คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 12
เก่งมากค่ะ สามารถใช้เงินเดือนละ3,000บาทในชีวิตมหาวิทยาลัยได้
แถมยังมีความคิดอ่านจะตั้งใจเก็บเงินให้งอกเงยอีก เป็นเด็กที่ใฝ่ดีน่าชื่นชมมาก ^^
พี่อายุมากกว่านะ แต่ยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่เหมือนกัน
ขออนุญาตให้คำแนะนำเล็กน้อยจากประสบการณ์ของตัวเอง
ถ้าที่บ้านไม่อนุญาตให้ออกไปทำงานพิเศษเลยแต่น้องอยากให้เงินงอกเงย
นั่นก็หมายความว่าน้องจะต้องการทำเงินให้งอกเงยโดยไม่ต้องลงแรงลงเวลาในการทำงาน
และมีรายรับอยู่ทางเดียวตอนนี้คือเงินเดือนจากที่บ้าน
วิธีการที่น่าสนใจ สำหรับการเก็บเงินออมของน้องน่าจะมีดังนี้
1.หุ้น 2.กองทุนรวม 3.พันธบัตรรัฐบาล
พี่เรียงตามลำดับความเสี่ยงให้ แต่เนื่องจากหลัก high risk, high return
อะไรที่เสี่ยงมาก ผลตอบแทนก็มากตาม(โอกาสขาดทุนก็มากตามด้วย) ดังนั้นจะต้องศึกษาให้ดี
1. หุ้น อันนี้ฟังดูเหมือนน่ากลัว แต่จริงๆการเล่นหุ้นมี2แบบ คือการเล่นแบบเก็งกำไร(day trade)
กับเล่นแบบเน้นคุณค่า(Value Investment) แบบแรกอ่ะโลดโผนมากใช้หลักการซื้อถูกขายแพง
ซึ่งเป็นอะไรที่คาดเดายาก ไม่มีหลักการตายตัว เพราะราคามันขึ้นๆลงๆขึ้นกับหลายปัจจัย เงินที่เราจะได้
คือได้จากส่วนต่างของหุ้นที่เราซื้อขาย อันนี้ถ้าต้องการความมั่งคงในชีวิตก็ไม่ค่อยแนะนำเท่าไหร่
เพราะมันเสี่ยง แต่ถ้าอยากลองเล่น ลองวิเคราะห์ราคาก็ลองดู หุ้นบางตัวถ้าเราอยู่กับมันไปนานๆ
อาจจะพอเข้าใจและเดาทางได้ หรือไม่ถ้าเรารู้ข้อมูลบางอย่างที่รู้ว่าจะทำให้หุ้นขึ้นแน่ๆ ก็ลองซื้อดู
อันนี้อ่ะได้เงินเร็วมากเพราะซื้อมาขายไป // ส่วนอันที่สอง การเล่นแบบเน้นคุณค่าหรือเรียกว่า VI
พวกนี้จะซื้อหุ้นไว้แล้วกินปันผลจากหุ้น แบบนี้จะมั่นคงในระยะยาว และจะเป็นหนทางนำน้องไปสู่
อิสรภาพทางการเงินตอนโตๆซักอายุนึงได้ แค่ต้องเลือกหุ้นดีๆ(ไปศึกษาการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
แล้วเอามาประเมินหุ้นอ่ะ) แล้วถือไว้ยาวๆ กินปันผลไปเรื่อยๆ เวลาผ่านไปหุ้นบางตัวนอกจากให้ปันผลที่ดี
ต่อเนื่อง ยังอาจมีราคาสูงขึ้นจนน้องอาจตัดบางส่วนมาขายออกไปซื้อหุ้นตัวอื่นหรือเอามาทำอย่างอื่นบางก็ได้
ยังไงถ้าสนใจข้อนี้ลองไปเล่นเกมคลิกทูวินที่เป็นสนามจำลองให้เราเล่นหุ้นแบบปลอมๆดูก่อนซักระยะก็ได้
พอคิดว่าเข้าใจกลไกตลาดแล้วมาลองลงทุนในหุ้นดูก็ยังไม่สาย อีกอย่างน้องอายุบรรลุนิติภาวะแล้ว
เปิดบัญชีหุ้นได้แล้วแหล่ะ(เงินร้อยเดียวก็เล่นได้น้อง เปิดบัญชีไม่ยากอย่างที่คิด)
2.กองทุน หลักการคือเราเอาเงินไปให้คนอื่นช่วยเอาไปลงทุนแทนให้เรา
แล้วคอยรับผลตอบแทนจากการแชร์เงินให้เค้ารวมเอาไปลงทุนอ่ะค่ะ แบบนี้น่าจะอุ่นใจกว่าโซโล่ลงทุนเองหน่อย
แล้วก็ไม่ต้องคอยติดตามอะไรมาก เพราะเดี๋ยวก็มีรายงานกองทุนส่งมาให้เราอ่านเรื่องผลประกอบการเรียบร้อย
คร่าวๆ พี่ขอแบ่งกองทุนเป็น3ประเภทตามระดับความเสี่ยงแล้วกัน คือ
กองทุนเสี่ยงมากที่ลงทุนในพวกหุ้นที่ค่อนข้างโลดโผน หรืออะไรที่มันโลดโผน เสี่ยงๆ เสี่ยงได้มาก เสี่ยงเสียมากอ่ะ
กองทุนเสี่ยงปานกลางที่ลงทุนในหุ้นที่โลดโผนไม่มาก น่าจะดี แต่ก็อาจจะพลาด กลางๆระหว่างสูงกับต่ำ
กองทุนเสี่ยงต่ำที่ลงทุนในพวกพันธบัตร ตั๋วเงิน ฯลฯ ที่ชัวร์ๆว่าได้ผลตอบแทนแน่ๆ แต่อาจจะนิดเดียว
อยากลงกองทุนไหนก็ลองอ่านหนังสือชี้ชวนของเค้าก่อนว่าความเสี่ยงเค้าอยู่ระดับไหน เอาไปลงทุนอะไรบ้าง
ถ้าสนใจก็ซื้อไว้ สมัยนี้ก็มีเยอะแยะที่เปิดให้เซื้อขั้นต่ำทีละ 1,000 บาท ซื้อแล้วทิ้งๆไว้ซักปีค่อยมาดู
บางกองทุนมีปันผลให้ด้วย ก็อาจเอาปันผลมาใช้ซื้อขนมกิน555
3.พวกพันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงิน สลากออมสิน ฯลฯ
พวกนี้เสี่ยงต่ำ เพราะเวลาซื้อเค้าก็สัญญากับเรามาตั้งแต่แรกแล้วว่าจะให้ผลตอบแทนเราเท่าไหร่เมื่อเราถอน
น้องคงเคยได้ยินมาบ้าง เช่นซื้อ 10หน่วย หน่วยละ500 ทิ้งไว้อีก5ปีมาถอน ได้คืนหน่วยละ50 (500+50)
ก็จะได้ตังค์250บาท จากเงินลงทุน 5,000บาท คิดกำไรเป็น5%ของเงินต้น หรือประมาณปีละ1%
มากกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารธรรมดา(ประมาณ0.75%) เหมือนจะดีกว่าการเก็บเงินแบบมั่นคงปลอดภัยในธนาคาร
แต่ระวังว่าอาจจะมาแพ้ "อัตราเงินเฟ้อ" ทำให้เงินมีมูลค่าลดลงจนขาดทุนได้ (ปกติอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ปีละ3%)
แต่ถึงแม้จะได้ผลตอบแทนน้อย น้องก็ควรแบ่งเงินฝากในส่วนนี้ด้วยค่ะ ไม่ใช่เอาเงินไปลงในพวกความเสี่ยงสูงหมดเลย
เพราะถ้าพลาดพลั้งขึ้นมาจะไม่เหลืออะไรเลย เราต้อง balance การลงทุนของเราให้มีความเสี่ยงทุกระดับที่พอเหมาะกับวัย
หรือ "กระจายความเสี่ยง" ในการลงทุนของเราให้เหมาะสม
ทีนี้กลับมาที่โจทย์เรื่องเงินทุนของน้อง น้องอยากสร้างเงินทุนจากการออมเงินเดือนจากที่บ้านเดือนละ3,000บาท
ที่พี่อยากจะแนะนำ มีดังนี้
1.กลับมาตั้งเป้าวางแผนทางการเงินของตัวเองก่อนว่าอยากจะเก็บออมเงินได้เท่าไหร่
เช่น ถ้าน้องอยากเก็บได้ 30% ของเงินเดือน(อ้างอิงจากที่น้องพูดถึงในโพสต์)
ก็ประมาณว่าน้องมีเป้าเก็บเงินอยู่ที่ 900บาท/เดือน
*หลักการออมง่ายให้ได้ผลคือ รายรับ-เงินออม=รายจ่าย
2.คราวนี้ก็เท่ากับว่าน้องเหลือเงินสำหรับการใช้จ่ายอยู่ที่ 2,100บาทต่อเดือน
ก็มาวางแผนกันต่อว่า 2,100บาทนี้ จะใช้จ่ายเท่าไหร่ยังไงให้เพียงพอต่อการใช้ชีวิตใน 1เดือน
โดยแผนการใช้จ่ายของน้องต้องแยกหมวดหมู่ให้ชัดเจนด้วยนะคะ แยกให้เหมาะต่อการใช้ของตัวเอง
เช่นของพี่จะแบ่งหมวดไว้อย่างนี้ (ของน้องอาจแตกต่างออกไป พี่ว่า style การใช้ชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน)
-ค่าอาหาร
-ค่าโทรศัพท์
-ค่าเดินทาง
-ค่าอุปโภค พวกสบู่ ยาสีฟัน ฯลฯ
-ค่าใช้จ่ายมหาวิทยาลัย พวกหนังสือ ชีทเรียน สมุด ปากกา
-ค่าพักผ่อนเที่ยวเล่น อาจจะไปดูหนัง เล่นเกม อะไรไร้สาระบ้าง แต่จริงๆในเน็ตก็หาอะไรเล่นฟรีได้เยอะนะ
-ค่าความรู้เสริม แบ่งเงินบางส่วนมาหาอะไรทำที่เป็นการพัฒนาตัวเองบ้างเพราะการลงทุนในตัวเองสำคัญมาก
-ค่าใช้จ่ายพิเศษ คือค่าใช้จ่ายที่อยู่ๆต้องจ่ายขึ้นมา เช่น ของขวัญวันเกิด กิจกรรม ฯลฯ
ตรงนี้เวลาเราวางแผน ให้ลองใส่วิธีการประหยัดที่สร้างสรรค์ขึ้นมาเองเข้ามาลองใช้ดูด้วยจะสนุกมาก
เช่น ปั่นจักรยานแทนการนั่งรถแท็กซี่ ถ่ายรูปชีทหรือหนังสือเพื่อนกลับมาอ่านแทนการเสียเงินซีรอกซ์
ทำสมุดจดใช้เอง ใช้wifiมหาวิทยาลัยแทนซื้อ3Gหรือคุยไลน์กับทางบ้านผ่านwifiฟรีแทนการโทร ฯลฯ
เหมือนจะเงินน้อยอยู่ยาก แต่ความจริงถ้าเราพยายามคิดหาทาง มันก็มีหนทางให้ใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข
กับเงินเท่านี้นะคะ เคยเห็นนิสิตหลายคนใช้เงินเดือนละไม่เกินสองพันบาทก็เยอะแยะ
สมัยก่อนพี่ก็เคยลองประหยัดมากๆจนใช้เงินอยู่แค่หลักร้อยต่อเดือนเลยก็มี คือถ้าตั้งใจหา หนทางย่อมมองเห็นแหล่ะ
3.จากนั้นลองเริ่มที่เดือนนี้ดูเป็นเดือนแรกก็ได้ บันทึกรายรับรายจ่ายของตัวเองแบบละเอียดว่าใช้อะไรไปบ้าง
(สมัยนี้มี app ดีๆช่วยเยอะมาก ถ้ายังไม่รู้จะเลือกอะไรก็ลอง Daily money หรือ Money manager ก็ดีค่ะ)
พยายามอย่าให้หลุดจากที่เราตั้งเป้าไว้ สิ้นเดือนก็เอามาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงการใช้จ่ายของตัวเองต่อไป
ซัก 2-3 เดือน ระบบการใช้จ่ายเงินของตัวเองน่าจะโอเค
โดยระหว่างการตามบันทึก น้องอาจจะใส่ลูกเล่นการเก็บเงินเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มความสนุกสนานให้กับชีวิต เช่น
-เก็บแบงค์ห้าสิบ (อย่างที่น้องเสนอมานั่นแหล่ะ พี่ว่าอันนี้workนะ พี่เองชอบเหมือนกัน ^^)
-เทเหรียญที่ได้มาแต่ละวันลงกระปุกให้หมด (อันนี้ก็สนุก แต่ดูจากจำนวนเงินต้นของน้องแล้ว กลัวจะลำบาก)
-ทุกค่าใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย เช่น ขนม เสื้อผ้า ฯลฯ ที่จ่ายไป ให้รับผิดชอบตัวเองด้วยการหักเงินอีกส่วนจำนวนเท่ากัน
หรือเป็นกี่ % ของเงินจำนวนนั้นก็ว่าไปมาใส่กระปุกเอาไว้ จะได้พยายามไม่ฟุ่มเฟือยบ่อยๆ
-หรือวิธีอื่นๆ ตามแต่น้องเห็นสมควร
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
คราวนี้พอจัดการเงินออมเรียบร้อย น้องก็จะมีเงินสำหรับการลงทุนสม่ำเสมอเดือนละ 900 บาท
1 ปีผ่านไปก็เท่ากับมีเงินมาลงทุนทั้งหมด 10,800 บาท ซึ่งก็ไม่น้อยนะ
บวกกับผลตอบแทนที่อาจจะได้(หรือการขาดทุนที่อาจจะเกิดขึ้น)อีกปีละราวๆ 3-10% หรือประมาณ 300-1,000บาท (ลองกะๆเอาเฉยๆนะ)
พี่ว่าคุ้มค่ากับสิ่งที่น้องจะได้มากเลยนะ ซึ่งไม่ได้หมายถึงตรงตัวเงิน แต่หมายถึงสิ่งที่ได้จาก
"การเรียนรู้ด้านการบริหารค่าใช้จ่ายของตัวเองให้ดี" ซึ่งตรงนี้มันจะกลายเป็นความรู้ที่เป็นประโยชน์
ต่อการบริหารชีวิตของน้องให้ดีต่อไปในอนาคตได้อย่างแน่นอน
(เสนอเพิ่มเติม)แต่ก่อนจะเริ่มต้นเอาเงินนี้ไปออมในพวกการลงทุนที่พี่แนะนำ หรือการลงทุนอื่นที่น้องสนใจ
พี่อยากแนะนำให้น้องเอาเงินไป "ซื้อหุ้นสหกรณ์ออมทรัพย์ของมหาวิทยาลัย" ที่น้องเรียนอยู่เต็มจำนวนก่อนค่ะ
ปกติแต่ละมหาวิทยาลัยจะมีสหกรณ์ของมหาวิทยาลัยที่จะเปิดโอกาสให้นิสิตได้มาซื้อหุ้น
ประมาณหุ้นละ 10-20บาท ซื้อได้สูงสุดคนละประมาณ 100 หุ้น หรือประมาณ 2,000บาท
(*แนะนำให้ซื้อเต็มจำนวนไปเลย เพราะนอกจากเงินต้นจะไม่หายไปไหนแน่ๆ ยิ่งซื้อมากยิ่งทวีคูณของดอกเบี้ยมาก)
น้องเอาเงินมาเริ่มลงทุนตรงนี้ก่อนจะดีค่ะ เพราะน้องอยู่หอป่ะ ซื้อของอะไรก็คงมีโอกาสได้มาซื้อของที่สหกรณ์เป็นประจำ
ทุกๆสิ้นปีปันผล สหกรณ์จะคืนเงินให้ประมาณ1-5%ของยอดซื้อของของเราขึ้นกับผลประกอบการของปีนั้นๆค่ะ
ดังนั้นน้องจะได้เงินที่น้องจ่ายไปอย่างประหยัดนั้นคืนมาทุกปีซึ่งถือว่าคุ้มค่ามาก เป็นการช่วยลดรายจ่ายทางอ้อมอีกทาง
ตอนแรกว่าจะแนะนำสั้นๆ แต่ไปมาเขียนซะยาวเลย ถ้าทำน้องเหนื่อยกับการอ่านก็ขอโทษทีนะคะ
แต่ถ้าเป็นประโยชน์ยังไง เอาไว้วันนึงที่น้องเทพๆเรื่องการบริหารการเงินของตัวเองให้ดี
อย่าลืมแนะนำคนอื่นให้มีทักษะทางด้านนี้ติดตัวต่อไปด้วยนะคะ
สู้ๆนะน้อง พี่เป็นกำลังใจให้
ตอนนี้คงซิ่งมาเรียนคณะที่อยากเรียนได้สำเร็จแล้ว ไหนๆก็จะตามใจครอบครัวว่าจะไม่ทำงานพิเศษเพื่อมุ่งเรียนอย่างเดียว
ก็ขอให้ทำตรงนี้ให้ดี เรียนดีมากๆจนได้เกียรตินิยมไปเลยนะ ^ ^
แถมยังมีความคิดอ่านจะตั้งใจเก็บเงินให้งอกเงยอีก เป็นเด็กที่ใฝ่ดีน่าชื่นชมมาก ^^
พี่อายุมากกว่านะ แต่ยังเรียนมหาวิทยาลัยอยู่เหมือนกัน
ขออนุญาตให้คำแนะนำเล็กน้อยจากประสบการณ์ของตัวเอง
ถ้าที่บ้านไม่อนุญาตให้ออกไปทำงานพิเศษเลยแต่น้องอยากให้เงินงอกเงย
นั่นก็หมายความว่าน้องจะต้องการทำเงินให้งอกเงยโดยไม่ต้องลงแรงลงเวลาในการทำงาน
และมีรายรับอยู่ทางเดียวตอนนี้คือเงินเดือนจากที่บ้าน
วิธีการที่น่าสนใจ สำหรับการเก็บเงินออมของน้องน่าจะมีดังนี้
1.หุ้น 2.กองทุนรวม 3.พันธบัตรรัฐบาล
พี่เรียงตามลำดับความเสี่ยงให้ แต่เนื่องจากหลัก high risk, high return
อะไรที่เสี่ยงมาก ผลตอบแทนก็มากตาม(โอกาสขาดทุนก็มากตามด้วย) ดังนั้นจะต้องศึกษาให้ดี
1. หุ้น อันนี้ฟังดูเหมือนน่ากลัว แต่จริงๆการเล่นหุ้นมี2แบบ คือการเล่นแบบเก็งกำไร(day trade)
กับเล่นแบบเน้นคุณค่า(Value Investment) แบบแรกอ่ะโลดโผนมากใช้หลักการซื้อถูกขายแพง
ซึ่งเป็นอะไรที่คาดเดายาก ไม่มีหลักการตายตัว เพราะราคามันขึ้นๆลงๆขึ้นกับหลายปัจจัย เงินที่เราจะได้
คือได้จากส่วนต่างของหุ้นที่เราซื้อขาย อันนี้ถ้าต้องการความมั่งคงในชีวิตก็ไม่ค่อยแนะนำเท่าไหร่
เพราะมันเสี่ยง แต่ถ้าอยากลองเล่น ลองวิเคราะห์ราคาก็ลองดู หุ้นบางตัวถ้าเราอยู่กับมันไปนานๆ
อาจจะพอเข้าใจและเดาทางได้ หรือไม่ถ้าเรารู้ข้อมูลบางอย่างที่รู้ว่าจะทำให้หุ้นขึ้นแน่ๆ ก็ลองซื้อดู
อันนี้อ่ะได้เงินเร็วมากเพราะซื้อมาขายไป // ส่วนอันที่สอง การเล่นแบบเน้นคุณค่าหรือเรียกว่า VI
พวกนี้จะซื้อหุ้นไว้แล้วกินปันผลจากหุ้น แบบนี้จะมั่นคงในระยะยาว และจะเป็นหนทางนำน้องไปสู่
อิสรภาพทางการเงินตอนโตๆซักอายุนึงได้ แค่ต้องเลือกหุ้นดีๆ(ไปศึกษาการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน
แล้วเอามาประเมินหุ้นอ่ะ) แล้วถือไว้ยาวๆ กินปันผลไปเรื่อยๆ เวลาผ่านไปหุ้นบางตัวนอกจากให้ปันผลที่ดี
ต่อเนื่อง ยังอาจมีราคาสูงขึ้นจนน้องอาจตัดบางส่วนมาขายออกไปซื้อหุ้นตัวอื่นหรือเอามาทำอย่างอื่นบางก็ได้
ยังไงถ้าสนใจข้อนี้ลองไปเล่นเกมคลิกทูวินที่เป็นสนามจำลองให้เราเล่นหุ้นแบบปลอมๆดูก่อนซักระยะก็ได้
พอคิดว่าเข้าใจกลไกตลาดแล้วมาลองลงทุนในหุ้นดูก็ยังไม่สาย อีกอย่างน้องอายุบรรลุนิติภาวะแล้ว
เปิดบัญชีหุ้นได้แล้วแหล่ะ(เงินร้อยเดียวก็เล่นได้น้อง เปิดบัญชีไม่ยากอย่างที่คิด)
2.กองทุน หลักการคือเราเอาเงินไปให้คนอื่นช่วยเอาไปลงทุนแทนให้เรา
แล้วคอยรับผลตอบแทนจากการแชร์เงินให้เค้ารวมเอาไปลงทุนอ่ะค่ะ แบบนี้น่าจะอุ่นใจกว่าโซโล่ลงทุนเองหน่อย
แล้วก็ไม่ต้องคอยติดตามอะไรมาก เพราะเดี๋ยวก็มีรายงานกองทุนส่งมาให้เราอ่านเรื่องผลประกอบการเรียบร้อย
คร่าวๆ พี่ขอแบ่งกองทุนเป็น3ประเภทตามระดับความเสี่ยงแล้วกัน คือ
กองทุนเสี่ยงมากที่ลงทุนในพวกหุ้นที่ค่อนข้างโลดโผน หรืออะไรที่มันโลดโผน เสี่ยงๆ เสี่ยงได้มาก เสี่ยงเสียมากอ่ะ
กองทุนเสี่ยงปานกลางที่ลงทุนในหุ้นที่โลดโผนไม่มาก น่าจะดี แต่ก็อาจจะพลาด กลางๆระหว่างสูงกับต่ำ
กองทุนเสี่ยงต่ำที่ลงทุนในพวกพันธบัตร ตั๋วเงิน ฯลฯ ที่ชัวร์ๆว่าได้ผลตอบแทนแน่ๆ แต่อาจจะนิดเดียว
อยากลงกองทุนไหนก็ลองอ่านหนังสือชี้ชวนของเค้าก่อนว่าความเสี่ยงเค้าอยู่ระดับไหน เอาไปลงทุนอะไรบ้าง
ถ้าสนใจก็ซื้อไว้ สมัยนี้ก็มีเยอะแยะที่เปิดให้เซื้อขั้นต่ำทีละ 1,000 บาท ซื้อแล้วทิ้งๆไว้ซักปีค่อยมาดู
บางกองทุนมีปันผลให้ด้วย ก็อาจเอาปันผลมาใช้ซื้อขนมกิน555
3.พวกพันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงิน สลากออมสิน ฯลฯ
พวกนี้เสี่ยงต่ำ เพราะเวลาซื้อเค้าก็สัญญากับเรามาตั้งแต่แรกแล้วว่าจะให้ผลตอบแทนเราเท่าไหร่เมื่อเราถอน
น้องคงเคยได้ยินมาบ้าง เช่นซื้อ 10หน่วย หน่วยละ500 ทิ้งไว้อีก5ปีมาถอน ได้คืนหน่วยละ50 (500+50)
ก็จะได้ตังค์250บาท จากเงินลงทุน 5,000บาท คิดกำไรเป็น5%ของเงินต้น หรือประมาณปีละ1%
มากกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารธรรมดา(ประมาณ0.75%) เหมือนจะดีกว่าการเก็บเงินแบบมั่นคงปลอดภัยในธนาคาร
แต่ระวังว่าอาจจะมาแพ้ "อัตราเงินเฟ้อ" ทำให้เงินมีมูลค่าลดลงจนขาดทุนได้ (ปกติอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ปีละ3%)
แต่ถึงแม้จะได้ผลตอบแทนน้อย น้องก็ควรแบ่งเงินฝากในส่วนนี้ด้วยค่ะ ไม่ใช่เอาเงินไปลงในพวกความเสี่ยงสูงหมดเลย
เพราะถ้าพลาดพลั้งขึ้นมาจะไม่เหลืออะไรเลย เราต้อง balance การลงทุนของเราให้มีความเสี่ยงทุกระดับที่พอเหมาะกับวัย
หรือ "กระจายความเสี่ยง" ในการลงทุนของเราให้เหมาะสม
ทีนี้กลับมาที่โจทย์เรื่องเงินทุนของน้อง น้องอยากสร้างเงินทุนจากการออมเงินเดือนจากที่บ้านเดือนละ3,000บาท
ที่พี่อยากจะแนะนำ มีดังนี้
1.กลับมาตั้งเป้าวางแผนทางการเงินของตัวเองก่อนว่าอยากจะเก็บออมเงินได้เท่าไหร่
เช่น ถ้าน้องอยากเก็บได้ 30% ของเงินเดือน(อ้างอิงจากที่น้องพูดถึงในโพสต์)
ก็ประมาณว่าน้องมีเป้าเก็บเงินอยู่ที่ 900บาท/เดือน
*หลักการออมง่ายให้ได้ผลคือ รายรับ-เงินออม=รายจ่าย
2.คราวนี้ก็เท่ากับว่าน้องเหลือเงินสำหรับการใช้จ่ายอยู่ที่ 2,100บาทต่อเดือน
ก็มาวางแผนกันต่อว่า 2,100บาทนี้ จะใช้จ่ายเท่าไหร่ยังไงให้เพียงพอต่อการใช้ชีวิตใน 1เดือน
โดยแผนการใช้จ่ายของน้องต้องแยกหมวดหมู่ให้ชัดเจนด้วยนะคะ แยกให้เหมาะต่อการใช้ของตัวเอง
เช่นของพี่จะแบ่งหมวดไว้อย่างนี้ (ของน้องอาจแตกต่างออกไป พี่ว่า style การใช้ชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน)
-ค่าอาหาร
-ค่าโทรศัพท์
-ค่าเดินทาง
-ค่าอุปโภค พวกสบู่ ยาสีฟัน ฯลฯ
-ค่าใช้จ่ายมหาวิทยาลัย พวกหนังสือ ชีทเรียน สมุด ปากกา
-ค่าพักผ่อนเที่ยวเล่น อาจจะไปดูหนัง เล่นเกม อะไรไร้สาระบ้าง แต่จริงๆในเน็ตก็หาอะไรเล่นฟรีได้เยอะนะ
-ค่าความรู้เสริม แบ่งเงินบางส่วนมาหาอะไรทำที่เป็นการพัฒนาตัวเองบ้างเพราะการลงทุนในตัวเองสำคัญมาก
-ค่าใช้จ่ายพิเศษ คือค่าใช้จ่ายที่อยู่ๆต้องจ่ายขึ้นมา เช่น ของขวัญวันเกิด กิจกรรม ฯลฯ
ตรงนี้เวลาเราวางแผน ให้ลองใส่วิธีการประหยัดที่สร้างสรรค์ขึ้นมาเองเข้ามาลองใช้ดูด้วยจะสนุกมาก
เช่น ปั่นจักรยานแทนการนั่งรถแท็กซี่ ถ่ายรูปชีทหรือหนังสือเพื่อนกลับมาอ่านแทนการเสียเงินซีรอกซ์
ทำสมุดจดใช้เอง ใช้wifiมหาวิทยาลัยแทนซื้อ3Gหรือคุยไลน์กับทางบ้านผ่านwifiฟรีแทนการโทร ฯลฯ
เหมือนจะเงินน้อยอยู่ยาก แต่ความจริงถ้าเราพยายามคิดหาทาง มันก็มีหนทางให้ใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข
กับเงินเท่านี้นะคะ เคยเห็นนิสิตหลายคนใช้เงินเดือนละไม่เกินสองพันบาทก็เยอะแยะ
สมัยก่อนพี่ก็เคยลองประหยัดมากๆจนใช้เงินอยู่แค่หลักร้อยต่อเดือนเลยก็มี คือถ้าตั้งใจหา หนทางย่อมมองเห็นแหล่ะ
3.จากนั้นลองเริ่มที่เดือนนี้ดูเป็นเดือนแรกก็ได้ บันทึกรายรับรายจ่ายของตัวเองแบบละเอียดว่าใช้อะไรไปบ้าง
(สมัยนี้มี app ดีๆช่วยเยอะมาก ถ้ายังไม่รู้จะเลือกอะไรก็ลอง Daily money หรือ Money manager ก็ดีค่ะ)
พยายามอย่าให้หลุดจากที่เราตั้งเป้าไว้ สิ้นเดือนก็เอามาวิเคราะห์เพื่อปรับปรุงการใช้จ่ายของตัวเองต่อไป
ซัก 2-3 เดือน ระบบการใช้จ่ายเงินของตัวเองน่าจะโอเค
โดยระหว่างการตามบันทึก น้องอาจจะใส่ลูกเล่นการเก็บเงินเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มความสนุกสนานให้กับชีวิต เช่น
-เก็บแบงค์ห้าสิบ (อย่างที่น้องเสนอมานั่นแหล่ะ พี่ว่าอันนี้workนะ พี่เองชอบเหมือนกัน ^^)
-เทเหรียญที่ได้มาแต่ละวันลงกระปุกให้หมด (อันนี้ก็สนุก แต่ดูจากจำนวนเงินต้นของน้องแล้ว กลัวจะลำบาก)
-ทุกค่าใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย เช่น ขนม เสื้อผ้า ฯลฯ ที่จ่ายไป ให้รับผิดชอบตัวเองด้วยการหักเงินอีกส่วนจำนวนเท่ากัน
หรือเป็นกี่ % ของเงินจำนวนนั้นก็ว่าไปมาใส่กระปุกเอาไว้ จะได้พยายามไม่ฟุ่มเฟือยบ่อยๆ
-หรือวิธีอื่นๆ ตามแต่น้องเห็นสมควร
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
คราวนี้พอจัดการเงินออมเรียบร้อย น้องก็จะมีเงินสำหรับการลงทุนสม่ำเสมอเดือนละ 900 บาท
1 ปีผ่านไปก็เท่ากับมีเงินมาลงทุนทั้งหมด 10,800 บาท ซึ่งก็ไม่น้อยนะ
บวกกับผลตอบแทนที่อาจจะได้(หรือการขาดทุนที่อาจจะเกิดขึ้น)อีกปีละราวๆ 3-10% หรือประมาณ 300-1,000บาท (ลองกะๆเอาเฉยๆนะ)
พี่ว่าคุ้มค่ากับสิ่งที่น้องจะได้มากเลยนะ ซึ่งไม่ได้หมายถึงตรงตัวเงิน แต่หมายถึงสิ่งที่ได้จาก
"การเรียนรู้ด้านการบริหารค่าใช้จ่ายของตัวเองให้ดี" ซึ่งตรงนี้มันจะกลายเป็นความรู้ที่เป็นประโยชน์
ต่อการบริหารชีวิตของน้องให้ดีต่อไปในอนาคตได้อย่างแน่นอน
(เสนอเพิ่มเติม)แต่ก่อนจะเริ่มต้นเอาเงินนี้ไปออมในพวกการลงทุนที่พี่แนะนำ หรือการลงทุนอื่นที่น้องสนใจ
พี่อยากแนะนำให้น้องเอาเงินไป "ซื้อหุ้นสหกรณ์ออมทรัพย์ของมหาวิทยาลัย" ที่น้องเรียนอยู่เต็มจำนวนก่อนค่ะ
ปกติแต่ละมหาวิทยาลัยจะมีสหกรณ์ของมหาวิทยาลัยที่จะเปิดโอกาสให้นิสิตได้มาซื้อหุ้น
ประมาณหุ้นละ 10-20บาท ซื้อได้สูงสุดคนละประมาณ 100 หุ้น หรือประมาณ 2,000บาท
(*แนะนำให้ซื้อเต็มจำนวนไปเลย เพราะนอกจากเงินต้นจะไม่หายไปไหนแน่ๆ ยิ่งซื้อมากยิ่งทวีคูณของดอกเบี้ยมาก)
น้องเอาเงินมาเริ่มลงทุนตรงนี้ก่อนจะดีค่ะ เพราะน้องอยู่หอป่ะ ซื้อของอะไรก็คงมีโอกาสได้มาซื้อของที่สหกรณ์เป็นประจำ
ทุกๆสิ้นปีปันผล สหกรณ์จะคืนเงินให้ประมาณ1-5%ของยอดซื้อของของเราขึ้นกับผลประกอบการของปีนั้นๆค่ะ
ดังนั้นน้องจะได้เงินที่น้องจ่ายไปอย่างประหยัดนั้นคืนมาทุกปีซึ่งถือว่าคุ้มค่ามาก เป็นการช่วยลดรายจ่ายทางอ้อมอีกทาง
ตอนแรกว่าจะแนะนำสั้นๆ แต่ไปมาเขียนซะยาวเลย ถ้าทำน้องเหนื่อยกับการอ่านก็ขอโทษทีนะคะ
แต่ถ้าเป็นประโยชน์ยังไง เอาไว้วันนึงที่น้องเทพๆเรื่องการบริหารการเงินของตัวเองให้ดี
อย่าลืมแนะนำคนอื่นให้มีทักษะทางด้านนี้ติดตัวต่อไปด้วยนะคะ
สู้ๆนะน้อง พี่เป็นกำลังใจให้
ตอนนี้คงซิ่งมาเรียนคณะที่อยากเรียนได้สำเร็จแล้ว ไหนๆก็จะตามใจครอบครัวว่าจะไม่ทำงานพิเศษเพื่อมุ่งเรียนอย่างเดียว
ก็ขอให้ทำตรงนี้ให้ดี เรียนดีมากๆจนได้เกียรตินิยมไปเลยนะ ^ ^
แสดงความคิดเห็น
จะเก็บเงินยังไงดีคะ สำหรับนศ.ที่ครอบครัวให้เรียนอย่างเดียว ไม่ให้ทำงานเสริมเลย
ทำให้โอกาสในการทำงานหาเงินเองไกลออกไปอีก เดือนๆนึงดิฉันได้เงินจากพ่อแม่ 3,000 บาท/เดือน
ไม่นับค่าหอ ค่าเทอมนะคะ อันนั้นพ่อแม่จ่ายให้อยู่แล้ว ทีนี้ดิฉันเคยมีเงินเก็บมากสุดในชีวิต 2 หมื่นบาทค่ะ
แต่มาพังทะลาย(สะกดผิดขออภัยนะคะ) เพราะไปบ้าแบรนด์ ATB / LB ประเด็นคือซื้อมาจะเอามาขายต่อ
ให้ได้กำไร 100-200 ก็ยังดี ไปๆมาๆ ขายไม่ออก เงิน 2 หมื่นก็หมด เพราะพอขายได้ก็เอามาซื้อใหม่ วนแบบนี้ไปเรื่อย
อยากทำงานค่ะ แต่ส่วนตัวไม่มีความสามารถพิเศษอะไร เลยขอครอบครัวทำงานไปด้วย แต่ก็ถูกดุมา
จึงอยากเรียนขอไอเดียในการเก็บเงินใหม่ ที่เคยใช้แล้วได้ผล คือ
1) เก็บแบงค์ 50 แต่ใช้เวลาหน่อยกว่าจะได้พันนึง
2) หัก 30% ของ 3,000 จากพ่อแม่ ... ก็ยังช้าอยู่ดี
หรือคุณมีแนวทางหารายได้เสริมเพิ่มเติมจากไหนบ้างไหมคะ
เคยอ่านกระทู้ของคุณที่เขาขอทำงานในมหาวิทยาลัย แต่ของม.ดิฉันไม่มี
รบกวนอีกอย่างนะคะ ถ้ามีเงินพอควรแล้วจะให้งอกเงยนี่ไปซื้อฉลากออมสิน หรือลงกองทุนอะไรดี
ปล. เคยเข้าร่วมโครงการนักลงทุนรุ่นใหม่ NIPS ของ SET ชึ่งดิฉันไม่รู้เรื่องเลยค่ะ ไปกินฟรีอย่างเดียว 555
** ขอ tag ห้องเครื่องแป้ง เพราะดิฉันล้มละลายกับเสื้อผ้า 555 อยากรู้คุณผู้หญิงแบ่งเงินยังไงคะ