<<< ตอนก่อนหน้า :
http://pantip.com/topic/33064079
บทที่ 15 (1/2)
อินทุชะงักปลายเท้าอยู่เพียงแค่หน้าประตูห้องครัวใหญ่ ซึ่งเป็นที่เตรียมอาหารสำหรับเลี้ยงคนทุกคนภายในประสาท เมื่อเขาเห็นหญิงสาวคนที่เขาเฝ้าคิดคำนึงถึงแทบจะตลอดเวลากำลังยืนหัวเราะอยู่กับพ่อครัวและสาวใช้ ด้านหน้าหม้อต้มเนื้อตุ๋นใบใหญ่ที่กำลังส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลชวนกินอยู่ในขณะนี้
และเหมือนทุกคนในที่นี้จะไม่มีใครสนใจหรือสังเกตเห็นการมาปรากฏตัวราวสายฟ้าแลบของอินทุ เพราะทุกคนยังคงผลัดกันชิมผลัดกันปรุงกันอย่างสนุกสนาน จนเขาเป็นฝ่ายทนไม่ไหวเสียเอง จนต้องร้องเรียกชื่อหญิงสาวที่ดูจะเป็นหัวโจกของบรรดาพ่อครัวและสาวใช้ไปแล้ว “จันทรพิมพ์”
“ท่านอินทุ”
หญิงสาวหัวโจกที่มีผ้ากันเปื้อนและผ้าโพกหัวสีขาวสะอาดสะอ้านอยู่บนตัว ซึ่งดูเป็นเครื่องแต่งตัวแบบใหม่ ที่เขาเพิ่งเคยเห็นคนของเขาสวมใส่หันมาเห็นเขาก่อนใครเพื่อน
ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเรียก “อุทุราชา” ด้วยน้ำเสียงตกใจจากคนของเขา หรือกลายเป็นคนของเธอไปกันหมดแล้วก็สุดจะคาดเดา เพราะเวลาเพียงห้าวันที่เขาไม่อยู่ปราสาท เธอก็สามารถทำให้คนของเขายอมแต่งตัวด้วยชุดแปลกๆ ตามแบบเธอได้อย่างง่ายดาย
“ฮึ” ศศิธรสะบัดหน้าหนีคนใจร้าย ที่ทิ้งให้เธออยู่คนเดียวมาตลอดห้าวัน หันไปสนใจหม้อต้มเนื้อตุ๋นต่อ โดยแกล้งทำเป็นไม่สนใจและไม่ใส่ใจคนที่ยืนหน้ายักษ์อยู่บริเวณปากประตูห้องครัว
ส่วนชายหนุ่มที่ถูกเมินใส่ก็ยืนเท้าเอวอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับเดินไปไหนทั้งนั้น ยังคงจ้องมองหญิงสาวที่ยังคงสาละวนอยู่กับหม้อต้มตรงหน้ามากกว่าหันมามองหน้าเขา ทั้งที่คนอื่นๆ หยุดทำทุกอย่างกันจนหมดแล้วตั้งแต่หันมาเห็นเขา จนเขารู้สึกเสียหน้าชอบกลที่ถูกเมินใส่เช่นนี้
จึงร้องสั่งเธอเสียงดัง “จันทรพิมพ์มานี่”
“ข้ากำลังทำเนื้อตุ๋นอยู่” หญิงสาวตอบโดยที่ไม่ได้หันไปมองหน้าคนออกคำสั่งสักนิด
“มันไม่ใช่งานของเจ้า”
หญิงสาวหันมาเท้าเอวจ้องหน้าชายหนุ่มทันที “แล้วงานของข้าคืออะไร ท่านเคยอยู่บอกข้าไหม”
“เจ้า!” ชายหนุ่มที่ไม่เคยมีใครยืนจ้องหน้าแล้วเถียงต่อหน้าคนของเขาแบบนี้มาก่อน ก็โกรธจนควันออกหู ถึงขั้นปรี่เข้าไปประชิดตัวหญิงสาว เหมือนจะทำร้ายเธออย่างไรอย่างนั้น
แต่เธอกลับยืนจ้องการกระทำของเขานิ่งๆ อย่างไม่สะทกสะท้าน แล้วเบี่ยงตัวเดินหนีไปอีกทาง “ไปเถอะบุหรง เราต้องไปทำงานของเราต่อ”
“แม่นาง...” บุหรงครางออกมาเสียงแผ่ว เมื่อเห็นสายตาโกรธเกรี้ยวของอุทุราชา
“จันทรพิมพ์!” อินทุสาวเท้าเดินเข้ามาขวางหน้าหญิงสาวกับสาวใช้เอาไว้แทบจะทันที ก่อนที่เธอจะเดินหนีเขาออกไปจากบริเวณนี้
“หลีกทางด้วย...ข้ามีงานต้องทำ”
“แต่ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเจ้า”
“แต่ข้าไม่มี” ศศิธรสะบัดหน้าหนีไปอีกทางเหมือนไม่ต้องการจะเห็นสายตาและใบหน้าคมเข้มของชายหนุ่มรูปงามที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
เขาสวมใส่ชุดสีดำสนิทตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่เว้นแม้แต่ผ้าโพกหัวของเขา ซึ่งดูสง่างามราวเทพบุตร วันแรกที่เธอเจอเขา เขาดูรูปงามเช่นไร วันนี้ก็ยังคงเป็นเช่นวันนั้น ทว่าเขาคงจะดูสง่างามมากกว่านี้ ถ้าชุดที่เขาสวมใส่ไม่เต็มไปด้วยเศษหญ้า เศษใบไม้ และเศษดินโคลนเช่นนี้
“จันทรพิมพ์!” อินทุขยับเดินเข้าไปขวางหน้าหญิงสาวอีกครั้ง พร้อมกับจ้องนิ่งไปที่ดวงตาบนใบหน้างาม ซึ่งกำลังส่องประกายวาววับอย่างคนกำลังน้อยใจที่ถูกทิ้งขว้างให้อยู่ในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย
พร้อมกับทำใจกล้าเอื้อมมือไปคว้ามือบางมากุมเอาไว้ ก่อนที่เขาจะเอ่ยประโยคที่ทำให้ทุกคนในห้องครัวใหญ่ตกตะลึงไปตามๆ กัน เพราะไม่คาดคิดว่าจะได้ยินประโยคทำนองนี้ออกมาจากปากของอุทุราชา “ข้า...ข้าขอโทษ ที่ปล่อยเจ้าทิ้งไว้แบบนี้”
“ทำไมท่านถึงทิ้งข้า ทำไมถึงปล่อยข้าไว้คนเดียว รู้ไหมข้ากลัวแค่ไหน...” ศศิธรกระชากดึงมือบางออกจากมือใหญ่ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นกำปั้นน้อยๆ รัวทุบใส่อกของชายหนุ่มไม่ยั้งเพราะความโมโหปนน้อยใจที่ถูกทอดทิ้งอย่างไม่ใยดีทั้งที่เธอมาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง
อินทุดึงตัวหญิงสาวเข้ามากอดปลอบอย่างอ่อนโยนทันทีที่เห็นสายตาอ่อนแอของเธอ สายตาที่แสดงถึงความหวาดกลัว สับสน น้อยใจปนเปกันไปหมด “ข้าคิดถึงเจ้า”
“คิดถึง! แต่ท่านกลับปล่อยข้าทิ้งไว้แบบนี้เนี่ยนะ”
ถึงปากจะพูดออกมาอย่างกราดเกรี้ยวแต่อาการยกแขนทั้งสองข้างกอดตอบชายหนุ่มของหญิงสาวก็ทำให้ทุกคนในที่นี้ ถอนหายใจออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมายทันที เพราะทุกคนต่างกำลังลุ้นเอาใจช่วยนายหญิงของตน และต่างก็กลัวว่าจะเกิดเรื่องราวทะเลาะเบาะแว้งใหญ่โตขึ้นระหว่างเจ้านายทั้งสองของตนเสียแล้ว
เพราะแรกเริ่มดูเหมือนจะแรงด้วยกันทั้งสองฝ่ายและดูเหมือนไม่มีใครยอมใคร ซึ่งใครจะไปคาดคิดว่าเรื่องราวที่ดูจะใหญ่โตกลับจบลงง่ายๆ เพียงประโยคขอโทษที่ออกมาจากปากของชายหนุ่มเจ้าของปราสาทเพียงประโยคเดียว
“งานของเจ้า รอเจ้าได้ไหม”
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวสงบลง และไม่มีท่าทางโกรธเคืองหรือโมโหเขาแล้ว ชายหนุ่มก็ดึงหญิงสาวออกห่างตัวพร้อมทั้งถามคำถามซึ่งเขาก็ไม่คิดว่าตนเองจะถาม เพราะระดับเขา แค่สั่งให้เธอหยุดงานทุกอย่างเพื่อไปคุยกับเขาก็ไม่น่าจะมีใครกล้าขัด
แต่เขาก็เดาใจผู้หญิงคนนี้ออกว่า...ถ้ามันเป็นประโยคคำสั่งที่ออกมาจากปากเขา เธอต้องปฏิเสธออกมาแทบจะทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย
“ทำไม”
“ข้ามีเรื่องอยากคุยกับเจ้ามากมายนัก”
“ข้าคิดว่า...มันรอไม่ได้นะ” ศศิธรแกล้งเอ่ยปฏิเสธออกมาเพราะความทิฐิและอยากจะเอาคืนชายหนุ่มล้วนๆ ตอนที่เธออยากคุยกับเจ้าของบ้าน เขากลับหายไปไหนก็ไม่รู้ ตอนนี้เธอจึงอยากให้เขาต้องเป็นฝ่ายรอเธอบ้าง ถึงแม้ว่างานที่เธอจะไปทำนั้น ไม่ได้สลักสำคัญอะไรขนาดที่รอไม่ได้เลยสักนิด
“แต่ข้าว่า...รอได้นะ” อินทุเอ่ยเพียงแค่นี้ก็ดึงแขนลากหญิงสาวจอมดื้อออกมาจากห้องครัวใหญ่ในทันที โดยไม่สนใจงานซักผ้าม่านของปราสาททั้งหลังที่ถูกยกมาเป็นข้ออ้างเพื่อดื้อดึงกับเขาของเธอเลยสักนิด
“ทำไมท่านถึงเป็นคนแบบนี้นะ” ศศิธรพยายามจะขืนตัวเองไม่ให้ถูกลากไปตามแรงของชายหนุ่มร่างยักษ์ไว้อย่างเต็มที่ แต่เหมือนว่าแรงขืนอันน้อยนิดของเธอ มันช่างดูไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง
ซึ่งการกระทำของชายหนุ่มที่ทั้งลากทั้งดึงหญิงสาวให้ก้าวตามเขาออกไปด้านนอก ก็ทำให้พ่อครัวและเหล่าสาวใช้มองตามด้วยสายตากึ่งลุ้น กึ่งเอาใจช่วยให้นายหญิงของตนสามารถขัดใจอุทุราชาได้บ้าง
แต่ท่ามกลางสายตาหลายคู่ซึ่งกำลังซาบซึ้งในความรักแบบพ่อแง่

อนของเจ้านายทั้งสองของตนซึ่งไม่เคยมีให้เห็นมาก่อน ก็ยังคงมีสายตาอิจฉาริษยาคู่หนึ่งที่ทอดมองมาอย่างไม่เป็นมิตรตั้งแต่ที่เห็นชายหนุ่มดึงตัวหญิงสาวเข้ามากอดแล้ว
======================
มีต่อนะคะ (2/2)
ลิขิตแห่งจันทร์ by พลอยลภัสร์ (โรแมนติด-แฟนตาซี) บทที่ 15
(โรมานแมนติค-แฟนตาซี)
พลอยลภัสร์ : เขียน
Fanpage : www.facebook.com/ploylapas
<<< ตอนก่อนหน้า : http://pantip.com/topic/33064079
บทที่ 15 (1/2)
อินทุชะงักปลายเท้าอยู่เพียงแค่หน้าประตูห้องครัวใหญ่ ซึ่งเป็นที่เตรียมอาหารสำหรับเลี้ยงคนทุกคนภายในประสาท เมื่อเขาเห็นหญิงสาวคนที่เขาเฝ้าคิดคำนึงถึงแทบจะตลอดเวลากำลังยืนหัวเราะอยู่กับพ่อครัวและสาวใช้ ด้านหน้าหม้อต้มเนื้อตุ๋นใบใหญ่ที่กำลังส่งกลิ่นหอมตลบอบอวลชวนกินอยู่ในขณะนี้
และเหมือนทุกคนในที่นี้จะไม่มีใครสนใจหรือสังเกตเห็นการมาปรากฏตัวราวสายฟ้าแลบของอินทุ เพราะทุกคนยังคงผลัดกันชิมผลัดกันปรุงกันอย่างสนุกสนาน จนเขาเป็นฝ่ายทนไม่ไหวเสียเอง จนต้องร้องเรียกชื่อหญิงสาวที่ดูจะเป็นหัวโจกของบรรดาพ่อครัวและสาวใช้ไปแล้ว “จันทรพิมพ์”
“ท่านอินทุ”
หญิงสาวหัวโจกที่มีผ้ากันเปื้อนและผ้าโพกหัวสีขาวสะอาดสะอ้านอยู่บนตัว ซึ่งดูเป็นเครื่องแต่งตัวแบบใหม่ ที่เขาเพิ่งเคยเห็นคนของเขาสวมใส่หันมาเห็นเขาก่อนใครเพื่อน
ก่อนจะตามมาด้วยเสียงเรียก “อุทุราชา” ด้วยน้ำเสียงตกใจจากคนของเขา หรือกลายเป็นคนของเธอไปกันหมดแล้วก็สุดจะคาดเดา เพราะเวลาเพียงห้าวันที่เขาไม่อยู่ปราสาท เธอก็สามารถทำให้คนของเขายอมแต่งตัวด้วยชุดแปลกๆ ตามแบบเธอได้อย่างง่ายดาย
“ฮึ” ศศิธรสะบัดหน้าหนีคนใจร้าย ที่ทิ้งให้เธออยู่คนเดียวมาตลอดห้าวัน หันไปสนใจหม้อต้มเนื้อตุ๋นต่อ โดยแกล้งทำเป็นไม่สนใจและไม่ใส่ใจคนที่ยืนหน้ายักษ์อยู่บริเวณปากประตูห้องครัว
ส่วนชายหนุ่มที่ถูกเมินใส่ก็ยืนเท้าเอวอยู่ตรงนั้นโดยไม่ขยับเดินไปไหนทั้งนั้น ยังคงจ้องมองหญิงสาวที่ยังคงสาละวนอยู่กับหม้อต้มตรงหน้ามากกว่าหันมามองหน้าเขา ทั้งที่คนอื่นๆ หยุดทำทุกอย่างกันจนหมดแล้วตั้งแต่หันมาเห็นเขา จนเขารู้สึกเสียหน้าชอบกลที่ถูกเมินใส่เช่นนี้
จึงร้องสั่งเธอเสียงดัง “จันทรพิมพ์มานี่”
“ข้ากำลังทำเนื้อตุ๋นอยู่” หญิงสาวตอบโดยที่ไม่ได้หันไปมองหน้าคนออกคำสั่งสักนิด
“มันไม่ใช่งานของเจ้า”
หญิงสาวหันมาเท้าเอวจ้องหน้าชายหนุ่มทันที “แล้วงานของข้าคืออะไร ท่านเคยอยู่บอกข้าไหม”
“เจ้า!” ชายหนุ่มที่ไม่เคยมีใครยืนจ้องหน้าแล้วเถียงต่อหน้าคนของเขาแบบนี้มาก่อน ก็โกรธจนควันออกหู ถึงขั้นปรี่เข้าไปประชิดตัวหญิงสาว เหมือนจะทำร้ายเธออย่างไรอย่างนั้น
แต่เธอกลับยืนจ้องการกระทำของเขานิ่งๆ อย่างไม่สะทกสะท้าน แล้วเบี่ยงตัวเดินหนีไปอีกทาง “ไปเถอะบุหรง เราต้องไปทำงานของเราต่อ”
“แม่นาง...” บุหรงครางออกมาเสียงแผ่ว เมื่อเห็นสายตาโกรธเกรี้ยวของอุทุราชา
“จันทรพิมพ์!” อินทุสาวเท้าเดินเข้ามาขวางหน้าหญิงสาวกับสาวใช้เอาไว้แทบจะทันที ก่อนที่เธอจะเดินหนีเขาออกไปจากบริเวณนี้
“หลีกทางด้วย...ข้ามีงานต้องทำ”
“แต่ข้ามีเรื่องต้องคุยกับเจ้า”
“แต่ข้าไม่มี” ศศิธรสะบัดหน้าหนีไปอีกทางเหมือนไม่ต้องการจะเห็นสายตาและใบหน้าคมเข้มของชายหนุ่มรูปงามที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
เขาสวมใส่ชุดสีดำสนิทตั้งแต่หัวจรดเท้าไม่เว้นแม้แต่ผ้าโพกหัวของเขา ซึ่งดูสง่างามราวเทพบุตร วันแรกที่เธอเจอเขา เขาดูรูปงามเช่นไร วันนี้ก็ยังคงเป็นเช่นวันนั้น ทว่าเขาคงจะดูสง่างามมากกว่านี้ ถ้าชุดที่เขาสวมใส่ไม่เต็มไปด้วยเศษหญ้า เศษใบไม้ และเศษดินโคลนเช่นนี้
“จันทรพิมพ์!” อินทุขยับเดินเข้าไปขวางหน้าหญิงสาวอีกครั้ง พร้อมกับจ้องนิ่งไปที่ดวงตาบนใบหน้างาม ซึ่งกำลังส่องประกายวาววับอย่างคนกำลังน้อยใจที่ถูกทิ้งขว้างให้อยู่ในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย
พร้อมกับทำใจกล้าเอื้อมมือไปคว้ามือบางมากุมเอาไว้ ก่อนที่เขาจะเอ่ยประโยคที่ทำให้ทุกคนในห้องครัวใหญ่ตกตะลึงไปตามๆ กัน เพราะไม่คาดคิดว่าจะได้ยินประโยคทำนองนี้ออกมาจากปากของอุทุราชา “ข้า...ข้าขอโทษ ที่ปล่อยเจ้าทิ้งไว้แบบนี้”
“ทำไมท่านถึงทิ้งข้า ทำไมถึงปล่อยข้าไว้คนเดียว รู้ไหมข้ากลัวแค่ไหน...” ศศิธรกระชากดึงมือบางออกจากมือใหญ่ ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นกำปั้นน้อยๆ รัวทุบใส่อกของชายหนุ่มไม่ยั้งเพราะความโมโหปนน้อยใจที่ถูกทอดทิ้งอย่างไม่ใยดีทั้งที่เธอมาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง
อินทุดึงตัวหญิงสาวเข้ามากอดปลอบอย่างอ่อนโยนทันทีที่เห็นสายตาอ่อนแอของเธอ สายตาที่แสดงถึงความหวาดกลัว สับสน น้อยใจปนเปกันไปหมด “ข้าคิดถึงเจ้า”
“คิดถึง! แต่ท่านกลับปล่อยข้าทิ้งไว้แบบนี้เนี่ยนะ”
ถึงปากจะพูดออกมาอย่างกราดเกรี้ยวแต่อาการยกแขนทั้งสองข้างกอดตอบชายหนุ่มของหญิงสาวก็ทำให้ทุกคนในที่นี้ ถอนหายใจออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันโดยมิได้นัดหมายทันที เพราะทุกคนต่างกำลังลุ้นเอาใจช่วยนายหญิงของตน และต่างก็กลัวว่าจะเกิดเรื่องราวทะเลาะเบาะแว้งใหญ่โตขึ้นระหว่างเจ้านายทั้งสองของตนเสียแล้ว
เพราะแรกเริ่มดูเหมือนจะแรงด้วยกันทั้งสองฝ่ายและดูเหมือนไม่มีใครยอมใคร ซึ่งใครจะไปคาดคิดว่าเรื่องราวที่ดูจะใหญ่โตกลับจบลงง่ายๆ เพียงประโยคขอโทษที่ออกมาจากปากของชายหนุ่มเจ้าของปราสาทเพียงประโยคเดียว
“งานของเจ้า รอเจ้าได้ไหม”
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวสงบลง และไม่มีท่าทางโกรธเคืองหรือโมโหเขาแล้ว ชายหนุ่มก็ดึงหญิงสาวออกห่างตัวพร้อมทั้งถามคำถามซึ่งเขาก็ไม่คิดว่าตนเองจะถาม เพราะระดับเขา แค่สั่งให้เธอหยุดงานทุกอย่างเพื่อไปคุยกับเขาก็ไม่น่าจะมีใครกล้าขัด
แต่เขาก็เดาใจผู้หญิงคนนี้ออกว่า...ถ้ามันเป็นประโยคคำสั่งที่ออกมาจากปากเขา เธอต้องปฏิเสธออกมาแทบจะทันทีอย่างไม่ต้องสงสัย
“ทำไม”
“ข้ามีเรื่องอยากคุยกับเจ้ามากมายนัก”
“ข้าคิดว่า...มันรอไม่ได้นะ” ศศิธรแกล้งเอ่ยปฏิเสธออกมาเพราะความทิฐิและอยากจะเอาคืนชายหนุ่มล้วนๆ ตอนที่เธออยากคุยกับเจ้าของบ้าน เขากลับหายไปไหนก็ไม่รู้ ตอนนี้เธอจึงอยากให้เขาต้องเป็นฝ่ายรอเธอบ้าง ถึงแม้ว่างานที่เธอจะไปทำนั้น ไม่ได้สลักสำคัญอะไรขนาดที่รอไม่ได้เลยสักนิด
“แต่ข้าว่า...รอได้นะ” อินทุเอ่ยเพียงแค่นี้ก็ดึงแขนลากหญิงสาวจอมดื้อออกมาจากห้องครัวใหญ่ในทันที โดยไม่สนใจงานซักผ้าม่านของปราสาททั้งหลังที่ถูกยกมาเป็นข้ออ้างเพื่อดื้อดึงกับเขาของเธอเลยสักนิด
“ทำไมท่านถึงเป็นคนแบบนี้นะ” ศศิธรพยายามจะขืนตัวเองไม่ให้ถูกลากไปตามแรงของชายหนุ่มร่างยักษ์ไว้อย่างเต็มที่ แต่เหมือนว่าแรงขืนอันน้อยนิดของเธอ มันช่างดูไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง
ซึ่งการกระทำของชายหนุ่มที่ทั้งลากทั้งดึงหญิงสาวให้ก้าวตามเขาออกไปด้านนอก ก็ทำให้พ่อครัวและเหล่าสาวใช้มองตามด้วยสายตากึ่งลุ้น กึ่งเอาใจช่วยให้นายหญิงของตนสามารถขัดใจอุทุราชาได้บ้าง
แต่ท่ามกลางสายตาหลายคู่ซึ่งกำลังซาบซึ้งในความรักแบบพ่อแง่
======================
มีต่อนะคะ (2/2)