ายภาพมุมนี้มาเหมือนกัน

น้ำพุภายในบริเวณประตูไซมีอยู่สองที่ ส่วนตัวผมชอบน้ำพุใหญ่ (ภาพก่อนหน้านี้) เพราะมันทั้งใหญ่ทั้งอลังการ ส่วนน้ำพุเล็กอาจไม่สวยเท่าแต่ก็ได้ความแปลกของมุมมอง เพราะไม่ค่อยเห็นใครถ่ายมุมนี้มาเลย

หากจังหวะดีๆ เกิดเจอวันไหนที่น้ำพุไม่เปิดเราก็จะได้ภาพสะท้อนน้ำแจ่มๆ แบบนี้แหละ น้ำนิ่งอย่างกับกระจก

ตรงใจกลางประตูไซจะเห็นเรื่องราวมหากาพย์รามายณะที่ประดับไว้อย่างประณีต

แถมให้ภาพสุดท้ายระหว่าง อันนี้ไม่รู้จะพูดว่าเป็นภาพจากประเทศไหนดีระหว่างไทยหรือลาว เพราะถ่ายมาจากสะพานมิตรภาพไทย - ลาว
นครหลวงเวียงจันทน์ เที่ยวไปถ่ายภาพไปในวันฟ้าสวย
การจะข้ามไปเที่ยวทางฝั่งประเทศลาวมีอยู่หลายวิธี ทั้งเครื่องบิน รถทัวร์ เรือ แต่วิธีสุดเบสิกสำหรับคนที่ชอบแบ็คแพคแบบประหยัด ก็คือการข้ามฝั่งจากชายแดนหนองคายเข้าสู่ประเทศลาวด้วยการนั่งรถเมล์เข้าไปคนละ 15 บาท โดยใช้เวลาแปปเดียวเท่านั้น
พอมาถึงด่านตม. ของประเทศลาว ตรงจุดนี้การเข้าเมืองไม่น่ายากสำหรับคนไทย เพราะเราสามารถสื่อสารกับคนลาวกันรู้เรื่อง อย่าได้กังวลไป หลังจากที่กรอกแบบฟอร์มเข้าเมืองเสร็จเรียบร้อยแล้ว เชื่อว่าเกือบทั้งหมดถ้าไม่ติดต่อรถตู้ตั้งแต่แรกก็จะโดนพวกบรรดารถเหมาเสนอให้นั่งรถตู้เข้าเมืองกับราคาที่ไม่ค่อยโอเคสักเท่าไหร่ ผมแนะนำว่ายังมีอีกวิธีหนึ่งที่เราสามารถเดินทางได้อย่างประหยัดเงินอยู่นั่นคือการนั่งรถเมล์นั่นเอง
อันที่จริงผมก็ไม่คิดหรอกว่าเขาจะมีรถเมล์เข้าเมืองเพราะตอนเข้ามาก็โดนพวกรถเหมารุมถามเต็มไปหมด และบอกตามตรงว่ารถเมล์ก็จอดซะไกล ไม่เป็นจุดเด่นเลย ใครจะไปรู้ใช่มะ แต่ตอนนี้ขึ้นเป็นแล้ว ตัวรถเมล์จะจอดทางขวามือไกลๆ ถ้าเราเดินผ่านตม. ออกมา ให้ดูรถเมล์เบอร์ 14 นะครับครับ ตัวรถจะเข้าไปจอดในตัวเมืองเวียงจันทน์ที่ขนส่งหลังตลาดเช้า พอขึ้นมาบนรถเมล์ผมรู้สึกชอบนะ เพราะเราได้ขึ้นต้นสาย คนแทบไม่มี แอร์เย็น แถมเบาะอะไรยังใหม่อยู่ ที่สำคัญราคาแค่ 25 บาท เท่านั้น
ใช้เวลาเดินทางประมาณเกือบชั่วโมงครับ จำได้ว่าจอดหลายป้ายและตัวรถไปไม่เร็วนัก ภาพนี้เป็นบรรยากาศที่ขนส่ง ยังเช้าอยู่และเป็นวันธรรมดาคนเลยไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่
จากจุดนี้หลังจากที่ไปเช็คอินโรงแรมเสร็จแล้ว เราจะเริ่มเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ กัน ขอบอกก่อนว่าในภาพทั้งหมดผมไม่ได้เรียงตามสถานที่ในแต่ละวัน แต่ผมเรียงตามความเหมาะสมของแสงที่เหมาะแก่การถ่ายภาพกับสถานที่นั้นๆ ซึ่งใครที่ยังไม่เคยไปก็ลองดูจากภาพที่ผมถ่ายไว้ได้เลยและแพลนคร่าวๆ ได้เลย ผมกำกับเอาไว้แล้วว่าแต่ละที่ควรไปชมและถ่ายภาพช่วงไหนถึงจะสวย หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ
เริ่มกันที่ ธาตุดำ ก่อนเลย เพิ่งเคยมาที่นี่ครั้งแรกเหมือนกัน เป็นเจดีย์ทรงดอกบัวหกเหลี่ยม ตั้งอยู่ใจกลางเมืองเวียงจันทน์ ถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คอยปกป้องภัยอันตรายแก่บ้านเมือง บอกเลยว่ามีไม่กี่มุมให้ถ่ายเท่าไหร่ (แสงที่เหมาะกับการถ่ายภาพ : ตอนเช้า)
หอพระแก้ว แต่เดิมเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตและยังเคยเป็นวัดหลวงประจำราชวงศ์ของลาว สร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2108 โดยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตที่ได้รับการอัญเชิญจากนครเชียงใหม่ จนเมื่อปี พ.ศ. 2322 นครเวียงจันทน์ถูกกองทัพสยามตีแตก กองทัพสยามได้อัญเชิญพระแก้วมรกต พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของนครเวียงจันทน์ไป พร้อมทั้งกวาดต้อนราชวงศ์ชาวลาวกลับไปยังกรุงเทพฯมากมาย แต่ในปัจจุบันหอพระแก้วได้มีการบูรณะใหม่เกือบทั้งหมด จนกลายมาเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ทุกคนต้องมาเยือน ซึ่งใครที่มาจะเห็นรถทัวร์แทบทุกคันต้องจอดให้นักท่องเที่ยวลงมาชมความสวยงาม ภายในอุโบสถมีพิพิธภัณฑ์แสดงพระแท่นบัลลังก์ปิดทองจารึกพระไตรปิฏกเอาไว้
เวลาเปิดมีสองช่วง คือตั้งแต่เวลา 08.00 - 12.00 น. และ 13.00 - 16.00 น.ค่าเข้าชม 5,000 กีบ (แสงที่เหมาะกับการถ่ายภาพ : ตอนเช้า - ตอนเย็น)
แม้ตัวหอพระแก้วจะได้รับการบูรณะใหม่แต่พวกพระพุทธรูปหรือสถาปัตยกรรมต่างๆ ในสมัยก่อนก็ยังมีหลงเหลือให้เห็น
แสงตอนบ่ายจะฉาบลงตามที่พระพุทธรูปฝั่งขวาของอุโบสถ
รวมไปถึงแผ่นกระเบื้องแสงลงแบบอาร์ตๆ ที่จัดเรียงอย่างเป็นระเบียบ
ด้านหลังของอุโบสถ แปลกใจตรงที่ไม่ค่อยมีคนเดินมาแถวนี้เท่าไหร่ จริงๆ ผมว่าเป็นมุมที่สวยกว่าด้านหน้าซะอีก เพราะมีบริเวณพื้นที่ดูสบายตากว่ากันเยอะ จุดนี้ของมาถ่ายภาพตอนเช้าครับ
ตรงข้ามกับหอกระแก้ว เดินมาไม่กี่ก้าวก็มีอีกหนึ่งวัดชื่อ วัดศรีษะเกษ เป็นอีกวัดยอดนิยมของนักท่องเที่ยว เวลาเปิดมีสองช่วง คือตั้งแต่เวลา 08.00 - 12.00 น. และ 13.00 - 16.00 น.ค่าเข้าชม 5,000 กีบ (แสงที่เหมาะกับการถ่ายภาพ : ตอนเช้า)
วัดศรีษะเกษเป็นวัดที่เก่าแก่ที่สุดในเวียงจันทน์ โดยสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2361 โดยเข้าอนุวงศ์ โดยมีการออกแบบคล้ายกับศิลปะรัตนโกสินทร์ของไทย ภายในประดิษฐานองค์พระประธานเก่าแก่ และมีพระพุทธรูปมากกว่า 2,000 องค์ตามผนัง รวมไปถึงจิตรกรรมฝาผนังเก่าแก่
วัดนี้ผมชอบภาพรวม โดยเฉพาะการที่ทาสีของกำแพงและอุโบสถด้วยสีเดียวกันอย่างสีเหลืองดูเข้ากันดี เวลาโดนแสงในวันที่ฟ้าใสๆ ถ่ายรูปแล้วยิ่งสวย
บริเวณรอบๆ วัดยังมีจุดถ่ายภาพแนวๆ ให้เราครีเอทได้อีกเยอะ
วัดธาตุฝุ่น เป็นอีกหนึ่งวัดที่แนะนำให้มาเดินดู อาจจะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเท่าไหร่ แต่ความสวยงามของสถาปัตยกรรมนี้ยกนิ้วให้เลยเพราะมีบริเวณอาณาเขตที่กว้างและมีหลายจุดที่น่าสนใจในการถ่ายภาพ วัดนี้อยู่ใกล้ๆ กับประตูชัยครับ เวลาเปิดปิด 08.00-17.00 น. เข้าชมฟรี (แสงที่เหมาะกับการถ่ายภาพ : ตอนเย็น)
วัดธาตุฝุ่นเป็นวัดที่สร้างใหม่ในเมื่อปี พ.ศ. 2538 ด้วยผู้มีจิตศรัทธาเนื่องจากอยากรักษาเอกลักษณ์ของวัดเอาไว้ ดังนั้นจึงไม่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ แต่มีความสวยงามแบบสถาปัตยกรรมลาวแท้ๆ
ใครที่ชอบถ่ายภาพสถาปัตยกรรมต้องไม่พลาด มีมุมให้ถ่ายเยอะแยะไปหมด
มาถึงแลนด์มาร์คสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศลาวอย่าง พระธาตุหลวง ปูชนียสถานสำคัญยิ่งแห่งนครหลวงเวียงจันทน์ และเป็นศูนย์รวมใจของประชาชนชาวลาวทั่วประเทศ ตามตำนานกล่าวว่าพระธาตุหลวงมีประวัติการก่อสร้างนับพันปีเช่นเดียวกับพระ ธาตุพนมในประเทศไทย และปรากฎความเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์ของดินแดนทางฝั่งขวาแม่น้ำโขงอย่าง แยกไม่ออก สถานที่นี้ถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์สำคัญอย่างยิ่งของประเทศลาว ดังปรากฏว่าตราแผ่นดินของลาวที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนี้มีรูปพระธาตุหลวงเป็น ภาพประธานในดวงตรา เวลาเปิดปิด 08.00 - 16.00 น.ค่าเข้าชม 5,000 กีบ (แสงที่เหมาะกับการถ่ายภาพ : ตอนเย็น - ค่ำ)
เห็นจากภาพนอกไกลๆ ยังรู้สึกว่าเจดีย์มันทองอร่าม แต่พอเข้าไปข้างในดูใกล้ๆ ก็ยิ่งดูล้ำค่า บอกได้คำเดียวว่ามาตอนบ่ายๆ มีแสบตากันไปข้าง ผมว่าเป็นสถาปัตยกรรมที่สวยที่สุดของเสียงจันทน์แล้วล่ะ
องค์พระธาตุมีความสูง 45 เมตร ลักษณะคล้ายดอกบัวตูมซึ่งหมายถึงสัญลักษณ์คำสอนของพระพุทธเจ้านั่นเอง นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมักไม่พลาดการเข้ามาเที่ยวชมหากผู้หญิงแต่งกายไม่เหมาะสมก็มีผ้าซิ่นให้เช่า
รอบๆ พระธาตุหลวงมีสถานที่สำคัญทางศาสนามากมาย
นอกจากนี้ก็ยังมีหอพระธรรม ซึ่งเป็นสถานที่ดูแลรักษาหนังสือพระธรรมคำสอนต่างๆ ซึ่งได้สร้างขึ้นมาใหม่ มีความสวยงามไม่แพ้โบราณสถานเช่นกัน
สำหรับคนชอบถ่ายภาพแนะนำให้รอถึงช่วงพระอาทิตย์ตก เพราะพระธาตุมีการเปิดไฟส่องสว่างสวยงาม แม้ตัวพระธาตุจะปิดไม่ให้นักท่องเที่ยวเข้าแล้ว แต่ด้านนอกสามารถถ่ายภาพได้
อีกมุมกับแสงสวยๆ ยามค่ำคืน แต่ถ่ายในสวนนี่บริจาคเลือดให้ยุงไปเยอะทีเดียว
สถานที่สุดท้ายที่จะแนะนำถ้าไม่แวะมาก็เหมือนมาไม่ถึงกับ ประตูไซ อนุสรณ์สถานที่ระลึกถึงประชาชนลาวผู้เสียสละชีวิตในสงครามก่อนหน้าการปฎิวัติของพรรคคอมมิวนิสต์กับสถาปัตยกรรมที่ได้รับอิทธิพลมาจากประตูชัยโดยมีการสร้างเลียนแบบ L’Arc De Triomphe กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส (แสงที่เหมาะกับการถ่ายภาพ : ตอนเย็น - ค่ำ)
ไม่แนะนำให้มาช่วงบ่ายๆ เพราะร้อนสุดๆ ตัวประตูไซสามารถขึ้นไปชมทัศนียภาพมุมสูงเมืองเวียงจันทน์ด้านบนได้ ค่าขึ้นอยู่ที่ 2,000 กับ เท่านั้น ประตูปิดเวลา 17.00 น. ที่ประตูชัยไซว่าเป็นสถานที่ฝึกมือถ่ายภาพสถาปัตยกรรมได้อย่างดี
มุมสุดยอดมหาชน ที่เราสามารถเห็นได้เวลาค้นหาได้ตามกูเกิ้ล แน่นอนว่าผมก็ถ่ายภาพมุมนี้มาเหมือนกัน
น้ำพุภายในบริเวณประตูไซมีอยู่สองที่ ส่วนตัวผมชอบน้ำพุใหญ่ (ภาพก่อนหน้านี้) เพราะมันทั้งใหญ่ทั้งอลังการ ส่วนน้ำพุเล็กอาจไม่สวยเท่าแต่ก็ได้ความแปลกของมุมมอง เพราะไม่ค่อยเห็นใครถ่ายมุมนี้มาเลย
หากจังหวะดีๆ เกิดเจอวันไหนที่น้ำพุไม่เปิดเราก็จะได้ภาพสะท้อนน้ำแจ่มๆ แบบนี้แหละ น้ำนิ่งอย่างกับกระจก
ตรงใจกลางประตูไซจะเห็นเรื่องราวมหากาพย์รามายณะที่ประดับไว้อย่างประณีต
แถมให้ภาพสุดท้ายระหว่าง อันนี้ไม่รู้จะพูดว่าเป็นภาพจากประเทศไหนดีระหว่างไทยหรือลาว เพราะถ่ายมาจากสะพานมิตรภาพไทย - ลาว