ความคล้ายคลึงกันระหว่าง ทีมชาติเยอรมันชุดแชมป์โลก 2014 กับ ทีมชาติไทยชุดแชมป์ซูซูกิ คัพ 2014

เคยอ่านในห้องนี้ก่อนหน้านี้ไม่นานเราเห็นกระทู้ที่บอกว่าทีมไทยชุดแชมป์ซูซูกิคัพปีนี้มีความคล้ายคลึงกับทีมชาติเยอรมันชุดแชมป์โลก http://pantip.com/topic/33039968

เราเองก็เห็นด้วยนะว่ามีหลายจุดที่ทีมชาติไทยชุดซูซูกิคัพปีนี้มีความคล้ายคลึงกับทีมชาติเยอรมันชุดแชมป์โลกปีล่าสุดค่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้นเราไม่ได้บอกว่าเราเก่งเท่าเค้า ดีเท่าเค้านะคะ แค่เอามาเทียบให้ดูกับปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นที่คนทั่วไปได้เห็น และเป็นสิ่งที่ดีงามที่ควรจะเกิด ควรจะมีขึ้นในวงการฟุตบอลไทยค่ะ

แชมป์ที่รอ 24 ปีของเยอรมัน vs 12 ปีของไทยแลนด์

อย่างที่รู้กัน เยอรมันได้แชมป์โลกครั้งสุดท้ายเมื่อปี 1990 (ปีเดียวกับที่กวินทร์ ธรรมสัจจานันท์และ Toni Kroos ลืมตาดูโลก) หลังจากนั้นก็ทำผลงานได้ดีมาตลอด แต่จนแล้วจนรอดก็วืดถ้วยแชมป์ไปซะทุกครั้ง มาคราวนี้หลังการคุมทีมชาติมาเป็นปีที่ 8 ของโยอาคิม เลิฟ ทีมอินทรีเหล็กคว้าแชมป์ครั้งประวัติศาสตร์ โดยถือเป็นทัวร์นาเมนต์พิเศษสุดๆของทีมชาติเยอรมันก็ว่าได้ เพราะนอกจากจะเป็นแชมป์สมัยที่ 4 ที่รอมานาน ครั้งนี้ยังเป็นครั้งแรกที่ทีมจากยุโรปสามารถคว้าแชมป์ได้บนแผ่นดินอเมริกาใต้ ยังไม่พอ Miroslav Klose ยังคว้าตำแหน่งดาวซัลโวสูงสุดตลอดกาลได้จากเวิร์ลคัพครั้งนี้อีกด้วย

ส่วนทีมชาติไทย หลังจากห่างหายการคว้าแชมป์รายการนี้ถึง 12 ปี ก็กลับมาทวงแชมป์อีกครั้งและทำให้เป็นการคว้าแชมป์สมัยที่ 4 ที่รอคอยมานาน เป็นการคว้าแชมป์ที่พิเศษสุดๆเหมือนกันโดยเป็นการได้แชมป์ครั้งแรกหลังจากที่รายการนี้เปลี่ยนชื่อผู้สนับสนุน (มีบางคนบอกว่าชื่อรายการที่เปลี่ยนไปทำให้ไทยไม่เคยได้แชมป์ซะงั้น) นอกจากนี้แล้วยังมีสถิติมากมายไม่ว่าจะเป็นการคว้าแชมป์ครั้งแรกทั้งในฐานะผู้เล่นและโค้ชของโค้ชซิโก้ สถิติของนักเตะแต่ละคนก็สวยหรู เช่น ประกิต ดีพร้อม ที่สามารถทำ assist สูงสุดของทัวร์นาเมนต์ สารัช อยู่เย็นที่ทำสถิติผ่านบอลสูงสุด ธนบูรณ์ ที่เคลียร์บอลสูงสุด และ กวินทร์ที่เซฟสูงสุด ยังไม่นับรวมสไตล์การเล่นที่สวยงาม และฟุตบอลแบบใสสะอาดไม่มีการตุกติก

ใช้ผู้เล่นพลังหนุ่มผสานผู้เล่นตัวเก๋า

หากเราดูผู้เล่นที่ผสมผสานกันในทีมชุดแชมป์โลก 2014 จะเห็นได้ชัดว่ามีผู้เล่นที่ถือว่าเป็นตัวเด็กอยู่เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น Toni Kroos ที่อายุเพียง 24 ปี Thomas Müller ที่อายุ 25 ปี ไปจนถึง Mario Götze ที่อายุเพียง 22 ปี ที่น่าทึ่งคือกองหลังตัวหลักของทีมอย่าง Benedikt Höwedes ที่ได้ลงเล่นทั้ง 7 เกมแบบเต็มเวลามีอายุเพียง 26 ปีเท่านั้น แต่ถึงแม้ทีมนี้จะประกอบไปด้วยนักเตะรุ่นหนุ่มแต่ก็ได้รุ่นใหญ่มาประคองทีมไว้ ที่เห็นได้ชัดคือการมีอยู่ของ Schweinsteiger, Lahm, Matersacker รวมทั้งการที่เลิฟยังคงไว้ใจหนีบเอา Miroslav Klose ไปด้วย ทั้งๆที่เขามีอายุถึง 36 ปีแล้ว
สำหรับรายละเอียดของตัวผู้เล่นทีมชาติเยอรมันชุดแชมป์โลก 2014 อ่านเพิ่มได้จากกระทู้นี้ของคุณ Hermy http://pantip.com/topic/32186269

เช่นเดียวกับทีมชาติไทย อายุเฉลี่ยของทีมชาติเราคือ 24.18 ปีซึ่งถือว่าน้อยมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเทียบกับทีมเสือเฒ่าอย่างมาเลเซีย ก่อนหน้านี้โค้ชซิโก้ออกมาเปิดเผยว่าต้องการให้ชุดซูซูกิคัพเป็นชุดที่ดีที่สุด แม้จะมีเสียงจากแฟนฟุตบอลบางส่วนที่ต้องการให้ใช้นักเตะแบบ “ยกชุด” มาจากเอเชียนเกมส์เพราะเห็นประโยชน์จากการเล่นที่เข้าขากันมานานก็ตามที สุดท้ายเป็นนักเตะตัวเก๋า อย่างกีรติ เขียวสมบัติ, อดุลย์ หละโสะ, ชยาพัทธิ์ กิจพงศ์ศรีธาดา รวมทั้ง สมปอง สอเหลบ ที่ได้ร่วมขบวนไปกับน้องๆ และพวกเขาก็ได้พิสูจน์แล้วในการทำหน้าที่ตามที่โค้ชได้มอบหมายได้อย่างดี

เล่นด้วยกันมานาน เลยเข้าขากันได้ดี

ทีมชาติเยอรมันชุดแชมป์โลกปี 2014 นั้น มีนักเตะถึง 13 คน ที่ได้เล่นฟุตบอลโลกต่อเนื่องมาจาก World Cup 2010 ที่ แอฟริกาใต้ สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่า การเล่นเป็นทีมด้วยกันมานานน่าจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ทีมชาติเยอรมันมาประสบความสำเร็จแบบจริงจังในทัวร์นาเมนต์ฟุตบอลโลกปี 2014 นี้เอง เหมือนที่นอยเออร์เคยให้สัมภาษณ์ว่า การเล่นทีมชาตินั้นยากกว่าการเล่นให้สโมสรมาก เพราะการเล่นเป็นทัวร์นาเมนต์นั้นนักเตะมาจากต่างสโมสร ต่างสไตล์การเล่น ต้องอาศัยการปรับจูนการเล่น และทีมที่ได้เปรียบคือทีมที่ไม่ต้องใช้เวลาปรับจูนการเล่นมากนั่นเอง

เช่นกันกับทีมชาติไทยชุดนี้ที่ใช้โครงทีมเดิมตั้งแต่สมัยซีเกมส์ครั้งที่ 13 ที่พม่า เช่นชนาธิป สรงกระสินธ์ และเดอะแกงค์จากบีอีซี เทโร, ศราวุฒิ มาสุข รวมทั้งเกริกฤทธิ์ ทวีกาญจน์ ยาวมาจนถึงเอเชียนเกมส์ ความต่อเนื่องในการเล่นด้วยกันมานานน่าจะเป็นความได้เปรียบที่ทำให้การเล่นไหลลื่น การเข้าทำแบบมองตาก็รู้ใจ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเล่นฟุตบอลแบบทัวร์นาเมนต์

ทีมนี้ไม่มีซุปตาร์

จริงอยู่ที่เราได้เห็นนักเตะที่ถือว่าเป็นระดับโลกหลายคนอย่าง Phillip Lahm, Bastian Schweinsteiger หรือ Mesut özil แต่อย่าลืมว่า สองคนแรกติดทีมชาติตั้งแต่ปี ยูโร 2004 ซึ่งตอนนั้นชไวนี่เพิ่งขึ้นมาจากขุด U-21 และแน่นอนยังไม่ได้เป็นระดับโลกในตอนนั้น (ว่าแต่ชไวนี่เล่นทีมชาติมาสิบกว่าปีแล้วหรอเนี่ย สุดยอด) ทีมชาติเยอรมันชุดนี้จึงเป็นทีมที่ไม่ได้มีซุปเปอร์สตาร์ประจำทีม แต่ทุกคนเล่นกันเพื่อ”ทีม”ทั้งหมด

ส่วนทีมชาติไทยเราก็อย่างที่ทราบ พวกตัวเด็ดตัวดังแห่งไทยลีคไม่ได้ถูกเรียกตัว (ไม่รวมมุ้ยนะ เพราะเหมือนมุ้ยติดลีคที่สเปนกลับยาก) พวกที่มากันเนี่ย บางคนเป็นขาประจำม้านั่งสำรองเพราะเบียดตัวจริงไม่ได้ หลายคนขึ้นมาจากชุดเยาวชน ซึ่งก็เป็นสัญญาณที่ดีมากเพราะความสำเร็จของทีมอย่างเยอรมันทุกวันนี้ก็คือการสร้างทีมเยาวชนและการผลิตนักเตะที่ขึ้นมาชุดใหญ่ได้เรื่อยๆ ทัวร์นาเมนต์นี้ทำให้เราเห็นนักเตะฝีเท้าดีแต่สโมสรไม่ดัง อย่างประกิต ดีพร้อม ที่ถือว่าแจ้งเกิดเต็มตัวในครั้งนี้ และนั่นเองเป็นเหตุผลว่าทำไมทีมนี้จึงไม่ได้เป็นทีมรวมดาว

    โค้ชเลิฟ vs โค้ชซิโก้

นักเตะชุดแชมป์โลก 2014 นั้นให้ความเคารพและศรัทธาในโค้ชเลิฟมากที่สุด เชื่อฟังในการตัดสินใจของโค้ช โดยอาจจะมากกว่าชุดก่อนหน้านี้ที่อาจจะมีนักเตะตัวเก๋าบางคนงัดข้อกับโค้ชและไม่เชื่อฟัง ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวกันกับที่เกิดขึ้นกับทีมชาติไทยชุดแชมป์ซูซูกิคัพ นักเตะทุกคนเคารพการตัดสินใจของโค้ช เล่นฟุตบอลตามแทคติคที่โค้ชวางไว้ นอกจากนี้ซิโก้ยังถือว่าเป็นไอดอลของน้องๆนักเตะ พูดง่ายๆว่าทั้งเลิฟ และพี่โก้ “เอานักเตะตัวเองอยู่” ทั้งหมด

ความสำคัญของ Team hinter dem Team

คำว่า Team hinter dem Team (Team behind the Team) นั้นถือเป็นปรัชญาการทำทีมอีกข้อหนึ่งของทีมชาติเยอรมันที่ทำให้เราได้เห็นในการแข่งขันฟุตบอลโลกในครั้งนี้ก็ว่าได้ การจะมีทีมฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จบนสนามได้จักต้องมีทีมงานที่แข็งแกร่งคอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ทั้งดูแลการฝึกซ้อม อาหารการกิน ไปจนถึงเรื่องการดูแลร่างกายและฟิตเนส โดยทีมชาติเยอรมันให้ความสำคัญกับทีมงานเบื้องหลังนี้เป็นอย่างมาก จะมีการพูดถึงทีมงานนี้ตลอดเวลา เช่นในเว็บไซต์หลักของ DFB เอง ก็จะมี section ย่อยแนะนำทีมงานชุดนี้ หรือเช่นในช่วงแห่ถ้วยที่เบอร์ลินก็มีการเปิดตัวทีมงานเบื้องหลังแล้วให้นักเตะและสตาฟโค้ชต่อแถวขอบคุณ

เราเริ่มเห็นแนวทางแบบนี้ในยุคซิโก้ แน่นอนว่าทีมงานของเยอรมันมีขนาดใหญ่กว่ามาก แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกเลยล่ะมั้งที่ประชาชนทั่วไปรู้จักสตาฟโค้ชที่ทำงานเบื้องหลังเพราะไปออกรายการต่างๆพร้อมๆกับนักเตะ และคนเหล่านี้ก็ควรได้รับคำชื่นชมจากคนทั่วไปเหมือนๆกับที่นักเตะได้ เพราะเขาเหล่านั้นก็ทำงานหนักไม่แพ้นักเตะ ก็ได้แต่หวังว่าโค้ชซิโก้จะได้ทีมงานเก่งๆมาร่วมทีมเพิ่มอีกเรื่อยๆ

ทั้งหมดทั้งมวลนี้เป็นเหมือนมิติใหม่ที่เป็นนิมิตหมายที่ดีของการทำงานของทีมฟุตบอลทีมชาติไทย ที่เราเห็นได้จากการที่เคยเฝ้ามองความสำเร็จของทีมชาติเยอรมันจากฟุตบอลโลกครั้งล่าสุดมาก่อน แล้วก็อดไม่ได้ที่จะสะท้อนออกมาเป็นบทความนี้

คราวหน้า จะมาต่อในเรื่อง ความแตกต่างระหว่างทีมชาติเยอรมัน และทีมชาติไทยค่ะ อยากจะเจาะให้เห็นว่าการทำงานของทีมฟุตบอลอันดับ 1 ของโลกกับทีมระดับ 142 ของโลกมันต่างกันอย่างไร แล้วเราจะเอาเยี่ยงอย่างเค้าได้ตรงไหนเพื่อที่ทีมชาติเราจะได้พัฒนาไปได้ไกลกว่าที่เป็นอยู่ค่ะ

ขอบคุณที่อ่านค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่