อย่างนี้หรือเปล่า ? ที่เขาเรียกว่า "ไม่เอาไหน" !

กระทู้คำถาม
คือ.. ผมค่อนข้างมั่นใจว่า ผมไม่ได้เป็นคนแรก และไม่ได้เป็นคนเดียวที่เป็นและรู้สึกอย่างนี้.. แต่ขณะเดียวกัน ผมก็ไม่มั่นใจว่าจะมีคน "เห็นด้วย" หรือ "คิดต่าง" กับผมมากน้อยแค่ไหน ? เพราะกระทู้นี้ผมจะพูดถึงแต่เรื่องตัวเอง (อาจจะอวยตัวเองบ้าง ขออย่าถือสาเลย) และหลายๆ คนอาจจะประสบปัญหาเดียวกันนี้อยู่

นี่เป็นกระทู้แรก และอาจเป็นกระทู้เดียวของผม ผมจึงจะพยายามอธิบายความรู้สึกออกมาด้วยภาษาที่เรียบง่ายที่สุด โดยไม่ได้วางแผนว่าจะเขียนอะไรบ้าง และไม่รู้ว่าจะต้องใช้พื้นที่เท่าไหร่จึงจะอธิบายมันออกมาได้หมดสิ้น แต่วัตถุประสงค์ที่สำคัญที่สุดของผมในการรบกวนพื้นที่ความคิดในพันทิปครั้งนี้ ก็คือ.. ผมอยากหาทางออกให้กับตัวเอง และต้องการความคิดที่จะทำให้ผมประสบความสำเร็จในชีวิต อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง..

เอาเป็นว่า ผมจะบรรยายมันไปเรื่อยๆ จนกว่าตัวเองจะรู้สึกพอใจแล้วกัน เริ่มที่..

เนื่องจากผมเป็นคนประเภทเวลาหยิบจับ หรือจะทำอะไรก็สามารถทำได้ (ผมไม่ได้บอกว่า "ทำได้ดี".. ก็แค่ "ทำได้") ถึงไม่ดีมาก แต่ก็ทำได้.. อย่างน้อยก็ดีในระดับพื้นฐานสำหรับบางคนที่ต้องใช้ระยะเวลานานระดับหนึ่งจึงจะสามารถทำมันได้ (เข้าใจไหมครับ) เช่น วาดภาพ หรืออะไรก็ตามที่ต้องใช้ศิลปะ ความปราณีต หรือ.. เอ่อ.. หรือสิ่งที่ผมจะขอเรียกมันว่า "สกิล" (Skill = ทักษะ) แล้วกันครับ (ไม่รู้จะอธิบายยังไง)

ด้วยเหตุนี้ ผมจึงมักจะลองนั่นลองนี่ประจำ แต่ส่วนใหญ่ทำได้สักพักก็ล้มเลิก.. บางครั้งทำออกมาได้ดีในระดับที่จะสามารถ "อัพสกิล" ของตัวเองเพื่อต่อยอดให้สามารถเป็นอะไรที่ยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ได้ แต่ก็เปลี่ยนใจเอาเสียดื้อๆ.. ในที่สุด ผมก็กลายเป็นคนที่หยิบจับอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน บางอย่างทำมานานจนเหมือนว่าจะรักมันจริงๆ แต่สุดท้ายก็ทิ้ง.. คิดแค่ว่า จะหาอะไรใหม่ๆ ทำเสมอ จะได้เป็นการค้นหาตัวเอง ค้นหามานานมาก แต่ไม่เคยตั้งเป้าหมายอะไรในชีวิตเลยมาตั้งแต่เริ่มรู้จักกับชีวิตวัยรุ่น..

ผมเคยเล่นดนตรีเพราะคิดว่าเท่ห์.. หัดมาแทบทุกอย่างที่มีในโรงเรียน ทั้งวงสากล และวงโยธวาธิต ไม่เอาดีสักอย่าง.. บางครั้งเครื่องดนตรีบางชิ้นผมสามารถเล่นเป็นเพลงได้โดยไม่ต้องดูโน๊ต แต่ส่วนใหญ่หัดเล่นเพราะอยากรู้ว่าเล่นอย่างไร ? เริ่มเบื่อก็เปลี่ยนมาเล่นกีฬา ทีแรกเล่นตามเพื่อนเฉยๆ ทั้งที่ไม่มีทักษะพื้นฐาน แต่เล่นแล้วสนุก ได้ออกกำลังกาย ออกไปออกมาก็ติดทีมโรงเรียนไปแข่งระดับเขตพื้นที่การศึกษา เล่นทั้งฟุตบอล ฟุตซอล บาสเกตบอล ฯ เล่นจนเข่าเดี้ยงก็เลิก

จากนั้นก็วางทุกอย่าง สนใจกับสังคมมากขึ้น หาหนังสือความรู้รอบตัว ประวัติศาสตร์ การเมืองการปกครอง แล้วก็เรื่องจิปาถะของชีวิตประจำวัน ฯลฯ.. หลายครั้งนั่งกินเหล้ากับคนรู้จัก คุยกันเรื่องสีเสื้อความเห็นไม่ลงรอยเกือบต่อยปากกันก็ออกจะบ่อย หลังจากนั้นผมก็ไม่ยุ่งกับเรื่องพวกนั้นอีกเลย

คราวนี้กลับมาที่เรื่องเรียน ซึ่งผมได้กลับมาให้ความสำคัญกับมันมากที่สุดอีกครั้งหนึ่ง เพราะตอนนั้นใกล้สอบแล้ว ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย เอาล่ะ.. ไฮไลท์ของเรื่องนี้ ก็คือ ด้วย "ความไม่ใส่ใจ" ของผมเอง.. มหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ผมเดินสายสอบ ไม่มีที่ไหนเต็มใจรับเลยสักแห่ง.. แต่โชคยังเข้าข้าง เมื่อเกรดที่ผมยื่นไปที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งยังมีดีพอให้ผมได้โควต้าเป็นนักศึกษากับเขาบ้างสักครั้งหนึ่งในชีวิต

และที่อยากนำเสนอ (ความน่าสมเพชของตัวผมเอง) มากที่สุด ก็คือ ก่อนหน้านี้ผมพาตัวเองเข้าไปติดอยู่ในวงการวรรณกรรมหลายปี จำได้ว่าตั้งแต่ ป.5 เห็นจะได้.. จากนิสัยส่วนตัว ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว โดยเฉพาะนวนิยายและกวีนิพนต์ (ยกเว้นหนังสือเรียน) มีนักเขียนในดวงใจหลายท่าน และหลากหลายแนว.. หนังสือแปลจากต่างประเทศก็มีบ้าง แต่ไม่ชอบเท่านักเขียนไทย.. เสน่ห์ของวรรณกรรมมักจะอยู่ที่เวลาเราเก็บตัวอักษรที่ร้อยเรียงมาแล้วกลั่นเป็นภาพจินตนาการ มีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละคร.. รักก็รัก.. เหงาก็เหงา.. เศร้าก็เศร้า.. บางครั้ง ติดฉุนเฉียวกับตัวละครแล้วพาลใส่คนใกล้ตัว โดนด่ากลับมาก็มี (ยังขำตัวเองไม่หาย)

แล้วก็คงเหมือนกับนักเขียนทุกๆ คน ที่พออ่านมากก็อยากเขียนบ้าง.. ว่าแล้วก็เริ่มเขียน เขียนอยู่นั่นแหละ ตั้งแต่เรียงความ บทความ เรื่องสั้น นวนิยาย กาพน์ กลอน ฯ ตอนเขียนน่ะสนุกนะ.. แต่พออ่านดูเท่านั้นแหละ ไม่รู้จะเอาอะไรมาสนุก ! บางทีก็อ่านไม่รู้เรื่อง ต้องวนกลับไปอ่านใหม่ถึงรู้ว่าตัวเองต้องการจะสื่อความหมายว่าอย่างไร ? (ทั้งที่ตัวเองเพิ่งเขียนไปแท้ๆ).. บางทีภาษาก็ผิดๆ เพี้ยนๆ.. เขียนมาหลายปีพอไม่กระเตื้อง ไม่เป็นเรื่องเป็นราว ก็พยายามค้นคว้า หาต้นแบบนักเขียนนวนิยายที่ตัวเองรัก ฝึกฝีมืออยู่นานมากจึงเริ่มเขียนอีกครั้ง.. ระยะเวลาที่ผมใช้ในการเขียนหนังสือหนึ่งเรื่องมากพอให้เด็กคนหนึ่งโตจนบวชเณรครบพรรษา พอต้นฉบับมาอยู่ในมือ ผมเลยพยายามส่งประกวดไปหลายที่ แต่ไม่ได้แม้สักรางวัลเดียว (ส่งไปเขาจะอ่านหรือเปล่ายังไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้รู้เลย) แต่จะสังเกตว่า ผมใช้เวลาอยู่กับการเขียนนวนิยายนานกว่าเรื่องอื่นๆ จนตอนนั้นจะเรียกว่า กลายเป็น "ส่วนหนึ่งของชีวิต" ไปเสียแล้ว แต่ก็อย่างเคย เขียนเท่าไหร่ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจมากไปกว่าเรื่องเดิมๆ ที่เรามักพบตามร้านหนังสือ สมองตีบตัน.. แต่ไม่ยอมแพ้ ผมพยายามคิดพล๊อตใหม่ๆ ที่แหวกแนว คิดจนเก็บไปฝัน.. หนักเข้าๆ เริ่มเหนื่อยกับการคิด ไม่นานก็เลิก (อีกแล้ว)

ในที่สุด ผมก็เริ่มนำทุกอย่างมาคิดทบทวน.. ตอนนี้ ผมอายุ ย่าง 22 ปี อยู่ในปีสุดท้ายของการเป็นนักศึกษา เรียนด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ถ้าหลังจากนี้ผมต้องก้าวออกจากรั้วมหาวิทยาลัยเพื่อไปเผชิญโลกกว้าง แล้วผมยังเป็นอย่างนี้อยู่.. ยังไม่ตั้งต้น ไม่ตั้งเป้าหมายที่เป็นหลักแหล่ง ผมจะทำอะไรให้ครอบครัวภูมิใจได้บ้างไหม ? เรียนมาจนป่านนี้แล้ว ถ้าจะกลับไปเกาะพ่อแม่กินก็ใช่เหตุ ฐานะทางบ้านก็ใช่ว่าจะดี..

หรือที่ผมเป็นอยู่หมดนี้.. อาจเพราะผมเป็นคนที่มีอีโก้สูงเกินไป (คนที่ผมไม่ค่อยชอบหน้าเคยบอกผมอย่างนี้) ก็น่าคิด.. และ/หรือ.. อาจเป็นเพราะผมขาดแรงบันดาลใจ (แฟนเก่าเคยบอกผมอย่างนี้) อันนี้ก็น่าคิด..

ด้วยเหตุนี้ ก็เลยเริ่มชักจะเกลียด "การเริ่มต้น" เข้าเสียแล้ว.. รู้สึกกลัว.. รู้สึกว่าตัวเองไม่เคยตั้งใจจริงจังกับอะไรสักอย่าง.. เก่งแต่คิด เก่งแต่ฝัน.. เหมือนตอนคิดพล๊อตนวนิยายก็คิดได้เป็นตุเป็นตะ บทจะเขียนก็ง่อย.. จนกระทั่งผมพอใจที่จะเป็นนักอ่านธรรมดาคนหนึ่ง.. ไม่คิด ไม่เขียนอะไรทั้งนั้น !

ย้ำอีกครั้ง ปัจจุบันผมคือหนุ่มโสด (จะบอกเพื่อ ?) อายุ 22 ปี กำลังจะเป็นคนหนุ่มวัยทำงาน กำลังหาจุดยืนให้ตัวเอง และกำลังจะทำอะไรสักอย่างให้คนในครอบครัวภาคภูมิใจ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการชี้แนะจากทุกท่านที่สละเวลาอันมีค่าเข้ามาอ่านกระทู้ของไอ้บ้าคนหนึ่งที่พูดแต่เรื่องตัวเองคนนี้จนจบ..

สุดท้าย ผมขอขอบคุณทุกท่านที่ (อดทน) อ่าน.. ขอบคุณทุกความคิดเห็น ทุกคำแนะนำที่ (หวังว่าจะ) ผ่านเข้ามา และขอบคุณอย่างมาก หากคุณๆ ทั้งหลายจะช่วยตอบผมได้ว่า..

"อย่างนี้หรือเปล่า ? ที่เขาเรียกว่า ไม่เอาไหน !"

คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 1
เราว่ามันอยู่ในช่วงที่กำลังหาสิ่งที่ชอบรึเปล่าคะ
อืมคือพอทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าชอบจริงๆแล้วอาจจะไม่ชอบ
เราว่าคุณเป็นคนขี้เบื่อค่ะ
คำว่าไม่เอาไหนสำหรับเรานะคะ
คือคนที่ไม่คิดจะทำอะไรมากกว่า
แต่ที่คุณกำลังเป็นเราว่ากำลังค้นหาสิ่งที่อยากจะทำ
หรือสิ่งที่อยากจะเป็นแล้วใจรักอะ

สิ่งที่คุณยังขาดคุณเขียนออกมาหมดแล้วค่ะ
ความตั้งใจ อาจจะเพราะเบื่อ หรือ คิดว่าตัวเองทำไม่ได้
ทำได้แต่ไม่ดี ทำไมเราไม่คิดว่า มันยังไม่ดีเพราะตรงไหน
แล้วเราค่อยมาปรับจุดนั้นดีมั้ยคะ

เคยมีครูท่านนึงสอนเรานะ
ว่าเราทำได้หมดถ้าเราพยายาม
แต่ถ้าเราไม่พยายาม เราจะกลายเป็นไอขี้แพ้
แพ้ตั้งแต่ความคิดละ คิดว่าทำไม่ได้ ทำไปทำไม
ทำไปก็ไม่ดี ทั้งๆที่ยังไม่ทันเริ่มทำเลย
ดังนั้นถ้าชอบเขียนนวนิยาย
ลองเขียนขึ้นมาก่อนดีมั้ยคะ
แล้วคุณบอกเองว่าชอบอ่าน ลองอ่านเรื่องของตัวเองสิ
ว่ามันไม่ดียังไง ทำไมคิดว่าไม่ดี แล้วค่อยปรับดีมั้ย

เพิ่งจะอายุ 22 เองค่อยๆหาเป้าหมาย
แต่อย่าช้าไป แต่ไม่ต้องรีบร้อน งงมั้ย 5555
ถ้าหาได้แล้วตั้งใจให้สุด
จะได้ไม่คิดว่าตัวเองไม่เอาไหนอีกนะ

สู้ต่อไปไอ้มดแดงงงง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่