ทำไมทีวีมักจะโฆษณาว่าเป็น Progressive Scan แต่การออกอากาศ TV Digital บ้านเราต้องเป็น Interleave scan ล่ะครับ

คือทุกทีเวลาดูโฆษณาทีวี มักจะเห็นว่าทีวีพวกนี้รองรับการแสดงผล 100Hz 200Hz ก็ว่ากันไปแถมยังเป็น Progressive scan บอกว่าให้ภาพคมชัดสมจริง
แต่การออกอากาศระบบ Digital TV บ้านเรากลับออกเป็น Interleave scan เสียอย่างงั้น เคยได้ยินมาว่าถ้าเอา Progressive มาออกอากาศภาพจะกระตุก เป็นงั้นจริงหรือเปล่าครับ แล้วทำไมเวลาดู DVD Blu-Ray หรือต่อตรงจากคอมมันก็เป็น Progressvie ทำไมมันไม่กระตุกล่ะครับ

ขอความรู้ในเรื่องนี้ด้วยครับ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
ออกอากาศโทรทัศน์ นิยมใช้ Interlaced เพราะประหยัดบิทเรตหรือปริมาณข้อมูลครับ

สมัยอนาล๊อก ทีวีจะเป็นแบบสแกนเส้น สลับไปมาตามแนวนอนตามความถี่ของไฟฟ้าในแต่ละประเทศ
บ้านเราใช้แบบ PAL 576i (720x576) ตามมาตรฐานยุโรป (ซึ่งใช้ไฟ 50Hz เหมือนเรา)
ตอนภาพเคลื่อนไหว ภาพจะถูกทอนความชัดลงครึ่งนึง แต่ที่ทอนไปคือภาพแนวตั้ง (เพราะแนวนอนมีครบ แต่สแกนแนวนอน ทำให้ภาพแนวตั้งที่มี 576เส้น ลดลงครึ่งนึง)



พอพัฒนามาเป็นดิจิตอล ทั้งการส่งผ่านภาคพื้นดิน, ดาวเทียม หรือเคเบิ้ล ก็มีการกำหนดมาตรฐานการออกอากาศโทรทัศน์เพื่อใช้ในงานดิจิตอล
เพื่อไม่ให้เกิดความยุ่งยากในมาตรฐานต่างๆ พวก 480i (720x480), 576i (720x576) ที่ใช้ในระบบอนาล๊อก จึงนำมาใช้ในระบบดิจิตอลได้ และใช้กันแพร่หลาย เพราะไม่เกิดความยุ่งยากนั่นเอง  
* แต่ก็มีความยืดหยุ่นในการเปลี่ยนแปลงความละเอียดแนวตั้ง เมื่อออกอากาศในบิทเรตที่ต่ำลงมามากๆ เช่น 544x576 ที่ใช้ในทีวีดิจิตอลอังกฤษ และช่อง SD บน True Visions (เมื่อความละเอียดสูงขึ้น ก็ต้องใช้บิทเรตที่มากขึ้นหรือการเข้ารหัสที่ดีขึ้น ไม่งั้นภาพแตกเละ)

ไม่ได้มีแต่มาตรฐานเก่าที่ได้ มาตรฐานใหม่ที่เป็น Progressive ก็มี เช่น 480p หรือ 576p ที่เป็น Progressive แท้ ไม่ซอยเฟรมหรือสลับเส้น แต่เนื่องจากใช้บิทเรตที่มากขึ้นกว่า Interlaced เกือบเท่าตัว เพราะต้องให้มีเฟรมเรตถึง 50FPS (576p) หรือ 60FPS (480i) เทียบกับ Interlaced ที่มีเฟรมเรต Progressive ที่ 25FPS (576i) หรือ 30FPS (480i) ทำให้ภาพลื่นคล้ายๆแบบ 50FPS, 60FPS ได้

แต่ถ้าตัวรายการมาแบบ Progressive โดยการทำ Deinterlaced จากสถานี ก็จะได้ภาพแบบ Progressive เลย จะลื่นก็ได้ จะนิ่งก็ดี ถึงนิยมใช้กัน เพราะมันปรับใช้สลับไปมาได้ (ต้องมาจาก Progressive แท้ด้วยนะ ถ้าแปลงหรือปรับ Interlaced ลงมา อันนี้เนียนขึ้นกว่าเดิม แต่ไม่เท่า Progressive)



มาตรฐานความละเอียดช่อง HD ที่คิดขึ้นมานี่คิดกันมานานแล้วนะครับ (สิบกว่าปีแล้ว) โดยที่ระบบส่งดิจิตอลรองรับกันก็คือ 720p กับ 1080i
เนื่องด้วย 1080 ถ้าใช้ Progressive (P) จะกินบิทเรตมากกว่า Interlaced (i) เกือบเท่าตัว ก็เลยต้องใช้เป็น Interlaced ไป
ด้วยความละเอียดสูงของมัน ตอนภาพเคลื่อนไหว เนื่องด้วย Interlaced จะทำการหารความละเอียดแนวตั้งลงครึ่งนึง เป็น 540p ก็ถือว่าไม่ค่อยน่าเกลียดเท่าไร (ในความคิดผมนะ)
แต่ 720p ใช้บิทเรตน้อยกว่า 1080i จึงใช้แบบ Progressive ที่ 50FPS หรือ 60FPS ได้ (น้อยที่ว่า ไม่ได้น้อยแบบครึ่งๆนะครับ ใช้บิทเรตประมาณ 70% ของ 1080i ตามมาตรฐานทั่วไป)

* บิทเรตมาตรฐานของทีวีดิจิตอลภาคพื้นดินในสหรัฐ
480i = MPEG2 2-4Mbps (แล้วแต่ว่าสถานีเค้ามีให้ใช้เยอะไหม ถ้าแน่นๆก็ใช้น้อย)
480p (รองรับมาตรฐาน แต่ไม่ใช้กัน เรียกว่า EDTV)
720p = MPEG2 12Mbps
1080i = MPEG2 16Mbps

* เฟรมเรตที่ใช้ในการส่งแบบดิจิตอล จะใช้ตามมาตรฐานทีวีอนาล๊อกที่ประเทศนั้นๆใช้อยู่เดิม จะไม่ทำข้ามกัน
ประเทศที่ใช้ไฟ 50Hz = 25FPS, 50FPS, 50i (บางทีก็เรียก 25i)
ประเทศที่ใช้ไฟ 60Hz = 24FPS, 30FPS (บางทีก็เรียก 29.97FPS), 60FPS (บางทีก็เรียก 59.94FPS), 60i (บางทีก็เรียก 30i)
24FPS เป็นจำนวนเฟรมหนังที่วิ่งใน 1วินาที ประเทศอย่างอเมริกา จึงบรรจุไปเป็นมาตรฐานทีวีประเทศตัวเองด้วย

* มีข้อยกเว้นประเทศนึงคือญี่ปุ่น ที่ระบบไฟมีแบบ 2ความถี่ แยกเหนือใต้ (จุดแปลงความถี่อยู่ที่จังหวัดชิซุโอกะ) แต่ระบบทีวีใช้ NTSC ตามมาตรฐานอเมริกาอยู่ที่ 60i (มีการปรับสเปคภาพเรียกว่ามาตรฐาน NTSC-J ใช้เฉพาะในญี่ปุ่น โดยการลดค่า Black level ให้เหลือ 0 IRE [ของอเมริกาตั้งที่ 7.5 IRE] หรือลดความสว่างของสีดำ เพื่อลดการเกิดภาพเทาๆนั่นเอง) แล้วญี่ปุ่นยังเป็นประเทศแรกในเอเชียที่ออกอากาศโทรทัศน์ในปี 1953 และออกอากาศภาพสีในปี 1960 (ญี่ปุ่นใช้ไฟ 100v โดยฝั่งเหนือใช้ความถี่ 50Hz ฝั่งใต้ 60Hz)
ในไทยเริ่มออกอากาศขาวดำครั้งแรกปี 1955 ตามมาตรฐาน NTSC 60i เนื่องจากไฟในสมัยนั้นเป็นแบบความถี่ 60Hz ต่อมาก็ออกอากาศภาพสีในปี 1967 โดยมาเป็นใช้ระบบ PAL 50i (PAL เริ่มก่อนที่ช่อง3 สมัยขาวดำ) ช่องอื่นๆก็เปลี่ยนตามจนครบ เพราะประเทศไทยเปลี่ยนมาใช้ไฟความถี่ 50Hz (อ่านกระทู้ Pantip สมัยก่อน บอกกันว่า PAL ออกมาทีหลังเพราะแก้จุดด้อยของ NTSC ในด้านความละเอียดและสีสันที่ดีกว่า แต่ระบบนี้พัฒนาในเยอรมัน ประเทศแถบยุโรปใช้ความถี่ 50Hz ก็เลยออกแบบมาแบบนี้ ส่วนบ้านเราสมัยใช้ไฟความถี่ 60Hz มาเป็นแบบ 110v หรือ 220v และเริ่มมาใช้ 50Hz ตอนไหน อันนี้ไม่ทราบครับ เพราะประเทศที่เป็น 220v 60Hz ก็มีเหมือนกันคือเกาหลีใต้และฟิลิปปินส์)

* เมื่อก่อนสาย HDMI เวอร์ชั่นแรกก็รองรับแค่ 1080i แผ่น Blu-Ray ยุคแรกๆก็ 1080i
แต่ปัจจุบันมีการเข้ารหัสที่ดีขึ้น อุปกรณ์รองรับแบนวิทการส่งข้อมูลมากขึ้น 1080p ก็เลยรองรับในสื่อประเภทใหม่ๆ อย่าง Blu-Ray ที่มีปริมาณความจุข้อมูลที่มากกว่า (บิทเรตถึงสูงกว่ามาก)

* สำหรับ Interlaced นั้น ถ้าภาพนิ่งๆ ก็จะถือว่าไม่มีการเคลื่อนไหว ภาพในส่วนนั้นจะได้แบบเต็มๆ ไม่โดนซอยความคมชัด
และถ้าสังเกตการ Interlaced ของภาพ จะเป็นเส้นเฉพาะจุดที่มีการเคลื่อนไหว ตรงไหนอยู่นิ่งหรือขยับน้อย จะเห็นน้อยมากหรือไม่เห็นเลย


(1080i ก็นิ่งๆเนียนๆเป็นเหมือนกัน)



(รูปบนคือ Interlaced ที่ยังไม่ได้ทำรวมเส้น จะสังเกตเห็นได้ว่าคนที่ถือแท่งไฟ จะมีเส้นเต้นอยู่ เพราะเคลื่อนไหวเร็ว แต่ตรงชื่อเพลงด้านล่างของภาพ ไม่เป็นเส้น เพราะส่วนนั้นของภาพไม่ได้ขยับอยู่   ส่วนรูปล่างคือทำ Deinterlaced แล้ว ไม่เป็นเส้น ภาพจะเป็นเนียนๆแทน แต่ก็ยังเป็นเบลอๆตามสไตล์ Interlaced [ซึ่งผมคิดว่ามันก็ไม่ได้น่ารำคาญ เพราะมันขยับเร็วมาก])

เนื่องด้วยช่องทีวีส่งมาเป็น Interlaced ทั้งนั้น ทีวีเลยออกแบบให้มีโหมด Progressive Scan เพื่อทำการรวมเส้น Interlaced ให้ซ้อนน้อยลง รวมกันก็จะเนียนๆ แต่ก็ไม่ถึงขั้น Progressive (ความเทพของการทำระบบนี้ อยู่ที่ตัวประมวลผล ซึ่งทีวีจอแบนสมัยนี้ก็มีกันหมดแล้ว)
พวกเครื่องเล่น DVD ก็มีระบบนี้มาด้วย เพราะแผ่นหนัง DVD ก็มาแบบ Interlaced กันอีกต่างหาก (แต่ไม่ซอยเฟรมนะ) มีระบบนี้จะทำให้ภาพเนียนขึ้น ไม่ดูเป็นเส้นๆ (เครื่องเล่น DVD จะแจ้งเลยว่าใช้ระบบ Progressive กับสาย AV 3สี หรือ Composite ไม่ได้ ต้องใช้กับ Component ที่มีสายภาพ 3สี มีแบนวิทภาพที่มากกว่า [ทีวีก็ต้องรองรับด้วย])

ทีวีสมัยนี้มี Progressive Scan ให้ทุกรุ่นทุยี่ห้อมาหลายปีแล้ว จอแบนที่รองรับ HD สมัยนี้ก็มีระบบนี้กันหมดแล้ว
ตอนเราดูรายการทีวี ภาพถึงไม่เป็นเส้นเต้นบนจอไงครับ เพราะทีวีจะรวมเส้นให้อยู่ด้วยกัน ภาพจะเนียนกว่าส่ง Interlaced แล้วแสดงผลดิบๆ แต่ก็ไม่เท่า Progressive แท้

ปัจจุบันเนื่องจากมีการพัฒนาความละเอียดภาพทั้งจอภาพ อุปกรณ์ต่างๆ ระบบส่งสัญญาณหรือเก็บบันทึกพัฒนาความจุและความเร็วในการเขียนข้อมูลจำนวนมาก จึงมีการกำหนดมาตรฐานใหม่ตามออกมา
- 1080p ก็มีมาตรฐานอยู่ครับ ตามมาทีหลังหน่อย ช่อง BBC HD ของอังกฤษเคยส่งอยู่ แต่ไม่ไหวครับ กินเยอะเกินก็เลยยกเลิกไป จะมีใช้บ้างกับช่องกีฬาที่ใช้เฟรมเรต 30FPS เช่น ESPN HD (อเมริกา)
- 2160p (4K) ความจุการเก็บมากขึ้น การส่งสัญญาณโทรทัศน์มีประสิทธิภาพมากขึ้น มาตรฐานนี้เลยบรรจุให้ใช้ได้ในมาตรฐานการส่งดิจิตอลรุ่นใหม่ๆ ทั้งระบบ DVB-S2 หรือ DVB-T2 (DVB-C2 ก็ด้วย แต่ยังไม่ได้เริ่มใช้ระบบนี้) มาคู่กับระบบเข้ารหัสภาพแบบ H.265 ที่ใช้บิทเรตประมาณครึ่งเดียวของ H.264 โดยจะส่งแบบ Progressive 60FPS (ข้อจำกัดด้านปริมาณข้อมูลน้อยลง และใช้เฟรมเรตสูงเพื่อไม่ให้ภาพกระตุกครับ ความละเอียดสูง ก็ต้องเคลื่อนไหวเนียนตามไปด้วย)
- 4320p (8K) อันนี้เป็นความละเอียดที่ใช้ในอนาคต พัฒนาโดยช่อง NHK ประเทศญี่ปุ่น จะเริ่มทดลองใช้จริงในปี 2017 (ปัจจุบันยังอยู่ในขั้นพัฒนา มีเอามาโชว์เทพบ้างครั้งคราว) เฟรมเรต 60FPS


(กล้อง 8K ผลิตและใช้ได้จริงตัวแรกในปี 2005 ปัจจุบันเอามาใช้ร่วมในงาน Kouhaku ของช่อง NHK ทุกปี โดยใช้เป็นกล้องหลักตรงกลาง ในรูปที่เห็นนี่คือจอ 8K ที่ทาง NHK พัฒนาอยู่ [ต้องมองใกล้ๆถึงจะเห็นความต่าง])

-------------------

สรุปตามความเข้าใจของผมตามที่หาข้อมูลมาก็คือ
ทีวีปัจจุบันนี้มีระบบ Progressive Scan ในตัวกันหมดแล้วครับ เรียกว่า Deinterlaced มันจะรวมเส้นภาพให้ดูเนียนตาคล้ายกับ Progressive (แต่ไม่เท่ากับ Progressive แท้) จะเนียนเทพขนาดไหนก็อยู่ที่ตัวประมวลผลของทีวี ถ้าดูแบบปกติไม่เพ่งจับผิด ภาพดูแล้วไม่กระตุกครับ แต่ถ้าจ้องเพ่งไปที่โลโก้แบบใกล้ๆ (เอาชนิดเห็นพิกเซลจอทีวี) ก็จะเห็นเส้นเต้นนิดๆ ซึ่งทีวีแพงๆก็อาจจะรวมเส้นได้เนียนกว่าทีวีรุ่นธรรมดาก็เป็นได้

ส่วนว่าทำไมต่อเครื่องเล่น Blu-Ray หรือต่อคอมเป็น Progressive ได้ (สาย HDMI) เพราะว่าแบนวิทในสายนั้นมีสูงมากครับ มากพอที่จะส่ง 1080p แบบดิบๆได้ (ซึ่งใช้ข้อมูลสูงกว่าแผ่น Blu-Ray เป็นร้อยเท่า เพราะเข้ารหัสสีแบบไม่ตัดเลย สีมาเต็ม)
* ที่ไฟล์วิดีโอขนาดเล็กแบบนี้ เพราะมีการตัดการเข้ารหัสสีบนภาพออกครับ ถ้ามาเต็มจะเป็น 4:2:2 แต่วิดีโอและการออกอากาศจะใช้เป็น 4:2:0 ย่อไปครึ่งนึง (ซึ่งสีที่ตัดออกพวกนั้น เป็นสีที่ตามนุษย์ทั่วไปแยกแยะไม่ออก) ประหยัดไปได้เยอะ รวมกับการเข้ารหัสภาพ ทำให้ไฟล์เล็กลงมามาก



ในแผ่น Blu-Ray สามารถจุความจุจำนวนมากได้ ประกอบกับเป็นสื่อแบบดิจิตอล จัดเก็บไฟล์แบบดิจิตอล เฟรมเรตก็ตามฟิล์ม (24FPS) จึงสามารถทำ Progressive ได้ และใส่บิทเรตสูงๆได้ (มาตรฐานมันรองรับด้วยถึงทำได้ ต่อให้ใช้ 60FPS ก็ใช้ได้ แต่ก็ต้องตั้งบิทเรต คำนวณขนาดไฟล์หนังให้พอดีกับแผ่น)

ในกล่องรับสัญญาณทีวีต่างๆ ถ้าช่องส่งมาเป็น 576i หรือ 1080i การตั้ง 1080p บนกล่อง เป็นการตั้ง Output ออกไปที่ตัวทีวี การตั้งแบบ 1080p ทำให้กล่องทำงานหนักขึ้น เพราะส่งแบนวิทภาพเข้าทีวีมากขึ้น แยกภาพไม่ออกด้วย แนะนำว่าตั้ง 1080i ก็พอครับ ให้ทีวีเค้าจัดการรวมเส้นให้เอง (แต่ถ้าใช้กล่องดูหนัง ก็แล้วแต่ความต้องการครับ)

... แหม่ จัดให้เต็มๆเลยครับ (ตรงไหนผิดแย้งได้นะครับ ทั้งหมดนี้ตามความเข้าใจของผมที่ศึกษามาแบบงูๆปลาๆ กับเล่นไฟล์ Interlaced เป็นหลัก) ...


(อันนี้เป็นโฆษณาหนัง Stand by me บนช่องทีวีแบบ HD 1080i ฉากที่ชิซุกะต่อยโนบิตะ ภาพมีการเคลื่อนไหว แต่เนื่องจากตัวโฆษณาเป็น Progressive ทางช่อง Deinterlaced มาให้แล้ว ภาพเลยเนียน ไม่เบลอ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่