ชื่อนี้คงจดจำไปอีกแสนนาน.... ด้วยคำที่กล่าวขานกันมานานว่า อร่อยล้ำลึก มาเชียงใหม่ต้องมาลิ้มลองให้ได้ แต่ ..... สิ่งที่พบเจอกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง
เมื่อ 2 ปีก่อน เราเคยมาที่ร้านนี้แล้วเพราะได้รับคำแนะนำจากน้องที่รู้จักให้มาลองชิมเค้กร้านนี้ให้ได้หากมีโอกาสมาที่จังหวัดเชียงใหม่ แต่ครั้งนั้นเราไปถึงประมาณ บ่าย 3 โมง เค้กก็หมดสะแล้ว ก็เลยตั้งใจไว้ว่าหากมีโอกาสมาเชียงใหม่จะต้องมาชิมให้ได้ จนมาถึงปี 2558 ครั้งนี้ตั้งใจว่าจะไม่พลาดอย่างแน่นอน ตื่นเช้ามาเรารีบไปที่พิกัด ร้าน “เค้กคอตเทจ” (Cake Cottage) ทันที แต่เนื่องจากอยากทานอาหารเช้าก่อนเลยแวะร้าน ก๋วยเตี๋ยวหลุดโลกที่อยู่ใกล้ๆ กัน ซึ่งตอนนั้นลูกค้าเยอะมาก แต่ก็ได้รับการบริการเป็นอย่างดีมาก จึงคิดในใจวันนี้ต้องเป็นวันที่ดีแน่ๆ หลังจากทานก๋วยเตี๋ยวเป็นที่เรียบร้อย เราก็เดินไปที่ร้าน “เค้กคอตเทจ” (Cake Cottage) ทันที แต่ .........
แค่ก้าวแรกที่เดินข้ามผ่าประตูเข้าไปในร้าน ณ เวลา 11:20 น. ของวันอาทิตย์ที่ 4 มค. 58 ไม่มีบรรยากาศความเป็นมิตร กลิ่นไอของความเป็นร้านเบอร์เกอรี่เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งกลับได้รับสายตาและเสียงที่เย็นชาเหมือนไม่พร้อมจะให้บริการกับใครคนใดที่เข้ามาในร้าน ณ ขณะนั้น (ชายสูงผอมผิวค้ำ หญิงผิวขาวสูงอายุ และสาวรุ่นผิวขาว) แต่ด้วยความอยากจะลองสัมผัสกับเค็กที่เค้าว่ามีชื่อเสียง จึงเดินเข้าไปสั่ง เค็กมะพร้าวและเค็กมะนาว อย่างละ 1 ชิ้น ราคาชิ้นละ 65-75 บาท พร้อมเครื่องดื่มเป็นชาฝรั่งเศสร้อน 1 set สัมผัสแรกกับเค็กทั้ง 2 ชิ้น รสชาติไม่หวานมาก วัถตุดิบดูคัดสรรมาอย่างดี ระหว่างที่เรากำลังนั่งคุยกันนั้น ลูกสาวและลูกชาย ก็สนุกกับการเล่นที่รองแก้ว เหตุการณ์ที่เราไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น !!!! ชายผิวค้ำเดินมาที่โต๊ะแล้ว ทำเสียงแข็งแสดงความไม่พอใจ โดยพูดว่า "ขอเก็บที่รองแก้วนะ นี่มันไม่ใช่ของเล่น" กับเด็กอายุ 4 และ 5 ขวบโดยที่เราก็นั่งอยู่ โดยที่ในขณะนั้นมีกลุ่มเราเพียงโต๊ะเดียวที่นั่งอยู่ในร้าน สิ่งที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้น ทำให้รสชาติของเค้กเหล่านั้นหมดไปทันที ทั้งนี้หากการเล่นของเด็กนั้นสร้างความไม่สบายใจกับคุณ คุณก็สามารถขอความร่วมมือโดยบอกกับผมก็ได้ เพราะคุณก็ทราบอยู่แล้วว่าเด็กทั้งสองคนนั้นมากับพวกเราเพราะนั่งโต๊ะเดียวกัน หลังจากนั้นผมก็ไม่ตอบโต้อะไร แต่ทิ้งทุกอย่างไว้บนโต๊ะ หยุดชิม !!! และเดินไปให้คิดเงิน (230 บาท) เพื่อออกจากร้านทันที จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันแสดงให้เราเห็นว่า ร้าน “เค้กคอตเทจ” (Cake Cottage) จุดประสงค์ของเค้าก็แค่
ขายเค้กและก็แค่ทำให้มันอร่อย เมื่อมันอร่อยคนก็จะมาแย่งกันซื้อเอง หากจะหวังว่าจะได้อะไรมากกว่านั้น สำหรับผมคงหาไม่ได้จากร้านนี้ โดยเฉพาะ จิตวิญญาณของการเป็นผู้ให้บริการร้านเบอร์เกอรี่
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ไม่คิดว่าจะได้เจออะไรแบบนี้ เพราะประสบการณ์เราเคยเจอแต่ คนอารมณ์ดี ยิ้มแย้มภายในร้านเบอร์เกอรี่ หรือร้านของหวานต่างๆ ซึ่งเราคิดเสมอว่า การเปิดร้านเบอร์เกอรี่ที่สำคัญจะต้อง มีทัศนคติที่ดีและพร้อมให้บริการกับลูกค้าที่เดินเข้ามาในร้านโดยเฉพาะ ลูกค้าที่เป็นเด็ก แต่สิ่งที่ได้รับจากร้าน “เค้กคอตเทจ” (Cake Cottage) ทำให้ผมเสียดายทั้งเวลา เสียความตั้งใจ เสียดายเงินจำนวนเล็กน้อยนี้เป็นอย่างมาก ผมเสียเงินหลักหมื่นในการทดลองชิมร้านอาหารต่างๆ มากมาย แต่ครั้งนี้ผมเสียดายเงินจำนวนแค่ 230 บาท เป็นอย่างมาก เพราะเป็นเงินที่ผมไม่ควรมาเสียให้กับร้านที่มีทัศนคติแบบนี้กับลูกค้า ซึ่งผมและครอบครัวปกติพวกเราไม่ได้มองโลกสวยอะไรมากมายนัก เราแค่มองโลกในมุมมองที่บวกเมื่อเราไปเยี่ยมเยือนสถานที่ต่างๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเรายังคิดเสมอว่าไม่น่าจะเกิดกับทุกคนที่มาที่ร้านนี้ เราอาจจะเป็นกลุ่มที่โชคร้ายมาร้านนี้ในวันที่ไม่ดีเท่าไหร่นักเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ผมไม่รู้ว่าเกิดขึ้นทุกคนหรือไม่ แต่หวังว่าทุกคนจะไม่ประสบเหตุการณ์แบบที่ผมเจอในครั้งนี้ และครั้งจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะไปใช้บริการร้านนี้
ขอบคุณครับ
ร้าน “เค้กคอตเทจ” (Cake Cottage) จังหวัดเชียงใหม่ "สิ่งที่หวังชั่งตรงข้ามกับสิ่งที่เจอ"
เมื่อ 2 ปีก่อน เราเคยมาที่ร้านนี้แล้วเพราะได้รับคำแนะนำจากน้องที่รู้จักให้มาลองชิมเค้กร้านนี้ให้ได้หากมีโอกาสมาที่จังหวัดเชียงใหม่ แต่ครั้งนั้นเราไปถึงประมาณ บ่าย 3 โมง เค้กก็หมดสะแล้ว ก็เลยตั้งใจไว้ว่าหากมีโอกาสมาเชียงใหม่จะต้องมาชิมให้ได้ จนมาถึงปี 2558 ครั้งนี้ตั้งใจว่าจะไม่พลาดอย่างแน่นอน ตื่นเช้ามาเรารีบไปที่พิกัด ร้าน “เค้กคอตเทจ” (Cake Cottage) ทันที แต่เนื่องจากอยากทานอาหารเช้าก่อนเลยแวะร้าน ก๋วยเตี๋ยวหลุดโลกที่อยู่ใกล้ๆ กัน ซึ่งตอนนั้นลูกค้าเยอะมาก แต่ก็ได้รับการบริการเป็นอย่างดีมาก จึงคิดในใจวันนี้ต้องเป็นวันที่ดีแน่ๆ หลังจากทานก๋วยเตี๋ยวเป็นที่เรียบร้อย เราก็เดินไปที่ร้าน “เค้กคอตเทจ” (Cake Cottage) ทันที แต่ .........
แค่ก้าวแรกที่เดินข้ามผ่าประตูเข้าไปในร้าน ณ เวลา 11:20 น. ของวันอาทิตย์ที่ 4 มค. 58 ไม่มีบรรยากาศความเป็นมิตร กลิ่นไอของความเป็นร้านเบอร์เกอรี่เลยแม้แต่น้อย อีกทั้งกลับได้รับสายตาและเสียงที่เย็นชาเหมือนไม่พร้อมจะให้บริการกับใครคนใดที่เข้ามาในร้าน ณ ขณะนั้น (ชายสูงผอมผิวค้ำ หญิงผิวขาวสูงอายุ และสาวรุ่นผิวขาว) แต่ด้วยความอยากจะลองสัมผัสกับเค็กที่เค้าว่ามีชื่อเสียง จึงเดินเข้าไปสั่ง เค็กมะพร้าวและเค็กมะนาว อย่างละ 1 ชิ้น ราคาชิ้นละ 65-75 บาท พร้อมเครื่องดื่มเป็นชาฝรั่งเศสร้อน 1 set สัมผัสแรกกับเค็กทั้ง 2 ชิ้น รสชาติไม่หวานมาก วัถตุดิบดูคัดสรรมาอย่างดี ระหว่างที่เรากำลังนั่งคุยกันนั้น ลูกสาวและลูกชาย ก็สนุกกับการเล่นที่รองแก้ว เหตุการณ์ที่เราไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น !!!! ชายผิวค้ำเดินมาที่โต๊ะแล้ว ทำเสียงแข็งแสดงความไม่พอใจ โดยพูดว่า "ขอเก็บที่รองแก้วนะ นี่มันไม่ใช่ของเล่น" กับเด็กอายุ 4 และ 5 ขวบโดยที่เราก็นั่งอยู่ โดยที่ในขณะนั้นมีกลุ่มเราเพียงโต๊ะเดียวที่นั่งอยู่ในร้าน สิ่งที่เกิดขึ้น ณ เวลานั้น ทำให้รสชาติของเค้กเหล่านั้นหมดไปทันที ทั้งนี้หากการเล่นของเด็กนั้นสร้างความไม่สบายใจกับคุณ คุณก็สามารถขอความร่วมมือโดยบอกกับผมก็ได้ เพราะคุณก็ทราบอยู่แล้วว่าเด็กทั้งสองคนนั้นมากับพวกเราเพราะนั่งโต๊ะเดียวกัน หลังจากนั้นผมก็ไม่ตอบโต้อะไร แต่ทิ้งทุกอย่างไว้บนโต๊ะ หยุดชิม !!! และเดินไปให้คิดเงิน (230 บาท) เพื่อออกจากร้านทันที จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันแสดงให้เราเห็นว่า ร้าน “เค้กคอตเทจ” (Cake Cottage) จุดประสงค์ของเค้าก็แค่
ขายเค้กและก็แค่ทำให้มันอร่อย เมื่อมันอร่อยคนก็จะมาแย่งกันซื้อเอง หากจะหวังว่าจะได้อะไรมากกว่านั้น สำหรับผมคงหาไม่ได้จากร้านนี้ โดยเฉพาะ จิตวิญญาณของการเป็นผู้ให้บริการร้านเบอร์เกอรี่
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ไม่คิดว่าจะได้เจออะไรแบบนี้ เพราะประสบการณ์เราเคยเจอแต่ คนอารมณ์ดี ยิ้มแย้มภายในร้านเบอร์เกอรี่ หรือร้านของหวานต่างๆ ซึ่งเราคิดเสมอว่า การเปิดร้านเบอร์เกอรี่ที่สำคัญจะต้อง มีทัศนคติที่ดีและพร้อมให้บริการกับลูกค้าที่เดินเข้ามาในร้านโดยเฉพาะ ลูกค้าที่เป็นเด็ก แต่สิ่งที่ได้รับจากร้าน “เค้กคอตเทจ” (Cake Cottage) ทำให้ผมเสียดายทั้งเวลา เสียความตั้งใจ เสียดายเงินจำนวนเล็กน้อยนี้เป็นอย่างมาก ผมเสียเงินหลักหมื่นในการทดลองชิมร้านอาหารต่างๆ มากมาย แต่ครั้งนี้ผมเสียดายเงินจำนวนแค่ 230 บาท เป็นอย่างมาก เพราะเป็นเงินที่ผมไม่ควรมาเสียให้กับร้านที่มีทัศนคติแบบนี้กับลูกค้า ซึ่งผมและครอบครัวปกติพวกเราไม่ได้มองโลกสวยอะไรมากมายนัก เราแค่มองโลกในมุมมองที่บวกเมื่อเราไปเยี่ยมเยือนสถานที่ต่างๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นเรายังคิดเสมอว่าไม่น่าจะเกิดกับทุกคนที่มาที่ร้านนี้ เราอาจจะเป็นกลุ่มที่โชคร้ายมาร้านนี้ในวันที่ไม่ดีเท่าไหร่นักเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ ผมไม่รู้ว่าเกิดขึ้นทุกคนหรือไม่ แต่หวังว่าทุกคนจะไม่ประสบเหตุการณ์แบบที่ผมเจอในครั้งนี้ และครั้งจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะไปใช้บริการร้านนี้
ขอบคุณครับ