พันแสงรัก (ภาคต่อภูพันแสง) ตอนที่ ๘ แสงที่ไม่มีวันสลาย

กระทู้สนทนา
พันแสงรัก

ความรัก... ให้แสงสว่างกระจ่างใจ
ขออย่า... ปล่อยให้ความเกลียดชัง
มาบังแสงแห่งความรัก
ขอให้... พันแสงรัก... ส่องสว่าง
ร้อยรัดสองหัวใจให้เคียงคู่





พันแสงรัก (ภาคต่อภูพันแสง) ตอนที่ ๗ แสงตะวันฉาน  http://pantip.com/topic/33001001


ตอนที่ ๘ แสงที่ไม่มีวันสลาย


    อากาศหลังเที่ยงคืนเย็นลงมากจนต้องสวมเสื้อแขนยาวเนื้อนุ่มอีกชั้น ดังนั้นเมื่อนอนไม่หลับจนต้องลุกจากเตียงออกมายืนที่ระเบียงหลังห้องพัก เหม่อมองความมืดมิดของท้องทะเลที่มีเพียงจันทร์นวลสาดส่อง ลมทะเลหนาวเย็นที่พัดกรูเกรียวมากระทบผิวจึงยิ่งทำให้ความเย็นเยียบในหัวใจทวีขึ้น

    ‘ต่อให้คุณนอนดิ้นทุรนทุรายอยู่แทบเท้าต่อหน้าฉัน ความเกลียดชังของฉันก็จะไม่มีวันลดลง’

    เธอคงไม่รู้ วาจาทิ้งท้ายที่เป็นยิ่งกว่ามีดคมกริบก่อนที่จะลุกจากโต๊ะอาหาร ดังก้องอยู่ในหัวใจที่ถูกเชือดเฉือนจนแหว่งวิ่นของเขาขนาดไหน

    หลังจากที่ไศลขอตัวลุกจากโต๊ะ เพื่อพาเจ้าสาวไปตรวจตราความเรียบร้อยอีกครั้งที่บริเวณห้องบอลรูมจัดงาน และครู่ต่อมาเจ้าฟ้าที่รอดชีวิตมาได้ราวปาฏิหาริย์ก็ขอตัวกลับขึ้นไปพักผ่อน เขาจึงเหลือผู้ร่วมโต๊ะเพียงสตรีสาวผู้ชอบทำตัวเย็นชาปั้นหน้านิ่งราวกลายเป็นตุ๊กตาน้ำแข็งแต่มีไฟแห่งความเกลียดชังลุกโชน ที่ต้องอยู่โยงทำหน้าที่รับรองคนที่เธอเกลียดแสนเกลียดเช่นเขาเพียงลำพัง

    เพราะเหตุแห่งความเกลียดชังนี้ เธอจึงไม่รีรอเลยที่จะเอ่ยขอตัวเมื่อเห็นเขารวบช้อนแล้วยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม

    ‘ฉันขอตัวนะคะ’

    คนที่รอโอกาสนี้มาตั้งแต่เมื่อช่วงบ่ายรีบวางแก้วน้ำลง ยื่นมือไปแตะข้อมือเล็กเรียวของผู้กำลังจะลุกจากไป ‘ช่วยอยู่คุยเป็นเพื่อนผมอีกสักครู่ได้มั้ยครับ’

    เธอหลุบเปลือกตาลงมองมือข้างนั้นของเขา พร้อมสะบัดข้อมือตัวเองออกราวว่ามือของเขาคือสิ่งปฏิกูล แล้วเงยหน้าขึ้นมองเขาตาขุ่น

    ‘อย่าแตะต้องตัวฉัน’

    ‘ผมขอโทษ ผมแค่ยังไม่อยากให้คุณลุกไปตอนนี้ มีเรื่องอยากคุยกับคุณนิดหน่อย’

    เธอไม่เดินหนีไปไหน แต่ก็ยังไม่ยอมนั่งลง สีหน้าแสดงออกชัดถึงความไม่เต็มใจอย่างไม่คิดปิดบังเมื่อถาม ‘คุณมีเรื่องอะไรจะคุยกับฉันอีก’

    ‘คุณนั่งลงก่อนดีมั้ยครับ’

    อันนาจงใจกระแทกลมหายใจแรง ทรุดตัวลงนั่งอย่างเสียไม่ได้ ‘คุณมีเรื่องอะไรก็รีบๆ พูดมา’

    ‘อยู่เป็นเพื่อนผมทานของหวานก่อนสิ ผมไม่รู้เลยว่าของหวานพวกนี้คืออะไร ทานยังไง’

    เขาเห็นสตรีผู้นั้นกรอกตาอย่างไม่อยากจะเชื่อว่านี่คือเหตุผลที่เขารั้งให้เธออยู่ เสียงที่เอ่ยออกมาจึงสะบัดอย่างเหลืออด ‘คุณเห็นช้อนนั่นมั้ยคะ’

    ทันทีที่พูดจบ เธอผลุนผลันขึ้นยืนอีกรอบ ตั้งท่าจะทิ้งเขาไว้เพียงเท่านั้น

    คราวนี้... ส่ายีจึงจงใจถือวิสาสะคว้าข้อมือเธอไว้ แล้วกำแน่น ให้เธอออกแรงสะบัดอย่างไรก็ไม่มีทางหลุดมือเขาไปได้

    ‘ผมบอกคุณแล้ว ว่าให้อยู่เป็นเพื่อนผมทานของหวานก่อน’ น้ำเสียงยังสุภาพดุจเดิม แต่เรียบแฝงความเอาจริง

    ‘ปล่อยฉัน’

    ‘งั้นคุณก็ต้องรับปาก ว่าจะนั่งเป็นเพื่อนผมก่อน’

    คราวนี้แววตาขุ่นเคืองของเธอกลายเป็นวาววับด้วยความกรุ่นโกรธ ริมฝีปากบางเฉียบถูกเม้มแน่น กระตุกข้อมือตัวเองออกอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นว่าเขาไม่ยอมปล่อยแน่ ชายหนุ่มจึงได้ยินเธอบอกเสียงกระแทกกระทั้น

    ‘ก็ได้’

    ส่ายีไม่คิดจะเหลือบแลของหวานที่เขายกขึ้นมาอ้างสักนิด คลายมือออกจากข้อมือเล็กของหญิงสาว หันไปหาเธอทั้งตัว มองใบหน้าสวยผุดผาดที่เป็นของหวานหล่อเลี้ยงหัวใจเนิ่นนาน แล้วกลั้นใจถาม

    ‘ทำไมคุณถึงเกลียดผมนัก’

    ใบหน้าที่เมินมองไปทางอื่นตลอดเวลาของเธอหันขวับมาราวกับได้ยินคำถามงี่เง่าไม่ควรถาม น้ำเสียงสูงลิ่วที่ตอบในสิ่งที่เขาอยากรู้จึงปนสมเพชแกมไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้ยินคำถามแบบนี้จากเขา

    ‘นี่คุณยังไม่รู้ตัวถึงความชั่วช้าของตัวเองอีกหรือ ถึงได้มาถามฉันแบบนี้ ไม่เคยรู้เลยหรือว่าที่ผ่านมาปีศาจสงครามอย่างพวกคุณทำอะไรกับสิมขาลไว้บ้าง’

    ถึงแม้นี่คงเป็นประโยคที่ยาวที่สุดที่หลุดจากปากเธอบนโต๊ะอาหารมื้อนี้ แต่ส่ายีกลับไม่รู้สึกอยากฟังแม้แต่น้อย ความจริงนั่นเป็นสิ่งที่เขาพอจะเดาได้อยู่แล้ว แต่ไม่รู้ทำไมเมื่อมันหลุดจากปากของผู้หญิงคนนี้อย่างอัดอั้นและบีบคั้น เขากลับรู้สึกเหมือนทนฟังไม่ได้

    ‘ผม...’

    ส่ายีอ้ำอึ้ง ในขณะที่อันนา เกิดอาการเหมือนภูเขาไฟระเบิด ธารลาวาร้อนระอุไหลทะลัก

    ‘คุณกับพ่อคุณล้างผลาญเข่นฆ่าชาวสิมขาลมาเกือบสามสิบปี คุณยังกล้ามาถามฉันอีกหรือว่า ทำไมฉันถึงเกลียดคุณ รู้บ้างมั้ยว่ามีกี่คนที่ต้องสูญเสียทุกอย่างในชีวิตไปก็เพราะสัตว์ป่ากระหายสงครามอย่างคุณ’

    ชายหนุ่มนิ่งฟังอย่างสงบแม้จะถูกบริภาษรุนแรง แต่นั่นกลับทำให้อันนายิ่งพรั่งพรูออกมา

    ‘คุณรู้มั้ยคะ สงครามที่พ่อคุณเป็นคุณก่อ สอนให้ฉันรู้จักความสูญเสียตั้งแต่วันแรกที่ฉันลืมตาดูโลกเลยเชียว ตอนคลอดฉันคุณแม่ตกเลือดมาก จริงๆ ท่านควรจะไปคลอดที่โรงพยาบาล แต่ตอนนั้นหมู่บ้านของเราถูกทหารการ์เมียนปิดล้อมอยู่ กว่าเราจะตอบโต้จนทหารพวกนั้นยอมถอยร่นกลับไปได้ อาการของคุณแม่ก็เพียบหนัก เมื่อไปถึงโรงพยาบาลในอีกสองวันต่อมาหลังจากคลอดฉัน ทุกอย่างก็สายเกินไปแล้ว’

    เป็นครั้งแรก ผู้หญิงที่เขามองว่าเธอเข้มแข็ง บอบบางแต่แข็งแกร่งมีหยาดน้ำตารื้นให้เห็นในดวงตาแววคับแค้นและชิงชังลุกโชน

    ‘จากการถูกปิดล้อมคราวนั้น คุณพ่อที่กำลังจะได้รับของขวัญชิ้นพิเศษที่สุดในชีวิตต้องสูญเสียภรรยาไปพร้อมกับขาอีกข้างหนึ่งเพราะพลาดถูกสะเก็ดระเบิดระหว่างการปะทะ เท่านั้นยังไม่พอ... ครอบครัวเรายังเสียญาติสนิทไปอีกสามคนตอนที่พยายามช่วยกันตีโต้เพื่อฝ่าวงล้อมพาคุณแม่ไปโรงพยาบาลให้ได้’

    ดวงตาของเธอทอประกายดั่งเพลิง ความเกลียดชังลุกโชน ‘แล้วอย่างนี้หรือจะไม่ให้ฉันเกลียดคุณเกลียดพ่อคุณ หึ... ตั้งแต่นั้นมาคุณพ่อเลยตั้งใจ ชีวิตนี้จะอุทิศให้กองทัพสิมขาลได้ทุกอย่าง’

    และนี่คือคำตอบที่เขาเคยสงสัยหลังจากที่คนของเขาเคยส่งรายงานลับกลับมา นักธุรกิจใหญ่ครอบครัวนี้คือเส้นเลือดหลักที่หล่อเลี้ยงกองทัพสิมขาล รายได้เกือบทั้งหมดที่ได้จากการทำธุรกิจ ถูกนำมาใช้เพื่อทำสงครามต่อต้านการ์เมียน

    ‘ผม... เสียใจ’

    ‘สายเกินไปแล้วค่ะ สายเกินไปที่จะมาพูดคำนี้กับฉันแล้ว’

    ส่ายีตกใจกับน้ำเสียงขุ่นที่ถูกตวัดห้วน ได้แต่นิ่งฟังเธอสาธยายถึงความรู้สึกของผู้ถูกรุกรานราวทำนบแตก    

    ‘คุณคงคิดว่า บาวีคือปีศาจที่คอยขัดขวางไม่ให้คุณได้ในสิ่งที่คุณต้องการ โหดเหี้ยม ฆ่าศัตรูได้อย่างไม่ปราณี แต่คุณรู้มั้ย พ่อคุณเป็นคนฝึกเขาให้เป็นแบบนั้นเอง พ่อคุณเป็นคนฝึกให้เด็กผู้ชายคนหนึ่งที่รักอิสระ ฝันอยากเป็นจิตรกรวาดรูปสวยๆ ต้องวางพู่กัน แล้วหันมาจับปืน ฝึกตัวเองให้กลายเป็นเครื่องจักรฆ่าทุกคนได้ถ้าคนๆ นั้นมันคือศัตรูตั้งแต่เขาอายุแค่สิบขวบ’

    ‘ทำไม’ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจะได้รู้ประวัติของไศล

    ‘เพราะพ่อคุณฆ่าครอบครัวเขาทั้งหมดทุกคน ไม่มีใครเหลือรอด แม้กระทั่งน้องสาวอายุแค่สามขวบของเขา ครอบครัวของเขาต้องพินาศชั่วพริบตาก็เพราะสัตว์สงครามที่กระหายอยากเอาชนะและละโมภอย่างไม่มีที่สิ้นสุดแบบพ่อคุณไง’

    ‘มันเกิดขึ้นได้ยังไง’ ที่ผ่านมาเขาไม่เคยรู้เลย ว่าไศลคือใคร ไม่เคยทราบประวัติ ไม่เคยเห็นรูปถ่าย รู้แต่ว่าคนๆ นี้ขึ้นเป็นบาวีนำกองทัพสิมขาลเข้าโรมรันกับการ์เมียนเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา

    ‘ครอบครัวเขาเป็นครอบครัวของนายทหารมหาดเล็ก บ้านพักอยู่ใกล้พระราชวังตาโมนิดเดียว ดังนั้นวันที่พ่อคุณเข้ามาโค่นล้มราชวงศ์ ครอบครัวนั้นจึงพลอยพินาศไม่เหลือชิ้นดีไปด้วย’

    ความเจ็บปวดไปกับโชคชะตาที่ผู้ชายคนนั้นได้รับ ถูกถ่ายทอดผ่านสีหน้าและน้ำเสียงของสตรีที่อยู่ตรงหน้าเขา ราวกับว่าเธอรับเอาหัวใจเจ็บปวดจากความสูญเสียนั้นมาสวมไว้กับหัวใจตน

    ‘คุณคงผูกพันกับเขามาก’

    ‘แน่นอนค่ะ ครอบครัวเราสองคนรู้จักกันตั้งแต่พวกเราเด็กๆ’

    รู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ แล้วเธอมีสายตาแบบที่เขาแอบเห็นตอนที่ไศลยังนั่งรับประทานอาหารมานานแค่ไหนแล้วหนอ แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าพรุ่งนี้ผู้ชายคนนั้นจะแต่งงานกับน้องสาวของเขาอยู่แล้ว แต่ส่ายีก็ยังไม่วายรู้สึกเหมือนหัวใจโดนเข็มแทง จึงตัดบทสนทนาให้ห่างจากชายผู้นั้น

    ‘แล้ว... ผู้ชายที่นั่งหัวโต๊ะเมื่อครู่ เอ่อ...’

    จนบัดนี้เขาก็ยังไม่รู้ว่า บุรุษทรงอำนาจที่ได้รับเกียรติให้นั่งหัวโต๊ะเมื่อครู่ชื่ออะไร แต่ที่เขาแน่ใจคือ เป็นผู้สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์ตาโมแน่นอน

    ‘ท่านเป็นอีกคนหนึ่ง ที่ทุกคนในครอบครัวต้องสังเวยชีวิตให้กับสัตว์ป่ากระหายเลือดพ่อคุณ ชีวิตอันสูงศักดิ์ของท่านพลิกผัน ต้องใช้ชีวิตอย่างหลบๆ ซ่อนๆ ตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา สูญเสียทุกสิ่งแม้กระทั่งฐานันดรที่ติดตัวท่านมาตั้งแต่กำเนิด’
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่