คือ.. ผมค่อนข้างมั่นใจว่า ผมไม่ได้เป็นคนแรก และไม่ได้เป็นคนเดียวที่เป็นและรู้สึกอย่างนี้.. แต่ขณะเดียวกัน ผมก็ไม่มั่นใจว่าจะมีคน "เห็นด้วย" หรือ "คิดต่าง" กับผมมากน้อยแค่ไหน ? เพราะกระทู้นี้ผมจะพูดถึงแต่เรื่องตัวเอง (อาจจะอวยตัวเองบ้าง ขออย่าถือสาเลย) และหลายๆ คนอาจจะประสบปัญหาเดียวกันนี้อยู่
นี่เป็นกระทู้แรก และอาจเป็นกระทู้เดียวของผม ผมจึงจะพยายามอธิบายความรู้สึกออกมาด้วยภาษาที่เรียบง่ายที่สุด โดยไม่ได้วางแผนว่าจะเขียนอะไรบ้าง และไม่รู้ว่าจะต้องใช้พื้นที่เท่าไหร่จึงจะอธิบายมันออกมาได้หมดสิ้น แต่วัตถุประสงค์ที่สำคัญที่สุดของผมในการรบกวนพื้นที่ความคิดในพันทิปครั้งนี้ ก็คือ.. ผมอยากหาทางออกให้กับตัวเอง และต้องการความคิดที่จะทำให้ผมประสบความสำเร็จในชีวิต อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง..
เอาเป็นว่า ผมจะบรรยายมันไปเรื่อยๆ จนกว่าตัวเองจะรู้สึกพอใจแล้วกัน เริ่มที่..
เนื่องจากผมเป็นคนประเภทเวลาหยิบจับ หรือจะทำอะไรก็สามารถทำได้ (ผมไม่ได้บอกว่า "ทำได้ดี".. ก็แค่ "ทำได้") ถึงไม่ดีมาก แต่ก็ทำได้.. อย่างน้อยก็ดีในระดับพื้นฐานสำหรับบางคนที่ต้องใช้ระยะเวลานานระดับหนึ่งจึงจะสามารถทำมันได้ (เข้าใจไหมครับ) เช่น วาดภาพ หรืออะไรก็ตามที่ต้องใช้ศิลปะ ความปราณีต หรือ.. เอ่อ.. หรือสิ่งที่ผมจะขอเรียกมันว่า "สกิล" (Skill = ทักษะ) แล้วกันครับ (ไม่รู้จะอธิบายยังไง)
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงมักจะลองนั่นลองนี่ประจำ แต่ส่วนใหญ่ทำได้สักพักก็ล้มเลิก.. บางครั้งทำออกมาได้ดีในระดับที่จะสามารถ "อัพสกิล" ของตัวเองเพื่อต่อยอดให้สามารถเป็นอะไรที่ยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ได้ แต่ก็เปลี่ยนใจเอาเสียดื้อๆ.. ในที่สุด ผมก็กลายเป็นคนที่หยิบจับอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน บางอย่างทำมานานจนเหมือนว่าจะรักมันจริงๆ แต่สุดท้ายก็ทิ้ง.. คิดแค่ว่า จะหาอะไรใหม่ๆ ทำเสมอ จะได้เป็นการค้นหาตัวเอง ค้นหามานานมาก แต่ไม่เคยตั้งเป้าหมายอะไรในชีวิตเลยมาตั้งแต่เริ่มรู้จักกับชีวิตวัยรุ่น..
ผมเคยเล่นดนตรีเพราะคิดว่าเท่ห์.. หัดมาแทบทุกอย่างที่มีในโรงเรียน ทั้งวงสากล และวงโยธวาธิต ไม่เอาดีสักอย่าง.. บางครั้งเครื่องดนตรีบางชิ้นผมสามารถเล่นเป็นเพลงได้โดยไม่ต้องดูโน๊ต แต่ส่วนใหญ่หัดเล่นเพราะอยากรู้ว่าเล่นอย่างไร ? เริ่มเบื่อก็เปลี่ยนมาเล่นกีฬา ทีแรกเล่นตามเพื่อนเฉยๆ ทั้งที่ไม่มีทักษะพื้นฐาน แต่เล่นแล้วสนุก ได้ออกกำลังกาย ออกไปออกมาก็ติดทีมโรงเรียนไปแข่งระดับเขตพื้นที่การศึกษา เล่นทั้งฟุตบอล ฟุตซอล บาสเกตบอล ฯ เล่นจนเข่าเดี้ยงก็เลิก
จากนั้นก็วางทุกอย่าง สนใจกับสังคมมากขึ้น หาหนังสือความรู้รอบตัว ประวัติศาสตร์ การเมืองการปกครอง แล้วก็เรื่องจิปาถะของชีวิตประจำวัน ฯลฯ.. หลายครั้งนั่งกินเหล้ากับคนรู้จัก คุยกันเรื่องสีเสื้อความเห็นไม่ลงรอยเกือบต่อยปากกันก็ออกจะบ่อย หลังจากนั้นผมก็ไม่ยุ่งกับเรื่องพวกนั้นอีกเลย
คราวนี้กลับมาที่เรื่องเรียน ซึ่งผมได้กลับมาให้ความสำคัญกับมันมากที่สุดอีกครั้งหนึ่ง เพราะตอนนั้นใกล้สอบแล้ว ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย เอาล่ะ.. ไฮไลท์ของเรื่องนี้ ก็คือ ด้วย "ความไม่ใส่ใจ" ของผมเอง.. มหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ผมเดินสายสอบ ไม่มีที่ไหนเต็มใจรับเลยสักแห่ง.. แต่โชคยังเข้าข้าง เมื่อเกรดที่ผมยื่นไปที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งยังมีดีพอให้ผมได้โควต้าเป็นนักศึกษากับเขาบ้างสักครั้งหนึ่งในชีวิต
และที่อยากนำเสนอ (ความน่าสมเพชของตัวผมเอง) มากที่สุด ก็คือ ก่อนหน้านี้ผมพาตัวเองเข้าไปติดอยู่ในวงการวรรณกรรมหลายปี จำได้ว่าตั้งแต่ ป.5 เห็นจะได้.. จากนิสัยส่วนตัว ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว โดยเฉพาะนวนิยายและกวีนิพนต์ (ยกเว้นหนังสือเรียน) มีนักเขียนในดวงใจหลายท่าน และหลากหลายแนว.. หนังสือแปลจากต่างประเทศก็มีบ้าง แต่ไม่ชอบเท่านักเขียนไทย.. เสน่ห์ของวรรณกรรมมักจะอยู่ที่เวลาเราเก็บตัวอักษรที่ร้อยเรียงมาแล้วกลั่นเป็นภาพจินตนาการ มีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละคร.. รักก็รัก.. เหงาก็เหงา.. เศร้าก็เศร้า.. บางครั้ง ติดฉุนเฉียวกับตัวละครแล้วพาลใส่คนใกล้ตัว โดนด่ากลับมาก็มี (ยังขำตัวเองไม่หาย)
แล้วก็คงเหมือนกับนักเขียนทุกๆ คน ที่พออ่านมากก็อยากเขียนบ้าง.. ว่าแล้วก็เริ่มเขียน เขียนอยู่นั่นแหละ ตั้งแต่เรียงความ บทความ เรื่องสั้น นวนิยาย กาพน์ กลอน ฯ ตอนเขียนน่ะสนุกนะ.. แต่พออ่านดูเท่านั้นแหละ ไม่รู้จะเอาอะไรมาสนุก ! บางทีก็อ่านไม่รู้เรื่อง ต้องวนกลับไปอ่านใหม่ถึงรู้ว่าตัวเองต้องการจะสื่อความหมายว่าอย่างไร ? (ทั้งที่ตัวเองเพิ่งเขียนไปแท้ๆ).. บางทีภาษาก็ผิดๆ เพี้ยนๆ.. เขียนมาหลายปีพอไม่กระเตื้อง ไม่เป็นเรื่องเป็นราว ก็พยายามค้นคว้า หาต้นแบบนักเขียนนวนิยายที่ตัวเองรัก ฝึกฝีมืออยู่นานมากจึงเริ่มเขียนอีกครั้ง.. ระยะเวลาที่ผมใช้ในการเขียนหนังสือหนึ่งเรื่องมากพอให้เด็กคนหนึ่งโตจนบวชเณรครบพรรษา พอต้นฉบับมาอยู่ในมือ ผมเลยพยายามส่งประกวดไปหลายที่ แต่ไม่ได้แม้สักรางวัลเดียว (ส่งไปเขาจะอ่านหรือเปล่ายังไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้รู้เลย) แต่จะสังเกตว่า ผมใช้เวลาอยู่กับการเขียนนวนิยายนานกว่าเรื่องอื่นๆ จนตอนนั้นจะเรียกว่า กลายเป็น "ส่วนหนึ่งของชีวิต" ไปเสียแล้ว แต่ก็อย่างเคย เขียนเท่าไหร่ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจมากไปกว่าเรื่องเดิมๆ ที่เรามักพบตามร้านหนังสือ สมองตีบตัน.. แต่ไม่ยอมแพ้ ผมพยายามคิดพล๊อตใหม่ๆ ที่แหวกแนว คิดจนเก็บไปฝัน.. หนักเข้าๆ เริ่มเหนื่อยกับการคิด ไม่นานก็เลิก (อีกแล้ว)
ในที่สุด ผมก็เริ่มนำทุกอย่างมาคิดทบทวน.. ตอนนี้ ผมอายุ ย่าง 22 ปี อยู่ในปีสุดท้ายของการเป็นนักศึกษา เรียนด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ถ้าหลังจากนี้ผมต้องก้าวออกจากรั้วมหาวิทยาลัยเพื่อไปเผชิญโลกกว้าง แล้วผมยังเป็นอย่างนี้อยู่.. ยังไม่ตั้งต้น ไม่ตั้งเป้าหมายที่เป็นหลักแหล่ง ผมจะทำอะไรให้ครอบครัวภูมิใจได้บ้างไหม ? เรียนมาจนป่านนี้แล้ว ถ้าจะกลับไปเกาะพ่อแม่กินก็ใช่เหตุ ฐานะทางบ้านก็ใช่ว่าจะดี..
หรือที่ผมเป็นอยู่หมดนี้.. อาจเพราะผมเป็นคนที่มีอีโก้สูงเกินไป (คนที่ผมไม่ค่อยชอบหน้าเคยบอกผมอย่างนี้) ก็น่าคิด.. และ/หรือ.. อาจเป็นเพราะผมขาดแรงบันดาลใจ (แฟนเก่าเคยบอกผมอย่างนี้) อันนี้ก็น่าคิด..
ด้วยเหตุนี้ ก็เลยเริ่มชักจะเกลียด "การเริ่มต้น" เข้าเสียแล้ว.. รู้สึกกลัว.. รู้สึกว่าตัวเองไม่เคยตั้งใจจริงจังกับอะไรสักอย่าง.. เก่งแต่คิด เก่งแต่ฝัน.. เหมือนตอนคิดพล๊อตนวนิยายก็คิดได้เป็นตุเป็นตะ บทจะเขียนก็ง่อย.. จนกระทั่งผมพอใจที่จะเป็นนักอ่านธรรมดาคนหนึ่ง.. ไม่คิด ไม่เขียนอะไรทั้งนั้น !
ย้ำอีกครั้ง ปัจจุบันผมคือหนุ่มโสด (จะบอกเพื่อ ?) อายุ 22 ปี กำลังจะเป็นคนหนุ่มวัยทำงาน กำลังหาจุดยืนให้ตัวเอง และกำลังจะทำอะไรสักอย่างให้คนในครอบครัวภาคภูมิใจ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการชี้แนะจากทุกท่านที่สละเวลาอันมีค่าเข้ามาอ่านกระทู้ของไอ้บ้าคนหนึ่งที่พูดแต่เรื่องตัวเองคนนี้จนจบ..
สุดท้าย ผมขอขอบคุณทุกท่านที่ (อดทน) อ่าน.. ขอบคุณทุกความคิดเห็น ทุกคำแนะนำที่ (หวังว่าจะ) ผ่านเข้ามา และขอบคุณอย่างมาก หากคุณๆ ทั้งหลายจะช่วยตอบผมได้ว่า..
"อย่างนี้หรือเปล่า ? ที่เขาเรียกว่า ไม่เอาไหน !"
อย่างนี้หรือเปล่า ? ที่เขาเรียกว่า "ไม่เอาไหน" !
นี่เป็นกระทู้แรก และอาจเป็นกระทู้เดียวของผม ผมจึงจะพยายามอธิบายความรู้สึกออกมาด้วยภาษาที่เรียบง่ายที่สุด โดยไม่ได้วางแผนว่าจะเขียนอะไรบ้าง และไม่รู้ว่าจะต้องใช้พื้นที่เท่าไหร่จึงจะอธิบายมันออกมาได้หมดสิ้น แต่วัตถุประสงค์ที่สำคัญที่สุดของผมในการรบกวนพื้นที่ความคิดในพันทิปครั้งนี้ ก็คือ.. ผมอยากหาทางออกให้กับตัวเอง และต้องการความคิดที่จะทำให้ผมประสบความสำเร็จในชีวิต อย่างน้อยก็ในระดับหนึ่ง..
เอาเป็นว่า ผมจะบรรยายมันไปเรื่อยๆ จนกว่าตัวเองจะรู้สึกพอใจแล้วกัน เริ่มที่..
เนื่องจากผมเป็นคนประเภทเวลาหยิบจับ หรือจะทำอะไรก็สามารถทำได้ (ผมไม่ได้บอกว่า "ทำได้ดี".. ก็แค่ "ทำได้") ถึงไม่ดีมาก แต่ก็ทำได้.. อย่างน้อยก็ดีในระดับพื้นฐานสำหรับบางคนที่ต้องใช้ระยะเวลานานระดับหนึ่งจึงจะสามารถทำมันได้ (เข้าใจไหมครับ) เช่น วาดภาพ หรืออะไรก็ตามที่ต้องใช้ศิลปะ ความปราณีต หรือ.. เอ่อ.. หรือสิ่งที่ผมจะขอเรียกมันว่า "สกิล" (Skill = ทักษะ) แล้วกันครับ (ไม่รู้จะอธิบายยังไง)
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงมักจะลองนั่นลองนี่ประจำ แต่ส่วนใหญ่ทำได้สักพักก็ล้มเลิก.. บางครั้งทำออกมาได้ดีในระดับที่จะสามารถ "อัพสกิล" ของตัวเองเพื่อต่อยอดให้สามารถเป็นอะไรที่ยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ได้ แต่ก็เปลี่ยนใจเอาเสียดื้อๆ.. ในที่สุด ผมก็กลายเป็นคนที่หยิบจับอะไรไม่เป็นชิ้นเป็นอัน บางอย่างทำมานานจนเหมือนว่าจะรักมันจริงๆ แต่สุดท้ายก็ทิ้ง.. คิดแค่ว่า จะหาอะไรใหม่ๆ ทำเสมอ จะได้เป็นการค้นหาตัวเอง ค้นหามานานมาก แต่ไม่เคยตั้งเป้าหมายอะไรในชีวิตเลยมาตั้งแต่เริ่มรู้จักกับชีวิตวัยรุ่น..
ผมเคยเล่นดนตรีเพราะคิดว่าเท่ห์.. หัดมาแทบทุกอย่างที่มีในโรงเรียน ทั้งวงสากล และวงโยธวาธิต ไม่เอาดีสักอย่าง.. บางครั้งเครื่องดนตรีบางชิ้นผมสามารถเล่นเป็นเพลงได้โดยไม่ต้องดูโน๊ต แต่ส่วนใหญ่หัดเล่นเพราะอยากรู้ว่าเล่นอย่างไร ? เริ่มเบื่อก็เปลี่ยนมาเล่นกีฬา ทีแรกเล่นตามเพื่อนเฉยๆ ทั้งที่ไม่มีทักษะพื้นฐาน แต่เล่นแล้วสนุก ได้ออกกำลังกาย ออกไปออกมาก็ติดทีมโรงเรียนไปแข่งระดับเขตพื้นที่การศึกษา เล่นทั้งฟุตบอล ฟุตซอล บาสเกตบอล ฯ เล่นจนเข่าเดี้ยงก็เลิก
จากนั้นก็วางทุกอย่าง สนใจกับสังคมมากขึ้น หาหนังสือความรู้รอบตัว ประวัติศาสตร์ การเมืองการปกครอง แล้วก็เรื่องจิปาถะของชีวิตประจำวัน ฯลฯ.. หลายครั้งนั่งกินเหล้ากับคนรู้จัก คุยกันเรื่องสีเสื้อความเห็นไม่ลงรอยเกือบต่อยปากกันก็ออกจะบ่อย หลังจากนั้นผมก็ไม่ยุ่งกับเรื่องพวกนั้นอีกเลย
คราวนี้กลับมาที่เรื่องเรียน ซึ่งผมได้กลับมาให้ความสำคัญกับมันมากที่สุดอีกครั้งหนึ่ง เพราะตอนนั้นใกล้สอบแล้ว ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย เอาล่ะ.. ไฮไลท์ของเรื่องนี้ ก็คือ ด้วย "ความไม่ใส่ใจ" ของผมเอง.. มหาวิทยาลัยต่างๆ ที่ผมเดินสายสอบ ไม่มีที่ไหนเต็มใจรับเลยสักแห่ง.. แต่โชคยังเข้าข้าง เมื่อเกรดที่ผมยื่นไปที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งยังมีดีพอให้ผมได้โควต้าเป็นนักศึกษากับเขาบ้างสักครั้งหนึ่งในชีวิต
และที่อยากนำเสนอ (ความน่าสมเพชของตัวผมเอง) มากที่สุด ก็คือ ก่อนหน้านี้ผมพาตัวเองเข้าไปติดอยู่ในวงการวรรณกรรมหลายปี จำได้ว่าตั้งแต่ ป.5 เห็นจะได้.. จากนิสัยส่วนตัว ผมเป็นคนชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว โดยเฉพาะนวนิยายและกวีนิพนต์ (ยกเว้นหนังสือเรียน) มีนักเขียนในดวงใจหลายท่าน และหลากหลายแนว.. หนังสือแปลจากต่างประเทศก็มีบ้าง แต่ไม่ชอบเท่านักเขียนไทย.. เสน่ห์ของวรรณกรรมมักจะอยู่ที่เวลาเราเก็บตัวอักษรที่ร้อยเรียงมาแล้วกลั่นเป็นภาพจินตนาการ มีอารมณ์ร่วมไปกับตัวละคร.. รักก็รัก.. เหงาก็เหงา.. เศร้าก็เศร้า.. บางครั้ง ติดฉุนเฉียวกับตัวละครแล้วพาลใส่คนใกล้ตัว โดนด่ากลับมาก็มี (ยังขำตัวเองไม่หาย)
แล้วก็คงเหมือนกับนักเขียนทุกๆ คน ที่พออ่านมากก็อยากเขียนบ้าง.. ว่าแล้วก็เริ่มเขียน เขียนอยู่นั่นแหละ ตั้งแต่เรียงความ บทความ เรื่องสั้น นวนิยาย กาพน์ กลอน ฯ ตอนเขียนน่ะสนุกนะ.. แต่พออ่านดูเท่านั้นแหละ ไม่รู้จะเอาอะไรมาสนุก ! บางทีก็อ่านไม่รู้เรื่อง ต้องวนกลับไปอ่านใหม่ถึงรู้ว่าตัวเองต้องการจะสื่อความหมายว่าอย่างไร ? (ทั้งที่ตัวเองเพิ่งเขียนไปแท้ๆ).. บางทีภาษาก็ผิดๆ เพี้ยนๆ.. เขียนมาหลายปีพอไม่กระเตื้อง ไม่เป็นเรื่องเป็นราว ก็พยายามค้นคว้า หาต้นแบบนักเขียนนวนิยายที่ตัวเองรัก ฝึกฝีมืออยู่นานมากจึงเริ่มเขียนอีกครั้ง.. ระยะเวลาที่ผมใช้ในการเขียนหนังสือหนึ่งเรื่องมากพอให้เด็กคนหนึ่งโตจนบวชเณรครบพรรษา พอต้นฉบับมาอยู่ในมือ ผมเลยพยายามส่งประกวดไปหลายที่ แต่ไม่ได้แม้สักรางวัลเดียว (ส่งไปเขาจะอ่านหรือเปล่ายังไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้รู้เลย) แต่จะสังเกตว่า ผมใช้เวลาอยู่กับการเขียนนวนิยายนานกว่าเรื่องอื่นๆ จนตอนนั้นจะเรียกว่า กลายเป็น "ส่วนหนึ่งของชีวิต" ไปเสียแล้ว แต่ก็อย่างเคย เขียนเท่าไหร่ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจมากไปกว่าเรื่องเดิมๆ ที่เรามักพบตามร้านหนังสือ สมองตีบตัน.. แต่ไม่ยอมแพ้ ผมพยายามคิดพล๊อตใหม่ๆ ที่แหวกแนว คิดจนเก็บไปฝัน.. หนักเข้าๆ เริ่มเหนื่อยกับการคิด ไม่นานก็เลิก (อีกแล้ว)
ในที่สุด ผมก็เริ่มนำทุกอย่างมาคิดทบทวน.. ตอนนี้ ผมอายุ ย่าง 22 ปี อยู่ในปีสุดท้ายของการเป็นนักศึกษา เรียนด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ถ้าหลังจากนี้ผมต้องก้าวออกจากรั้วมหาวิทยาลัยเพื่อไปเผชิญโลกกว้าง แล้วผมยังเป็นอย่างนี้อยู่.. ยังไม่ตั้งต้น ไม่ตั้งเป้าหมายที่เป็นหลักแหล่ง ผมจะทำอะไรให้ครอบครัวภูมิใจได้บ้างไหม ? เรียนมาจนป่านนี้แล้ว ถ้าจะกลับไปเกาะพ่อแม่กินก็ใช่เหตุ ฐานะทางบ้านก็ใช่ว่าจะดี..
หรือที่ผมเป็นอยู่หมดนี้.. อาจเพราะผมเป็นคนที่มีอีโก้สูงเกินไป (คนที่ผมไม่ค่อยชอบหน้าเคยบอกผมอย่างนี้) ก็น่าคิด.. และ/หรือ.. อาจเป็นเพราะผมขาดแรงบันดาลใจ (แฟนเก่าเคยบอกผมอย่างนี้) อันนี้ก็น่าคิด..
ด้วยเหตุนี้ ก็เลยเริ่มชักจะเกลียด "การเริ่มต้น" เข้าเสียแล้ว.. รู้สึกกลัว.. รู้สึกว่าตัวเองไม่เคยตั้งใจจริงจังกับอะไรสักอย่าง.. เก่งแต่คิด เก่งแต่ฝัน.. เหมือนตอนคิดพล๊อตนวนิยายก็คิดได้เป็นตุเป็นตะ บทจะเขียนก็ง่อย.. จนกระทั่งผมพอใจที่จะเป็นนักอ่านธรรมดาคนหนึ่ง.. ไม่คิด ไม่เขียนอะไรทั้งนั้น !
ย้ำอีกครั้ง ปัจจุบันผมคือหนุ่มโสด (จะบอกเพื่อ ?) อายุ 22 ปี กำลังจะเป็นคนหนุ่มวัยทำงาน กำลังหาจุดยืนให้ตัวเอง และกำลังจะทำอะไรสักอย่างให้คนในครอบครัวภาคภูมิใจ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการชี้แนะจากทุกท่านที่สละเวลาอันมีค่าเข้ามาอ่านกระทู้ของไอ้บ้าคนหนึ่งที่พูดแต่เรื่องตัวเองคนนี้จนจบ..
สุดท้าย ผมขอขอบคุณทุกท่านที่ (อดทน) อ่าน.. ขอบคุณทุกความคิดเห็น ทุกคำแนะนำที่ (หวังว่าจะ) ผ่านเข้ามา และขอบคุณอย่างมาก หากคุณๆ ทั้งหลายจะช่วยตอบผมได้ว่า..
"อย่างนี้หรือเปล่า ? ที่เขาเรียกว่า ไม่เอาไหน !"