สวัสดีค่ะ นี่เป็นกระทู้แรกของเราเลยค่ะ เพิ่งเคยตั้งกระทู้พันทิปเป็นครั้งแรก ขาดตกบกพร่องยังไงขออภัยด้วยนะคะ
ที่มาตั้งนี่เนื่องจากว่าเราไม่รู้จะไปเล่าให้ใครฟัง และปรึกษาใครแล้วค่ะ คุยมาหมดแล้วค่ะทั้งป๊าแม่ พี่ชาย เพื่อน แฟน จนไม่รู้จะเล่าให้ใครฟังแล้วค่ะ
และเราเบื่อ เราเหนื่อย เราสุดจะทนกับเรื่องนี้แล้วจริงๆ
ต้องเท้าความก่อนนะคะ บ้านเรามี 5 คน มีป๊า แม่ พี่ชาย 2 คนแล้วก็เรา ฐานะครอบครัวก็เป็นชนชั้นกลางค่อนไปทางดีค่ะ
คือบ้านของเราจริงๆอยู่พระราม 2 ซึ่งอยู่ไกลโพ้นมาก คือถ้าขับรถเข้ามาในเมืองมันไม่ได้ใช้เวลานานขนาดนั้น แต่ปัญหาคือเราไม่สามารถไปไหนมาไหนเองได้ เพราะถ้าจะใช้รถประจำทางก็กินเวลากว่า 3 ชั่วโมง ไหนจะหมู่บ้านเราที่อยู่ลึกมากๆ ถ้ากลับค่ำมืดต้องนั่งวินเข้ามา อันตรายค่ะ
เราเรียนโรงเรียนในกรุงเทพตั้งแต่อนุบาล โดยนั่งรถมากับอาจารย์ที่บ้านอยู่ใกล้ๆกันตั้งแต่เด็กจนถึง ม.3 เพราะพ่อแม่เราต้องทำงาน ไม่สามารถมาส่งได้
จนขึ้นม.4 เราสอบเข้าโรงเรียนเดียวกับพี่ชายเราได้ ซึ่งหมายความว่าเราก็จะไม่สามารถนั่งรถอาจารย์คนเดิมได้อีกต่อไป เพราะเราต้องย้ายโรงเรียน แล้วที่สำคัญโรงเรียนเก่าของเรากับโรงเรียนใหม่อยู่ค่อนข้างห่างกัน ถ้าจะให้อาจารย์มาดรอปเราที่โรงเรียนเก่าแล้วนั่งรถไปโรงเรียนใหม่ เป็นไปไม่ได้แน่ๆเพราะรถติดมากๆ และเราต้องไปโรงเรียนสายชัวร์ๆ
จะให้เราไปอยู่หอกับพี่ชาย ป๊ากับแม่ก็ไม่ค่อยอยากให้เราอยู่หออีก ดังนั้นป๊าเลยตัดสินใจซื้อคอนโดค่ะ เป็นคอนโดค่อนข้างใหญ่มี 3 ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องครัว อยู่แถวเอกมัย ก็นั่งรถไฟฟ้าไปโรงเรียนแค่ไม่กี่สิบนาที ซึ่งสะดวกกว่ามาก และตอนนี้ญาติของเราก็เริ่มมีบทบาทในชีวิตเราค่ะ
ญาติเราเป็นผู้หญิง เป็นญาติฝ่ายคุณแม่ คือเค้าเป็นหลานแม่ เป็นลูกสาวของน้องสาวแม่ พื้นเพคุณแม่เราเป็นคนเหนือค่ะ แล้วบ้านของญาติเราก็อยู่จังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ ซึ่งพอดีว่าเค้าได้โควต้าต่างจังหวัดมาเข้าโรงเรียนเดียวกับเราพอดี ดังนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรกันมากค่ะ แม่เราก็เลยให้เค้ามาอยู่คอนโดกับเราและพี่ชายอีก 2 คน ซึ่งตอนนั้นเราก็ดีใจมากที่จะมีเพื่อนพูดคุยที่เป็นผู้หญิงและวัยเดียวกันสักที จริงๆแล้วเราค่อนข้างสนิทกับญาติเราค่ะ เพราะทุกปิดเทอมเค้าจะลงมากรุงเทพ ไม่ก็เราขึ้นไปเที่ยวทางเหนือ ทำให้สนิทกันมาก
เราก็อยู่กับเค้ามาตั้งแต่ตอนขึ้นม.4 ใหม่ๆค่ะ อยู่สายวิทย์เหมือนกัน ก็ช่วยกันเรียน ไปเรียนพิเศษพร้อมกัน กลับบ้านพร้อมกัน ตัวติดกันเหมือนฝาแฝดเลยค่ะ จนเข้ามหาลัยก็ต้องแยกกัน เพราะอยู่คนละมหาลัยกัน แต่ยังอยู่คอนโดเดียวกันนะคะ แล้วก็ไม่ได้ทำให้ความสนิทเราน้อยลงไปเลย
แน่นอนว่าพอเข้ามหาลัย ชีวิตก็เริ่มเปลี่ยน ถูกมั้ยคะ เราเองก็มีแฟน เป็นเด็กแลกเปลี่ยนที่มาเรียนที่คณะ ซึ่งเราก็แนะนำแฟนเราให้ญาติเรารู้จักด้วย บางทีเราก็ไปเที่ยวไปอะไรด้วยกัน ก็สนิทกันดีค่ะ
ส่วนญาติเราไม่มีแฟน เพราะนิสัยเค้าเป็นคนที่คุยกับคนยาก ไม่ค่อยเข้าหาคนอื่น ดังนั้น 4 ปี ญาติเราไม่มีแฟนเลย
ต้องเล่าอีกนิดนึงว่า เนื่องจากแฟนเราเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน เค้าก็เลยอยู่ไทยแค่ปีเดียว หลังจากนั้นเค้าก็กลับประเทศไปค่ะ ทำให้เราต้องคุยกันทางสไกป์ ซึ่งเราบอกเลยว่าเราคุยกับแฟนเป็นเวลามาก เพราะเค้าต้องทำงานพิเศษ ไม่ได้คุยทุกวัน บางทีอาทิตย์นึงคุยกัน 2-3 ครั้ง เพราะเค้าเหนื่อย ทำงานพิเศษเลิกดึก คุยไม่ไหว เราก็ไม่ได้ว่าอะไรค่ะ เราเข้าใจ
แล้วเราก็ไม่เคยเปิดสปีคเกอร์เสียงดังเวลาคุยกันเลย เราใส่หูฟังตลอด แล้วก็เข้าไปคุยในห้องนอนคนเดียวตลอด ไม่ใช่ไม่อยากให้ใครได้ยินเรื่องที่คุยกันนะคะ คือจริงๆเราก็ไม่ชอบคุยกับแฟนต่อหน้าคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือพี่น้อง ก็ไม่ค่อยอยากค่ะ รู้สึกไม่ค่อยเป็นส่วนตัว คือเรื่องที่คุยกันก็ไม่มีอะไรหรอก เป็นเรื่องทั่วๆไป แล้วถึงเราจะคุยให้ใครได้ยินเค้าก็ฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดีค่ะ เพราะเรากับแฟนใช้ภาษาของแฟนคุยกัน
แล้วที่สำคัญคือเราไม่อยากให้เสียงที่เราคุยกับแฟนรบกวนใครค่ะ ก็เลยปลีกตัวไปดีกว่า
จนกระทั่งเราเรียนจบ ทำงานได้เกือบปี พี่ชายคนโตเราก็แต่งงาน ป๊าเลยยกคอนโดที่เอกมัยอันนั้นให้เป็นเรือนหอพี่ชาย แล้วก็ซื้อคอนโดใหม่ให้เรากับพี่คนกลางอีกคอนโดนึง ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากคอนโดเดิมเท่าไหร่ค่ะ อันนี้มี 2 ห้องนอนเหมือนกัน แต่เนื่องจากเราเรียนจบแล้ว ทำงานแล้ว ป๊าเลยให้เรากับพี่ช่วยกันผ่อน แต่คือพี่ชายเราเรียนหมอ ต้องใช้ทุนอยู่ต่างจังหวัด ฮีเลยไม่ได้อยู่คอนโดเลย สรุปว่าเราเลยต้องผ่อนคนเดียวโดยมีป๊ากับพี่คนโตช่วยผ่อนด้วยส่วนหนึ่ง และแน่นอนว่า ญาติเราก็ย้ายตามมาอยู่ด้วยค่ะ
คอนโดเรามี 2 ห้องใช่มั้ยคะ ก็ให้เค้าไปเลยค่ะ ห้องนึง คือจริงๆเราก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอเราต้องทำงานเอง ต้องผ่อนคอนโดเอง ซึ่งหมดไปพอสมควรกับเงินเดือน เราก็เลยคิดว่า ถ้าเค้าจะอยู่กับเราเค้าควรมีน้ำใจช่วยเราผ่อนหน่อยมั้ย?
แต่เราก็คิดแง่ดีว่า อะ เค้าคงไม่อยู่ถาวรหรอก ยังไงซะก็พี่น้องกัน อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน ไม่เป็นไรหรอก ยังไงคอนโดอันนี้มันก็เป็นสมบัติของเราอยู่ดี ถูกมั้ยคะ ก็ช่วยๆกันไป
พยายามคิดในแง่ดีค่ะ แล้วก็มาคิดอีกว่า เออ...ถึงเค้าไม่ช่วยผ่อนคอนโด เค้าควรจะช่วยเราออกค่าใช้จ่ายอื่นๆบ้างมั้ย? เพราะเค้าก็ทำงานแล้วเหมือนกัน เช่นค่าน้ำค่าไฟ ก็หารกันมั้ย? เฟอร์นิเจอร์อะไรงี้ ก็ช่วยกันออกหน่อยมั้ย? คือเรื่องเฟอร์เราก็ไม่ได้อะไรหรอกค่ะ แต่แค่พูดว่า เออ เดี๋ยวช่วยจ่ายนะ เราก็รู้สึกดีแล้ว จริงๆเราซื้อของเราเองได้ แต่แค่พูดนิดหน่อยว่า จะช่วยนะ มันก็ดูเป็นการแสดงน้ำใจที่ดีอยู่เหมือนกันนะคะ
แต่นี่ไม่เคยเลยค่ะ เค้าทำตัวเหมือนตอนเค้าอยู่ม.ปลาย มหาลัยเป๊ะ.. คืออยู่คอนโดของบ้านเราเฉยๆ ไม่เคยช่วยออกค่าใช้จ่ายใดๆในบ้านเลยทั้งสิ้น แม้แต่พ่อแม่เค้าก็ไม่เคยเอ่ยปากช่วยบ้านเราออกค่าใช้จ่ายตั้งแต่ให้ลูกเค้ามาอยู่กรุงเทพใหม่ๆแล้วค่ะ แต่คือป๊าเราก็มองว่า เออ บ้านเรามีฐานะกว่าเค้าก็ช่วยๆเหลือกันไป ไม่เป็นไร วันข้างหน้าเค้าคงได้ช่วยเหลือเราบ้าง อะไรแบบนี้
ป๊าเราบอกว่าถึงเค้าจะให้เงินป๊า ป๊าก็ไม่เอาหรอก ป๊าถือว่าช่วยกัน เป็นพี่เป็นน้องกัน แต่ป๊าก็บอกว่า เค้าควรเอ่ยปากแสดงน้ำใจว่าจะช่วยเหลือเราบ้าง สักนิดก็ยังดี
คือเรื่องแบบนี้จะไปพูดมันก็จะบาดหมางกันเปล่าๆถูกมั้ยคะ ก็เลยทำเป็นลืมๆไม่สนใจไปก็แล้วกัน บ้านเราไม่ได้เดือดร้อนทางการเงินก็ผ่านๆมันไปแล้วกัน
แล้วทุกเดือนเราก็มานั่งคิดตลอดเลยค่ะ ว่าเค้าจะไม่ช่วยเราจ่ายค่าน้ำค่าไฟสักนิดดดดเลยเหรอ เราจะพูดเราก็ไม่กล้า ได้แต่พูดว่า เอ้อ เดือนนี้ค่าไฟเยอะนะ ปิดไฟหน่อยนะ เวลาไม่ใช้ ประหยัดๆไฟหน่อยนะ เหมือนแม่บ่นลูกเลยค่ะ แต่คือเราก็พยาย๊ามมมม พยายามมมมคิดในแง่ดีมากๆๆๆๆอีกว่า เออ เค้าเงินเดือนน้อยกว่าเรานะ จะให้เค้าไปซื้อคอนโดอยู่ใหม่ก็คงผ่อนไม่ไหว อะไรแบบนั้น
นี่ยังไม่รวมถึงเค้าชอบเอาเครื่องสำอางค์เราไปใช้ ชอบเอากระเป๋าเราไปถือ บางทีเอารถเราไปขับ น้ำมันหมดก็ไม่เติมให้... คือเค้าชีวิตสบายมากค่ะ ไม่ต้องจ่ายอะไรเลยเหมือนตอนม.ปลายเป๊ะ ในขณะที่บางทีเราต้องรับจ๊อบนอกเวลาเพื่อเอาเงินมาผ่อนคอนโดและซื้อของและต้องผ่อนรถด้วย
แล้วมันก็มาโป๊ะแตกในวันนึงค่ะ เค้าไปทำงาน เราหาแป้งชาแนลตลับละ 2000 กว่าบาทของเราไม่เจอมาหลายวันแล้ว คือเราใช้ทุกวันค่ะ แต่คือแป้งเรามีหลายอัน ไม่มีอันนี้เลยใช้อันอื่นแทนก็ได้ แต่นี่คือหายหาไม่เจอแบบผิดสังเกตมาก เราก็เข้าไปค้นในห้องเค้าค่ะ เพราะเค้าชอบหยิบไปแล้วไม่เอามาเก็บที่เดิม เราค้นแล้วค้นอีกก็ไม่เจอค่ะ งงมากว่าหายไปไหน จนมาเจอเศษแป้งเป็นผงเล็กๆอยู่ที่พื้น เลยก้มลงดูใต้โต๊ะเครื่องแป้ง ปรากฏว่า....แป้งชาแนลตลับละ 2000 กว่าบาทของดิฉันหล่นแตกกระจาย และถูกเขี่ยไปอยู่ใต้ขาโต๊ะเครื่องแป้ง...
วินาทีนั้นคือโกรธที่ทำไมถึงทำแบบนี้ แล้วไม่บอกกัน แต่ไม่โกรธเท่ากับตอนที่เจอโฉนดคอนโดแถวๆนนทบุรีที่ซื้อมาแล้วกว่า 4 ปี.......
หมายความว่าไงวะคะะะะะะะ บอกเลยว่าครอบครัวเราไม่เคยรู้เลยว่าครอบครัวเค้าซื้อคอนโด หรือมีคอนโดอยู่ในเมือง เราโมโหมากโทรไปเล่าให้ป๊าให้แม่ ให้พี่ชาย ให้เพื่อน ให้แฟนฟัง ทุกคนก็โมโหเพื่อนกับแฟนบอกว่าให้ไปพูดกับเค้าตรงๆ แล้วบอกเค้าให้ย้ายออกไปอยู่คอนโดตัวเองได้แล้ว
แต่ก็นั่นแหละค่ะ น้ำท่วมปากอีกแล้ว เพราะแม่เราบอกว่าค่อยๆคุยกับเค้านะ อย่าไปโมโหใส่เค้า ยังไงซะเราก็เป้นญาติพี่น้องกัน
วันนั้นเค้ากลับมาบ้านเราก็ถามเลยค่ะเรื่องคอนโดกับเรื่องแป้ง เค้าก็ตอบส่งๆค่ะว่าคอนโดยังโล่งไม่มีเฟอเลย อยู่ไม่ได้ (แต่ซื้อมา 4 ปีแล้ว ไม่ทำอะไรกับคอนโดหน่อยเรอะ - -) ส่วนแป้งเค้าบอกเดี๋ยวจะซื้อคืนให้ เมื่อเช้ารีบ เลยทำตก... (อ๋อ - - แล้วที่ฉันหาไม่เจอมาหลายวันนี่มันไปไหนวะ)
ในใจก็โกรธมากนะคะ แต่คือเราก็ใจเย็นมาก ค่อยๆพูดค่อยๆจา นึกถึงหน้าแม่ที่แม่บอกว่า เป้นพี่เป็นน้องกันๆๆ แม่เองก็เหลือน้องสาวคนเดียว ไม่มีใครแล้ว อย่าทำให้แม่มองหน้าน้องสาวแม่ไม่ติดเลย อะไรแบบนี้ ในที่สุดเค้าก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงค่ะ ก็ยังคงไม่ช่วยออกค่าใช้จ่ายเหมือยเดิม และแป้งชาแนลก็ยังไม่ซื้อคืนเรา
เดี๋ยวมาต่อนะคะ ง่วงมาก ขอนอนก่อน พอดีพรุ่งนี้ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ ฮ่าๆ
บาดหมางกับญาติสนิทที่อยู่ร่วมบ้านกันมากว่า 10 ปีค่ะ
ที่มาตั้งนี่เนื่องจากว่าเราไม่รู้จะไปเล่าให้ใครฟัง และปรึกษาใครแล้วค่ะ คุยมาหมดแล้วค่ะทั้งป๊าแม่ พี่ชาย เพื่อน แฟน จนไม่รู้จะเล่าให้ใครฟังแล้วค่ะ
และเราเบื่อ เราเหนื่อย เราสุดจะทนกับเรื่องนี้แล้วจริงๆ
ต้องเท้าความก่อนนะคะ บ้านเรามี 5 คน มีป๊า แม่ พี่ชาย 2 คนแล้วก็เรา ฐานะครอบครัวก็เป็นชนชั้นกลางค่อนไปทางดีค่ะ
คือบ้านของเราจริงๆอยู่พระราม 2 ซึ่งอยู่ไกลโพ้นมาก คือถ้าขับรถเข้ามาในเมืองมันไม่ได้ใช้เวลานานขนาดนั้น แต่ปัญหาคือเราไม่สามารถไปไหนมาไหนเองได้ เพราะถ้าจะใช้รถประจำทางก็กินเวลากว่า 3 ชั่วโมง ไหนจะหมู่บ้านเราที่อยู่ลึกมากๆ ถ้ากลับค่ำมืดต้องนั่งวินเข้ามา อันตรายค่ะ
เราเรียนโรงเรียนในกรุงเทพตั้งแต่อนุบาล โดยนั่งรถมากับอาจารย์ที่บ้านอยู่ใกล้ๆกันตั้งแต่เด็กจนถึง ม.3 เพราะพ่อแม่เราต้องทำงาน ไม่สามารถมาส่งได้
จนขึ้นม.4 เราสอบเข้าโรงเรียนเดียวกับพี่ชายเราได้ ซึ่งหมายความว่าเราก็จะไม่สามารถนั่งรถอาจารย์คนเดิมได้อีกต่อไป เพราะเราต้องย้ายโรงเรียน แล้วที่สำคัญโรงเรียนเก่าของเรากับโรงเรียนใหม่อยู่ค่อนข้างห่างกัน ถ้าจะให้อาจารย์มาดรอปเราที่โรงเรียนเก่าแล้วนั่งรถไปโรงเรียนใหม่ เป็นไปไม่ได้แน่ๆเพราะรถติดมากๆ และเราต้องไปโรงเรียนสายชัวร์ๆ
จะให้เราไปอยู่หอกับพี่ชาย ป๊ากับแม่ก็ไม่ค่อยอยากให้เราอยู่หออีก ดังนั้นป๊าเลยตัดสินใจซื้อคอนโดค่ะ เป็นคอนโดค่อนข้างใหญ่มี 3 ห้องนอน ห้องนั่งเล่น ห้องครัว อยู่แถวเอกมัย ก็นั่งรถไฟฟ้าไปโรงเรียนแค่ไม่กี่สิบนาที ซึ่งสะดวกกว่ามาก และตอนนี้ญาติของเราก็เริ่มมีบทบาทในชีวิตเราค่ะ
ญาติเราเป็นผู้หญิง เป็นญาติฝ่ายคุณแม่ คือเค้าเป็นหลานแม่ เป็นลูกสาวของน้องสาวแม่ พื้นเพคุณแม่เราเป็นคนเหนือค่ะ แล้วบ้านของญาติเราก็อยู่จังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ ซึ่งพอดีว่าเค้าได้โควต้าต่างจังหวัดมาเข้าโรงเรียนเดียวกับเราพอดี ดังนั้นก็ไม่ได้คิดอะไรกันมากค่ะ แม่เราก็เลยให้เค้ามาอยู่คอนโดกับเราและพี่ชายอีก 2 คน ซึ่งตอนนั้นเราก็ดีใจมากที่จะมีเพื่อนพูดคุยที่เป็นผู้หญิงและวัยเดียวกันสักที จริงๆแล้วเราค่อนข้างสนิทกับญาติเราค่ะ เพราะทุกปิดเทอมเค้าจะลงมากรุงเทพ ไม่ก็เราขึ้นไปเที่ยวทางเหนือ ทำให้สนิทกันมาก
เราก็อยู่กับเค้ามาตั้งแต่ตอนขึ้นม.4 ใหม่ๆค่ะ อยู่สายวิทย์เหมือนกัน ก็ช่วยกันเรียน ไปเรียนพิเศษพร้อมกัน กลับบ้านพร้อมกัน ตัวติดกันเหมือนฝาแฝดเลยค่ะ จนเข้ามหาลัยก็ต้องแยกกัน เพราะอยู่คนละมหาลัยกัน แต่ยังอยู่คอนโดเดียวกันนะคะ แล้วก็ไม่ได้ทำให้ความสนิทเราน้อยลงไปเลย
แน่นอนว่าพอเข้ามหาลัย ชีวิตก็เริ่มเปลี่ยน ถูกมั้ยคะ เราเองก็มีแฟน เป็นเด็กแลกเปลี่ยนที่มาเรียนที่คณะ ซึ่งเราก็แนะนำแฟนเราให้ญาติเรารู้จักด้วย บางทีเราก็ไปเที่ยวไปอะไรด้วยกัน ก็สนิทกันดีค่ะ
ส่วนญาติเราไม่มีแฟน เพราะนิสัยเค้าเป็นคนที่คุยกับคนยาก ไม่ค่อยเข้าหาคนอื่น ดังนั้น 4 ปี ญาติเราไม่มีแฟนเลย
ต้องเล่าอีกนิดนึงว่า เนื่องจากแฟนเราเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน เค้าก็เลยอยู่ไทยแค่ปีเดียว หลังจากนั้นเค้าก็กลับประเทศไปค่ะ ทำให้เราต้องคุยกันทางสไกป์ ซึ่งเราบอกเลยว่าเราคุยกับแฟนเป็นเวลามาก เพราะเค้าต้องทำงานพิเศษ ไม่ได้คุยทุกวัน บางทีอาทิตย์นึงคุยกัน 2-3 ครั้ง เพราะเค้าเหนื่อย ทำงานพิเศษเลิกดึก คุยไม่ไหว เราก็ไม่ได้ว่าอะไรค่ะ เราเข้าใจ
แล้วเราก็ไม่เคยเปิดสปีคเกอร์เสียงดังเวลาคุยกันเลย เราใส่หูฟังตลอด แล้วก็เข้าไปคุยในห้องนอนคนเดียวตลอด ไม่ใช่ไม่อยากให้ใครได้ยินเรื่องที่คุยกันนะคะ คือจริงๆเราก็ไม่ชอบคุยกับแฟนต่อหน้าคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือพี่น้อง ก็ไม่ค่อยอยากค่ะ รู้สึกไม่ค่อยเป็นส่วนตัว คือเรื่องที่คุยกันก็ไม่มีอะไรหรอก เป็นเรื่องทั่วๆไป แล้วถึงเราจะคุยให้ใครได้ยินเค้าก็ฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดีค่ะ เพราะเรากับแฟนใช้ภาษาของแฟนคุยกัน
แล้วที่สำคัญคือเราไม่อยากให้เสียงที่เราคุยกับแฟนรบกวนใครค่ะ ก็เลยปลีกตัวไปดีกว่า
จนกระทั่งเราเรียนจบ ทำงานได้เกือบปี พี่ชายคนโตเราก็แต่งงาน ป๊าเลยยกคอนโดที่เอกมัยอันนั้นให้เป็นเรือนหอพี่ชาย แล้วก็ซื้อคอนโดใหม่ให้เรากับพี่คนกลางอีกคอนโดนึง ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากคอนโดเดิมเท่าไหร่ค่ะ อันนี้มี 2 ห้องนอนเหมือนกัน แต่เนื่องจากเราเรียนจบแล้ว ทำงานแล้ว ป๊าเลยให้เรากับพี่ช่วยกันผ่อน แต่คือพี่ชายเราเรียนหมอ ต้องใช้ทุนอยู่ต่างจังหวัด ฮีเลยไม่ได้อยู่คอนโดเลย สรุปว่าเราเลยต้องผ่อนคนเดียวโดยมีป๊ากับพี่คนโตช่วยผ่อนด้วยส่วนหนึ่ง และแน่นอนว่า ญาติเราก็ย้ายตามมาอยู่ด้วยค่ะ
คอนโดเรามี 2 ห้องใช่มั้ยคะ ก็ให้เค้าไปเลยค่ะ ห้องนึง คือจริงๆเราก็ไม่ได้คิดอะไร แต่พอเราต้องทำงานเอง ต้องผ่อนคอนโดเอง ซึ่งหมดไปพอสมควรกับเงินเดือน เราก็เลยคิดว่า ถ้าเค้าจะอยู่กับเราเค้าควรมีน้ำใจช่วยเราผ่อนหน่อยมั้ย?
แต่เราก็คิดแง่ดีว่า อะ เค้าคงไม่อยู่ถาวรหรอก ยังไงซะก็พี่น้องกัน อยู่ด้วยกันมาตั้งนาน ไม่เป็นไรหรอก ยังไงคอนโดอันนี้มันก็เป็นสมบัติของเราอยู่ดี ถูกมั้ยคะ ก็ช่วยๆกันไป
พยายามคิดในแง่ดีค่ะ แล้วก็มาคิดอีกว่า เออ...ถึงเค้าไม่ช่วยผ่อนคอนโด เค้าควรจะช่วยเราออกค่าใช้จ่ายอื่นๆบ้างมั้ย? เพราะเค้าก็ทำงานแล้วเหมือนกัน เช่นค่าน้ำค่าไฟ ก็หารกันมั้ย? เฟอร์นิเจอร์อะไรงี้ ก็ช่วยกันออกหน่อยมั้ย? คือเรื่องเฟอร์เราก็ไม่ได้อะไรหรอกค่ะ แต่แค่พูดว่า เออ เดี๋ยวช่วยจ่ายนะ เราก็รู้สึกดีแล้ว จริงๆเราซื้อของเราเองได้ แต่แค่พูดนิดหน่อยว่า จะช่วยนะ มันก็ดูเป็นการแสดงน้ำใจที่ดีอยู่เหมือนกันนะคะ
แต่นี่ไม่เคยเลยค่ะ เค้าทำตัวเหมือนตอนเค้าอยู่ม.ปลาย มหาลัยเป๊ะ.. คืออยู่คอนโดของบ้านเราเฉยๆ ไม่เคยช่วยออกค่าใช้จ่ายใดๆในบ้านเลยทั้งสิ้น แม้แต่พ่อแม่เค้าก็ไม่เคยเอ่ยปากช่วยบ้านเราออกค่าใช้จ่ายตั้งแต่ให้ลูกเค้ามาอยู่กรุงเทพใหม่ๆแล้วค่ะ แต่คือป๊าเราก็มองว่า เออ บ้านเรามีฐานะกว่าเค้าก็ช่วยๆเหลือกันไป ไม่เป็นไร วันข้างหน้าเค้าคงได้ช่วยเหลือเราบ้าง อะไรแบบนี้
ป๊าเราบอกว่าถึงเค้าจะให้เงินป๊า ป๊าก็ไม่เอาหรอก ป๊าถือว่าช่วยกัน เป็นพี่เป็นน้องกัน แต่ป๊าก็บอกว่า เค้าควรเอ่ยปากแสดงน้ำใจว่าจะช่วยเหลือเราบ้าง สักนิดก็ยังดี
คือเรื่องแบบนี้จะไปพูดมันก็จะบาดหมางกันเปล่าๆถูกมั้ยคะ ก็เลยทำเป็นลืมๆไม่สนใจไปก็แล้วกัน บ้านเราไม่ได้เดือดร้อนทางการเงินก็ผ่านๆมันไปแล้วกัน
แล้วทุกเดือนเราก็มานั่งคิดตลอดเลยค่ะ ว่าเค้าจะไม่ช่วยเราจ่ายค่าน้ำค่าไฟสักนิดดดดเลยเหรอ เราจะพูดเราก็ไม่กล้า ได้แต่พูดว่า เอ้อ เดือนนี้ค่าไฟเยอะนะ ปิดไฟหน่อยนะ เวลาไม่ใช้ ประหยัดๆไฟหน่อยนะ เหมือนแม่บ่นลูกเลยค่ะ แต่คือเราก็พยาย๊ามมมม พยายามมมมคิดในแง่ดีมากๆๆๆๆอีกว่า เออ เค้าเงินเดือนน้อยกว่าเรานะ จะให้เค้าไปซื้อคอนโดอยู่ใหม่ก็คงผ่อนไม่ไหว อะไรแบบนั้น
นี่ยังไม่รวมถึงเค้าชอบเอาเครื่องสำอางค์เราไปใช้ ชอบเอากระเป๋าเราไปถือ บางทีเอารถเราไปขับ น้ำมันหมดก็ไม่เติมให้... คือเค้าชีวิตสบายมากค่ะ ไม่ต้องจ่ายอะไรเลยเหมือนตอนม.ปลายเป๊ะ ในขณะที่บางทีเราต้องรับจ๊อบนอกเวลาเพื่อเอาเงินมาผ่อนคอนโดและซื้อของและต้องผ่อนรถด้วย
แล้วมันก็มาโป๊ะแตกในวันนึงค่ะ เค้าไปทำงาน เราหาแป้งชาแนลตลับละ 2000 กว่าบาทของเราไม่เจอมาหลายวันแล้ว คือเราใช้ทุกวันค่ะ แต่คือแป้งเรามีหลายอัน ไม่มีอันนี้เลยใช้อันอื่นแทนก็ได้ แต่นี่คือหายหาไม่เจอแบบผิดสังเกตมาก เราก็เข้าไปค้นในห้องเค้าค่ะ เพราะเค้าชอบหยิบไปแล้วไม่เอามาเก็บที่เดิม เราค้นแล้วค้นอีกก็ไม่เจอค่ะ งงมากว่าหายไปไหน จนมาเจอเศษแป้งเป็นผงเล็กๆอยู่ที่พื้น เลยก้มลงดูใต้โต๊ะเครื่องแป้ง ปรากฏว่า....แป้งชาแนลตลับละ 2000 กว่าบาทของดิฉันหล่นแตกกระจาย และถูกเขี่ยไปอยู่ใต้ขาโต๊ะเครื่องแป้ง...
วินาทีนั้นคือโกรธที่ทำไมถึงทำแบบนี้ แล้วไม่บอกกัน แต่ไม่โกรธเท่ากับตอนที่เจอโฉนดคอนโดแถวๆนนทบุรีที่ซื้อมาแล้วกว่า 4 ปี.......
หมายความว่าไงวะคะะะะะะะ บอกเลยว่าครอบครัวเราไม่เคยรู้เลยว่าครอบครัวเค้าซื้อคอนโด หรือมีคอนโดอยู่ในเมือง เราโมโหมากโทรไปเล่าให้ป๊าให้แม่ ให้พี่ชาย ให้เพื่อน ให้แฟนฟัง ทุกคนก็โมโหเพื่อนกับแฟนบอกว่าให้ไปพูดกับเค้าตรงๆ แล้วบอกเค้าให้ย้ายออกไปอยู่คอนโดตัวเองได้แล้ว
แต่ก็นั่นแหละค่ะ น้ำท่วมปากอีกแล้ว เพราะแม่เราบอกว่าค่อยๆคุยกับเค้านะ อย่าไปโมโหใส่เค้า ยังไงซะเราก็เป้นญาติพี่น้องกัน
วันนั้นเค้ากลับมาบ้านเราก็ถามเลยค่ะเรื่องคอนโดกับเรื่องแป้ง เค้าก็ตอบส่งๆค่ะว่าคอนโดยังโล่งไม่มีเฟอเลย อยู่ไม่ได้ (แต่ซื้อมา 4 ปีแล้ว ไม่ทำอะไรกับคอนโดหน่อยเรอะ - -) ส่วนแป้งเค้าบอกเดี๋ยวจะซื้อคืนให้ เมื่อเช้ารีบ เลยทำตก... (อ๋อ - - แล้วที่ฉันหาไม่เจอมาหลายวันนี่มันไปไหนวะ)
ในใจก็โกรธมากนะคะ แต่คือเราก็ใจเย็นมาก ค่อยๆพูดค่อยๆจา นึกถึงหน้าแม่ที่แม่บอกว่า เป้นพี่เป็นน้องกันๆๆ แม่เองก็เหลือน้องสาวคนเดียว ไม่มีใครแล้ว อย่าทำให้แม่มองหน้าน้องสาวแม่ไม่ติดเลย อะไรแบบนี้ ในที่สุดเค้าก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงค่ะ ก็ยังคงไม่ช่วยออกค่าใช้จ่ายเหมือยเดิม และแป้งชาแนลก็ยังไม่ซื้อคืนเรา
เดี๋ยวมาต่อนะคะ ง่วงมาก ขอนอนก่อน พอดีพรุ่งนี้ไม่ต้องเข้าออฟฟิศ ฮ่าๆ