เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก กับเพื่อนสุดเฟล ตอนที่ 1 : สู่แดนปลาดิบ



(บทความนี้ เพื่อนผมอนุญาตให้ผมสามาราถนำเรื่องราวมาถ่ายทอดได้แล้วครับ)

ผมกำลังยืนอยู่ในร้านขายโดจินโป๊เกย์
แน่นอนครับ ผมยังเป็นชายแท้ล้านเปอเซ้นต์และยังชอบผู้หญิงอยู่ แต่ตอนนี้ผมกำลังตกอยู่ท่ามกลางสาววายทั้งหลายที่กำลังหยิบดูโดจินโป๊เกย์อย่างตั้งอกตั้งใจ
ผมดูจากหน้าปกแล้วรู้เลยว่าข้างในนั้นคงมีศึกช้างชนช้างทะลุทะลวงกระฉูดแน่ๆ แถมที่อยู่ในมือผมนั้นก็ยังเป็นโดจินโป๊ที่หยิบมาจากชั้นหนังสือที่กำลังขายอยู่นั่นแหละ ซึ่งแน่นอนว่าสาววายชาวญี่ปุ่นนั้นก็จ้องมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า ในขณะที่พนักงานสาวนั้นยิ้มน้อยยิ้มใหญ่เมื่อเห็นผมหยิบโดจินโป๊เล่มนั้น
ถ้าผมไม่ใช่เกย์ แล้วทำไมผมถึงต้องมาอยู่ในสภาพแบบนี้ได้ ? เรื่องแบบนี้คงต้องเล่าย้อนกลับไปเมื่อ 1 ปีก่อน
ยาวไปไหม!! ไม่หรอก เพราะจุดเริ่มต้นมันอยู่ที่ตอนนั้น

———————————

เดือนกันยายน ปี 2556 วันไม่ทราบ เวลาไม่รู้ วินาทีไม่ต้องพูดถึง
“เฮ้ย ไปงานโตเกียวเกมโชว์กันมั้ย ?”
นี่คือสิ่งที่เพื่อนผมที่ทำงานสื่อเหมือนกันพูดขึ้นในช่วงเวลาก่อนที่ผมจะเดินทางไปประเทศเกาหลี เพื่อที่จะไปเกาะติดทำข่าวการแข่งขัน Tales Runner ที่นำโดยบริษัท TOT ซึ่งช่วงเวลานั้นเป็นครั้งแรกที่ผมได้เดินทางไปต่างประเทศ (ไม่นับพม่า ลาว และกัมพูชาเพราะไม่ได้ขึ้นเครื่องบิน) ซึ่งผมในตอนนั้นเตรียมที่จะไปทำข่าวงานนี้กลับมาด้วย แต่สิ่งที่เพื่อนผมทักขึ้นมานั้น เป็นสิ่งที่เกินคาดมาก
“โตเกียวเกมโชว์นะเหรอ” ผมยักคิ้วถาม
“ใช่ ที่ญี่ปุ่นไง เดี๋ยวปลายปีนายก็ไปงาน G-Star ที้เกาหลีใช่มะ ปีนี้เราทำข่าวงานเกาหลี ปีหน้าเราก็ทำข่าวงานญี่ปุ่นไปเลยไง” เพื่อนผมบอกด้วยสีหน้าที่ตื่นเต้น
ในช่วงเวลานั้น เพื่อนผมเพิ่งจะเข้าทำงานในบริษัทเกมที่เปิดใหม่ ซึ่งทำให้เขาคาดเดาได้ถึงเงินเดือนที่เขาจะออกและสามารถเก็บสะสมเพื่อไปญี่ปุ่นได้ ซึ่งช่วงนั้นญี่ปุ่นได้ประกาศยกเลิก VISA พอดีด้วย ทำให้น่าไปเข้าไปใหญ่
แน่นอนครับ ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศหนึ่งที่สำหรับคอเกม และคอการ์ตูนจะต้องไปเยือนซักครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะคนไทยนั้นผูกพันธ์กับวัฒนธรรมญี่ปุ่นเยอะมาก และได้รับอิทธิพลเยอะด้วยนั่นเอง
“ปีหน้าอะนะ” ผมตอบกลับไปแบบนั้น เพราะงานเกมญี่ปุ่นจะจัดกันในเดือนกันยายน ทำให้เรามีเวลาเตรียมตัวอีกเยอะ
แต่ทว่า ผลลัพธ์ที่ออกมานั้นกลับตาลปัตร เพราะว่าตาต้นโผที่เป็นคนเอ่ยชวนไปคนแรกนั้น ดันไม่สามารถไปได้ด้วยปัญหางบประมาณ ทำให้ตอนนี้เหลือผมกับเพื่อนสื่ออีกสองคนเท่านั้นที่ยังตัดสินใจว่าจะไปอยู่ (คุยกันมาตั้งนาน ปลุกอารมณ์กันมาแล้วด้วย ไม่ไปก็คงหมดอารมณ์แย่) ซึ่งระหว่างนั้นผมก็ได้เช็ดราคาตั๋วไปเรื่อยๆ ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับที่แอร์เอเชีย สายการบินโบวคอสบ้านเราที่กำลังจะเปิดเส้นทางบินใหม่ไปญี่ปุ่นแบบบินตรงพอดี ซึ่งหมายความว่า ถ้าเราสามารถจองตอนที่เปิดสายการบินแรกๆ ได้ เราจะได้ราคาถูกแบบสุดยอด! แต่จนแล้วจนรอด แอร์เอเชียก็ยังไม่ยอมเปิด X ไปญี่ปุ่นซะที จนในที่สุด ผมก็ได้ไปเช็ดราคาของเดลต้า ที่บินตรงเหมือนกันแต่บินตรงเช้า ซึ่งก็ทำให้เห็นราคา 2 หมื่นต้นๆ จนต้องบอกเพื่อนร่วมทีมหลังจากไปงานแถลงข่าวเปิดตัวเกมนักดาบออนไลย์เลยว่า เฮ้ย ถ้าจะไปมันต้องรีบจองแล้วนะเฮ้ย ซึ่งเพื่อนผมทั้งหมดก็ตกลงที่จะไปสายการบินนี้ ยิ่งเราไปกันสามคน การจะหาที่พักแบบนอนสามคนในห้องเดียวกันได้มันยากมากๆ
ก่อนจะเล่าเรื่องต่อ ผมคิดว่าคงจะมีหลายคนสงสัยว่าทำไมผมถึงตั้งชื่อเรื่องว่า “กับเพื่อนสุดเฟล” ออกมา ? คำตอบก็คือ มันเฟลตั้งแต่เริ่มเดินทางจนกระทั่งวันกลับเลยครับ และตรงเหตุการณ์นี้แหละที่เพื่อนผมเริ่มแสดงอาการเฟลออกมา
เจ้าตัวถามว่า “อยากจะนอนแยกห้อง ได้ไหม ? จ่ายเพิ่มก็เอา”
ตอนนั้นผมกับเพื่อนอีกคนนั่งบอกกันเลย “เอ็งจะบ้าเรอะ! ไปเที่ยวด้วยกันจะนอนแยกกันทำไมฟะ!” ยิ่งไปต่างประเทศด้วยแล้วนอนแยกห้อง มันไม่ได้ง่ายๆ เหมือนในเมืองไทย เวลาจะวางแผนทำอะไร หรือปลุกตื่นนอนก็จะสะดวกด้วย จนเพื่อนร่วมงานที่มาฟังด้วยเขาก็บอกว่า “ตานี่สงสัยจะแอบพาใครเข้าห้องแหงมเลย” จนอีกฝ่ายยอมที่จะนอนสามคนในห้องเดียวกัน
ซึ่งจริงๆ จะบอกว่า ถ้าจะนอนแบบนั้นเอาราคาถูก ก็ต้องนอนโรมแรมแคปชูลซึ่งผมไม่เอาด้วยแน่
หลังจากการคุยตกลงในวันนั้น วันต่อมา ผมกดดูราคาใหม่ ที่พักที่เดิม แต่ราคาที่ผมเห็น หล่นลงมาหมื่นสองร้อยบาท
ผมถึงกับกระพริบตาหลายคร้งเลยว่า เฮ้ย นี่เราเบลอจนมองตาลายรึเปล่า ทำไมราคามันลงมาตั้งหมื่นนึงฟะ! พอกดดูสายการบินที่เดินทาง
เชดเด้!! แอร์เอเชีย X เปิดให้บริการแล้ว!!
ผมรีบโทรหาเพื่อนทั้งสองคนเป็นการด่วนเลยว่า พวกเอ็งสองตัวจงรีบโอนเงินมาให้ตูเพื่อซื้อตั๋วเอาสายการบินนี้บัดเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้นข้าจะไม่ไปกับพวกเอ็งแน่ เพราะราคานี้ไปญี่ปุนได้ (แบบบินตรง) แล้วไม่ยอมไปนี่ ถือว่าบ้าแระครับ ซึ่งทั้งสองคนก็โอนเงินมาให้ผมสามารถสั่งจองตั๋วเครื่องบินได้สำเร็จ ทำให้ตอนนี้พวกผมได้ทั้งค่าที่พักและค่าเครื่องบินเรียบร้อยแล้ว

—————————

15 กันยายน 2557
วันนี้เป็นวันที่ผมกับเพื่อนผมอีกสองคนมีกำหนดจะต้องขึ้นเครื่องบินเพื่อเดินทางไปญี่ปุ่น
เครื่องบินออกตีหนึ่ง ดังนั้นทางผมจะต้องไปถึงสนามบินราวๆ 4 ทุ่ม เพื่อไปเช็ดอินนั่นเอง ผมได้ออกเดินทางตอนราวๆ 2 ทุ่มครึ่งโดยมีคนทางบ้านขับรถไปส่งให้ เนื่องจากสนามบินดอนเมืองนั้นอยู่ห่างจากบ้านผมมากนั่นเอง ในวันนั้นฝนเริ่มตกลงมาเรื่อยๆ ให้บรรยากาศเหมือนกันตอนที่ผมเดินทางไปเกาหลี (ซึ่งเป็นการไปต่างประเทศครั้งแรกที่นั่งเครื่องบินไป) ฟังจากวิทยุข่าว เหมือนกับว่าจะมีพายุเข้าไปทางใต้ของจีน ซึ่งทางบ้านก็แอบเป็นห่วงว่าจะเป็นอะไรไหม ซึ่งตัวผมได้เช็ดพยากรณ์อากาศก่อนเดินทางไปแล้วก็พบว่าที่ญี่ปุ่นนั้นอากาศแจ่มใสสบายดี (แต่ก็ไม่ได้บอกทางบ้านอะนะว่าตอนเครื่องบินบินผ่าน มันผ่านพายุด้วย)
เมื่อผมเดินทางไปถึงสนามบินแล้ว ก็พบเพื่อนผมที่เดินทางมาถึงก่อนผมแล้ว ซึ่งยังเหลือเวลาอีกตั้งชั่วโมงกว่า เค้าเตอร์เช็ดอินของแอร์เอเชีย X จะเปิด ก็เลยอยู่คุยกัน บอกลาคนทางบ้าน และในที่สุดเพื่อนอีกคนก็เดินทางมาถึง ที่เหลือเราก็แค่ ไปยืนต่อแถวกับคนอื่นๆ ที่มาเข้าคิวเหมือนกัน ซึ่งระหว่างนั้นทางผมก็นั่งเข้า WIFI ฟรีของสนามบินและถ่ายรูปลงเฟสเพื่อรายงานว่าเรากำลังจะขึ้นเครื่องบินแล้วนะ อะไรแบบนี้



ดูเหมือนจะเป็นการเดินทางธรรมดาๆ ไม่มีอะไรสินะครับ ? เปล่าเลย เรื่องความเฟลของเพื่อนผมจริงๆ มันเริ่มต้นขึ้นจากตรงนี้แหละครับ
เค้าเตอร์เช็ดอินเริ่มเปิด พนักงานของเค้าเตอร์แอร์เอเชีย X ทั้งชาวไทยและชาวญี่ปุ่นเริ่มโค้งคำนับกล่าวต้อนรับผู้โดยสารทั่งหมด ทั้งชาวไทยและชาวญี่ปุ่นต่างหยุดธุระส่วนตัวและตั้งใจมองพนักงานที่กำลังกล่าวต้อนรับ ยกเว้นเพื่อนผมเพียงคนเดียวที่ยังคงนั่งกดเล่นเน็ตมือถืออย่างเมามัน และเป็นคนเดียวในบรรดาผู้โดยสารทั้งหมดที่นั่งเล่นเนตมือถืออยู่คนเดียว จนตามมาต่อคิวไม่ติดกัน และมีชาวญี่ปุ่นมายืนขวางอยู่ แต่เจ้าตัวก็ยังคงยืนเล่นมือถืออยู่โดยไม่สนใจอะไร ซึ่งผมเริ่มเห็นลางเฟลมาแต่ไกล
เมื่อคิวมาถึงคิวผมกับเพื่อนอีกคนไปตรงเค้าเตอร์เช็ดอิน แทนที่เจ้าตัวจะรีบเช็นรถเข็นตามพวกผมมา ดันเอาแต่ยืนแชทมือถืออยู่ได้ จนเพื่อนผมอีกคนต้องรีบกวักมันมาเลยว่า รีบมาสิเว้ยเฮ้ย!
ทำตัวชิลไปไหมนั่น ? เพราะปกติ การเช็ดอินนั้นถ้าจองด้วยกันก็ต้องเช็ดอินด้วยกันอยู่แล้ว ก็ยังแอบคิดอยู่ว่าคิดยังไงถึงไม่ยอมตามมาด้วยกัน อยากโดนจับแยกนั่งรึยังก็ไม่ทราบเหมือนกัน ตรงๆ เลยว่าตอนนั้นผมรู้สึกว่าโคตรอาย เพราะผู้โดยสารคนอื่นๆ ต่างมองกันหมด (แต่จะว่าเขาก็ไม่ได้ เพราะตอนนั้นผมก็เอาหมอนรองคอเอามาเสียบหัวจนดูเหมือนทำตัวปัญญาอ่อนนิดนึงเหมือนกัน จนเพื่อนอีกคนพึมพำออกมาว่า สองคนนี้มันเล่นอะไรกันนิ)
หลังจากผ่านด่านเช็ดอินและเขียนใบตรวจคนเข้าเมืองออกเมือง (สำหรับเมืองไทย) เรียบร้อยแล้ว ทีนี้ก็ถึงตาที่พวกเราจะต้องแก้ผ้า… เอ้ย ต้องผ่านด่านตรวจสแกนก่อนที่เราจะขึ้นเครื่อง ผมเลยต้องอธิบายเสริมให้เพื่อนผมก่อนที่จะเดินทางผ่านเครื่องสแกนทันที
“พวกกระเป๋าเงิน , มือถือ , กุญแจ , เข็มขัด หรือกระเป๋าอะไรต้องเอาออกไปวางตรงถาดให้หมด แล้วก็เดินผ่านเครื่องสแกนไปเลย” ผมอธิบายพร้อมกับชี้ไปตรงเครื่องสแกน
“ต้องทำถึงขนาดนั้นเลยเหรอ” เพื่อนคนที่ไม่เคยขึ้นเครื่องบินมาก่อนถาม
“ตามนั้นเลย ดูนะ” ผมบอกก่อนที่จะเดินแก้ผ้า… เอ้ย ถอดของที่ไม่สามารถเดินผ่านเครื่องสแกนได้ แล้วก็เดินตัวปลิวผ่านเครื่องสแกน และก็ไปยืนกางแขนให้เจ้าหน้าที่สาวของสนามบินใช้เครื่องสแกนในการตรวจร่างกายผม
โป๊ก!
เจ้าหน้าที่สาวทำพลาด หยิบเครื่องสแกนไปโป๊กใส่หัวผมทันที จนเจ้าหน้าที่สาวเริ่มลนลานออกมา
“Oh… I very sorry , Are you OK ?” เจ้าหน้าที่สาวรีบถามผม
“Ah.. OK , Never mind” ไอ้ผมเองก็เผลอตอบเป็นภาษาอังกฤษตอบไปด้วยซะงั้น ว่าแต่ หน้าผมมันไม่เหมือนคนไทยขนาดนั้นเลยเรอะ
หลังจากที่ผมเก็บข้าวของของผมใส่กระเป๋าเสร็จแล้วผมก็ยืนรอเพื่อนอีกคนที่กำลังเก็บข้าวของที่หยิบออกมาเพื่อเอาเข้าใส่เข้าไปในกระเป๋าตามเดิม เพื่อนผมคนที่นั่งแชทมือถืออยู่ถึงกับถามผมว่า “ตอนนี้เล่นเน็ตได้ไหม”
ปั๊บ!! (เสียงตีหัวตัวเอง)
E บร้าาาาาา!! เอ็งกำลังยืนอยู่ตรงบริเวณจุดที่เป็นเครื่องสแกนที่เป็นจุดห้ามถ่ายรูป แถมมีทั้งเจ้าหน้าที่และตำรวจยืนมองอยู่ แน่นอนว่าผมเคยบอกไปแล้วว่าขั้นตอนตรงนี้ห้ามถ่ายรูปหรือบันทึกเสียงใดๆ ทั้งสั้น ยังจะมาขอเล่น “เน็ต” ตรงนี้อีกเหรอย้าาาาาาาาา!!
“เอ็งรอเพื่อนเก็บของเสร็จก่อนได้ไหม” ผมถามมัน
แต่ดูเหมือนเพื่อนผมจะมีปัญหาในการเก็บของเพราะของที่ต้องหยิบออกมาบนเครื่องสแกนนั้นมีเยอะมาก เลยใช้เวลาเก็บของค่อนข้างนาน อีกฝ่ายกก็ทำท่ากระสับกระส่ายอยากจะเล่นเนตมือถือมาก เลยถามอีกรอบ
“ขอเล่นเน็ตได้ไหม ?” มันถามผม
“นี่ ถ้าเอ็งเสี่ยนอยากเล่นเน็ตมาก ไปตรงนั้นเลยป่ะ” ผมชี้ไปตรงร้าน Duty Free ของสนามบินที่อยู่ใกล้ๆ และมีพื้นที่เล็กกระจิ๊ดนึง เพราะมันจะห่างจากจุดสแกน ทำให้ไม่น่าจะโดนห้าม
ซึ่งเมื่อเพื่อนผมรอซักพัก (ไม่เกิน 3 นาทีโดยประมาณ) ก็เดินออกจากพื้นที่ตรงบริเวณนั้นและก็หาพื้นที่ในการเล่นเน็ตทันที ซึ่งจังหวะนั้น เพื่อนผมอีกคนก็เก็บของเสร็จพอดี เราทั้งสองคนก็หันมามองดูเพื่อนคนนั้นพร้อมกัน
“สงสัยเสี้ยนเน็ตมาก” ผมวิจารณ์
“มั้ง” เพื่อนผมอีกคนพยักหน้า
เราทั้งสองคนเลยเดินเที่ยวดูของใน Duty Free ของสนามบินดอนเมือง เพราะไม่เคยมาทั้งคู่ แต่เมื่อดูแล้วก็ไม่เห็นว่ามีอะไรน่าซื้อเท่าไหร่เพราะของราคาแพงและเราก็ไม่ใช่ชาวต่างชาติที่จะซื้อของฝากกลับบ้าน เลยออกมายืนรอเพื่อนคนที่ว่าแชทเสร็จ ก่อนที่จะเดินไปนั่งรอหน้าเกท (ประตูทางเข้าเครื่องบิน) ด้วยกัน ซึ่งสนามบินดอนเมืองนั้นไม่มีอะไรให้เดินเท่าไหร่ เลยได้ไปนั่งรอหน้าประตูเฉยๆ จนกระทั่งถึงเวลาเครื่องออก พวกเราก็ได้ต่อแถวกับผู้โดยสารจำนวนมากในการขึ้นเครื่อง โดยระหว่างนั้นผมได้ส่งยาแก้เมาให้เพื่อนทั้งสองคน
“นี่อะไร” เพื่อนคนที่ว่าถาม
“ยาแก้เมาไง รับรองว่านายได้นั่งทรมานบนเครื่องบินแน่ จะได้หลับง่ายๆ” ผมบอกเขา ซึ่งเพื่อนอีกคนก็หยิบไปเม็ดนึงอย่างง่ายดาย
“ไม่เอาอ่ะ ฉันหลับง่ายอยู่แล้ว” เพื่อนคนที่ว่าบอก
“มั่นใจนะ เตือนไว้ก่อนนะว่ามันทรมานจริงๆ” ผมเตือนอีกฝ่าย เพราะผมรู้ดีอยู่แล้วว่าการนั่งเครื่องบินมันทรมานจริงๆ
“อืม ไม่เอาหรอก ฉันหลับได้แน่” เพื่อนที่ว่าบอก
“งั้นก็ตามใจ” ผมชักยากลับ ก่อนที่จะหยิบออกมาเพิ่มอีกเป็นสองเม็ด และกินไปรวดเดียวสองเม็ดทันที เพราะผมเคยทดลองกินตอนไปรอบเกาหลีแล้ว เม็ดเดียวเอาไม่อยู่ ผมเลยจำเป็นต้องใช้สองเม็ดตามคำแนะนำของเพื่อนที่เป็นหมอว่ากินๆ ไปเหอะ ไม่เป็นไรหรอก
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่