เปิดแผนระดมทุนแสนล้าน ปั้นรัฐวิสาหกิจชั้นดีขายกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน
http://www.thairath.co.th/content/471860
กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ได้รับการ บรรจุเป็นแผนพัฒนาประเทศอย่างจริงจังเมื่อช่วง 3–4 ปีมานี้
หลังจากที่มีการตรวจสอบ และเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านด้วยกันที่ก้าวขึ้นมาแซงหน้าประเทศไทยไปหลายประเทศ แล้วพบว่าตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยแทบไม่ได้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นอย่างจริงจังเลย ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะในเรื่องของระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน และกิจการอันเป็นสาธารณะของประเทศ
รัฐบาลก่อนการปฏิวัติ จึงมอบหมายให้ นายกุลิศ สมบัติศิริ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) รับหน้าที่เป็นผู้ปลุกปั้น และผลักดันให้กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานสามารถเกิดขึ้นได้จริง เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ต่อสาธารณะในวงกว้าง และต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยผ่านการระดมทุนจากประชาชน และนักลงทุนทั่วไป
วิธีการดังกล่าว หากไม่ระดมทุนจากภาคส่วนต่างๆ รัฐอาจไม่สามารถดำเนินการได้เอง เนื่องเพราะต้องใช้งบประมาณค่อนข้างสูง ขณะเดียวกัน อาจสร้างหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นมากและเพื่อให้กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานประสบความสำเร็จได้โดยเร็ว
รัฐจึงกำหนดกิจการโครงสร้างพื้นฐานสำคัญๆที่ต้องดำเนินการตามลำดับขั้นไว้ 10 ประเภทด้วยกัน โดยสำนักงานกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) จะทำหน้าที่ในการพิจารณาคำขอนับแต่วันที่มีการยื่นเอกสารครบถ้วน
สำหรับกิจการที่รัฐกำหนดไว้ 10 ประเภท ได้แก่ 1.ระบบขนส่งทางราง 2.ไฟฟ้า 3.การประปา 4.การทางพิเศษ 5.ท่าอากาศยาน 6.สนามบิน 7.ท่าเรือน้ำลึก 8.โทรคมนาคม 9.ระบบบริหารจัดการน้ำ/ชลประทาน และ 10 ระบบป้องกันภัยธรรมชาติ
ในส่วนของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐนั้น แม้จะมีเอกชนขออนุมัติ ก.ล.ต.ทำคลอดโครงการรถไฟฟ้า บีทีเอส, โรงไฟฟ้าบี-กริม และโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของทรูมูฟ รวมถึง 3 BB ของ บมจ.จัสมิน แล้ว แต่ในส่วนของภาครัฐ ยังดูต้วมเตี้ยมอยู่
กระนั้นก็ตาม ทีมเศรษฐกิจ ได้รับการเปิดเผยจาก นายกุลิศ สมบัติศิริ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ว่ากองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ มูลค่า 20,000 ล้านบาท จะเป็นโครงการแรกของบรรดารัฐวิสาหกิจที่ให้บริการระบบสาธารณูปโภคที่ทำคลอดออกมาได้ ก่อนจะพิสูจน์ให้รัฐวิสาหกิจอื่นๆ ทยอยเดินตามเข้าสู่การลงทุนต่างๆอีกนับแสนล้านบาท
เสนอทางเลือกใหม่เพื่อการลงทุน
กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน เป็นทางเลือกใหม่ และเป็นอนาคตของคนในประเทศไทย เนื่องจากการพัฒนาประเทศชาติ ไม่อาจหยุดอยู่กับที่ได้ การสร้างเส้นทางรถไฟฟ้าสายใหม่ ถนนสายใหม่ที่ผู้คนสามารถใช้ระยะเวลาในการวิ่งที่น้อยลง ฯลฯ จะช่วยอำนวยความสะดวก และคุณภาพชีวิตให้แก่คนไทยใหม่ ทั้งยังสร้างบรรยากาศในการลงทุนใหม่ๆ ให้กับประเทศชาติด้วย
“การเสนอขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน จะเป็นการนำโครงการเดิมที่มีการลงทุน และก่อสร้างเสร็จแล้ว มาเสนอขายเป็นหน่วยลงทุนให้แก่ประชาชน ทำให้ความเสี่ยงของตัวโครงการที่จะไม่มีการก่อสร้างในอนาคตกลายเป็นศูนย์”
ผลจากการศึกษาของ สคร.มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่า รูปแบบของกองทุนรวมที่เสนอขายแก่ประชาชนนั้น จะต้องเป็นโครงการที่เกิดขึ้นแล้ว และต้องมีรายได้ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนแน่นอน จะไม่นำโครงการที่รัฐวิสาหกิจลงทุนไปแล้ว แต่ยังไม่มีรายได้เกิดขึ้น นำมาเสนอขายให้แก่ประชาชนอย่างเด็ดขาด เพราะโครงการในลักษณะนี้ มีความเสี่ยงทางด้านการหารายได้เพื่อนำเงินมาคืนนักลงทุน รวมถึงผลตอบแทนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก็ไม่มีความมั่นคง
“กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานของรัฐวิสาหกิจ จึงมีหลักประกันที่สามารถการันตีทางด้านรายได้และอัตราผลตอบแทนที่แน่นอน ที่สำคัญ ผลตอบแทนการลงทุนดังกล่าวจะสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของสถาบันการเงิน ขณะที่ทางด้านความเสี่ยงก็มีน้อยกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น” นายกุลิศอรรถาธิบาย
ในช่วงต้นปี 2558 หรือไม่เกินเดือน มี.ค.ปีหน้า สคร.จะร่วมกับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) เสนอขาย กองทุนรวมโครงการพื้นฐานโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ เพื่อเป็นโครงการนำร่องกองแรกของรัฐวิสาหกิจไทย เพราะมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กล่าวมา คือ 1.โรงไฟฟ้าแห่งนี้ ก่อสร้างเสร็จแล้ว และมีการทำสัญญาขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. 2.การขายไฟฟ้าดังกล่าว ทำให้โรงไฟฟ้าพระนครเหนือมีรายได้ที่แน่นอน และ 3.ทาง กฟผ.ต้องการเงินทุนก้อนใหม่ไปลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่
“คุณสมบัติที่สำคัญทั้ง 3 ประการนี้ ทำให้ สคร.ทำเรื่องขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เสนอจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรง ไฟฟ้าพระนครเหนือ มูลค่า 20,000 ล้านบาทไปแล้ว” นายกุลิศกล่าว
สำหรับอัตราผลตอบแทนของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าพระนครเหนือนั้น สคร.มีความมั่นใจสูงมากว่าจะจ่ายเงินคืนให้แก่นักลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอทุกๆ ปีทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย
เพราะ สคร.ได้ออกแบบกองทุนฯ บนพื้นฐานของกิจการที่มีความเสี่ยงต่ำมากๆ ส่วนเรื่องของอัตราผลตอบแทนนั้น กำลังอยู่ระหว่างการหารือ กับผู้จัดการกองทุนว่าจะออกแบบกองทุนฯ ให้มีอายุยาวกี่ปีถึงจะมีความเหมาะสม เช่น โรงไฟฟ้าพระนครเหนือต้องการระดมทุน 20,000 ล้านบาท อายุของกองทุนที่เหมาะสมก็ประมาณ 20 ปี
สมมติว่าประชาชนที่ลงทุนซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวม โรงไฟฟ้าพระนครเหนือได้รับผลตอบแทนปีละ 10% ในจำนวนนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ 1.การจ่ายคืนต้นเงิน (เงินทุน) ที่ 6% และ 2.จ่ายเป็นผลตอบแทน 4% เท่ากับว่าผู้ที่ถือหน่วยลงทุนจะได้รับทั้งทุนและผลตอบแทนควบคู่กันไปทุกๆปีจนครบอายุคือ 20 ปี
แต่ในปีท้ายๆ อัตราตอบแทนจะค่อยๆ ทยอยลดลงตามอายุของกองทุนฯที่ใกล้จะครบอายุ และเมื่อถือหน่วย การจ่ายอัตราผลตอบแทนของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเป็นการนำรายได้จากผลการดำเนินงานของกองทุนฯ มาคืนนักลงทุนทั้งเงินต้น และผลตอบแทนหรือที่เรียกว่า “ทั้งต้น และดอกเบี้ย” ในสัดส่วนสูงถึง 90% ของกำไรสุทธิ
ทั้งนี้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของสำนักงาน ก.ล.ต.ทุก ประการ โดยเฉพาะเรื่องของการกำหนดการจ่ายเงินปันผลนั้น กองทุนรวมต้องจ่ายให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนอย่างน้อยปีละ 1 ครั้งหรืออาจจะแบ่งจ่ายเป็นทุกรายไตรมาส (ทุกๆ 3 เดือน) ในหนึ่งปีก็สามารถทำได้
ลงทุนจนครบ 20 ปี กองทุนก็จะปิดตัวลง ในปีที่ 21 จะไม่มีการจ่ายเงินใดๆ ทั้งสิ้น เพราะตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ผู้ถือหน่วยงานได้รับเงินคืนบวกผลตอบแทนไปเรียบร้อยแล้ว
ผลตอบแทนการลงทุนในกองทุนรวม
ส่วนอัตราผลตอบแทนจะมีมากหรือน้อย นักลงทุนต้องพิจารณาปัจจัยหลัก 2 ประการคือ 1.อายุของกองทุนหากกองทุนรวมฯ มีอายุสั้นเพียง 10 ปี แน่นอนว่ากองทุนฯ จะจ่ายผลตอบแทนในอัตราที่สูงกว่ากองทุนอายุ 20 ปี 2.ผลการดำเนินการของกิจการมีความแน่นอนมากน้อยแค่ไหน
“นักลงทุนต้องพิจารณาในประเด็นต่างๆ เหล่านี้ อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจเลือกลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน” นายกุลิศตอกย้ำ
ใน กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานพระนครเหนือ นั้น จะมีรายได้สม่ำเสมอจากการขายไฟฟ้าให้ กฟผ.และสำคัญคือ มูลค่าของกองทุนรวม 20,000 ล้านบาท กฟผ.ในฐานะเจ้าของกิจการจะซื้อหน่วยลงทุนเก็บไว้ในสัดส่วนถึง 25% หรือประมาณ 5,000 ล้านบาท ซึ่งมีข้อดี 2 ประการ คือ 1.การันตีว่า กฟผ.ยังคงรับผิดชอบ และดูแลการผลิตกระแสไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพระนครเหนือในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ และ 2.ไม่มีข้อครหาในเรื่องของการแปรรูปกิจการรัฐวิสาหกิจอีกต่อไป
“นอกจากนี้ ในระหว่างทางจนกว่าจะครบ 20 ปีของอายุกองทุนรวม หากเกิดอุบัติเหตุกับโรงไฟฟ้าจนไม่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ นักลงทุนก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะ สคร.ได้สั่งให้กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานทุกกองต้องทำประกันภัยทางด้านรายได้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนว่าจะไม่มีเหตุการณ์รุนแรงจนถึงขั้นไม่จ่ายเงินคืนให้แก่นักลงทุน”
ที่ผ่านมา สคร.สำรวจความต้องการของรัฐวิสาหกิจที่ต้องการลงทุนในกิจการโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ แต่พบว่าโรงผลิตไฟฟ้าพระนครเหนือมีความพร้อมมากที่สุด เพราะโรงไฟฟ้าได้ดำเนินการก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีการเดินเครื่องเพื่อผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ.เรียบร้อยแล้ว
โรงผลิตไฟฟ้าพระนครเหนือ จึงเป็นโครงการแรกที่ สคร.นำมาเป็นโครงการนำร่องของนโยบาย “กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน” เพื่อเข้าไปทดสอบความต้องการของนักลงทุน และตลาดว่ารัฐวิสาหกิจที่จะระดมทุนด้วยการเสนอขายหน่วยลงทุน 20,000 ล้านบาทให้แก่ประชาชนจะสำเร็จหรือไม่ และขณะนี้ “กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ” ก็อยู่ระหว่างเสนอรายละเอียดต่างๆ ให้ ก.ล.ต.พิจารณา
คมนาคมระดมเงินทุนแสนล้านบาท
สคร.ยังเตรียมวางแผนที่จะออกกองทุนรวมโครงการพื้นฐาน กองใหม่ๆด้วย โดยเฉพาะโครงการที่มีศักยภาพสูงเหมือนกับโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ คาดว่า โครงการที่มีความเหมาะสม และสามารถทำคลอดในปี 2588 ได้จะมีอีก 3-4 กองทุน เพื่อระดมเงินทุนประมาณ 100,000 ล้านบาท
ทั้ง 10 กิจการรัฐวิสาหกิจอันเป็นโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของประเทศนั้น สคร.ได้หารือกับกระทรวงคมนาคมอย่างใกล้ชิด เพราะสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2.4 ล้านล้านบาท และในจำนวนนี้เป็นงบลงทุนที่มาจากกระทรวงคมนาคมมากกว่า 90% ทั้งโครงการที่เร่งด่วน และไม่เร่งด่วน สคร.จึงเข้าไปประสานงานเพื่อเรียงลำดับความสำคัญ และความพร้อมของแต่ละโครงการที่จะนำมาจัดตั้งเป็นกองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่จะออกในปี 2558
จากการสอบถามข้อมูล และพูดคุยกับรัฐวิสาหกิจในหลายหน่วยงานแล้ว พบว่ามีหลายแห่งต้องการระดมเงินทุนผ่านการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานมาก เช่น กรมการบินพลเรือน มีความต้องการจะพัฒนาสนามบินที่อยู่ในภูมิภาค เช่น สนามบินจังหวัดกระบี่ อุดรธานี อุบลราชธานี ภูเก็ต และเชียงใหม่ วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท
สคร.จึงเสนอให้กรมการบินพลเรือนนำรายได้สนามบินที่เปิดให้บริการอยู่แล้วในปัจจุบัน มามัดรวมกันเป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานสนามบินไทยเพื่อระดมเงินราว 10,000 ล้านบาท นำไปใช้ในการพัฒนาสนามบินทั่วประเทศให้มีความทันสมัย และเป็นมาตรฐานสากลยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องรองบรัฐ หรือให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้อีก
สนามบินสุวรรณภูมิเป็นรายต่อไป
สนามบินสุวรรณภูมิ ก็เป็นอีกเป้าหมายที่ได้หารือกับกระทรวงคมนาคม เพราะมีความพร้อมมากที่สุด เนื่องจากเปิดให้บริการอยู่แล้ว แต่ต้องการใช้เงินเพื่อลงทุนในเฟสที่ 2 มูลค่าหลายหมื่นล้านบาท สคร.ก็เสนอว่า น่าจะใช้วิธีการผสมผสาน เช่น กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 10,000 หรือ 20,000 ล้านบาท แล้วนำไปรวมกับเงินกู้ของกระทรวงการคลัง เงินลงทุนของบริษัท การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (AOT) และเงินงบประมาณจากภาครัฐเพื่อขยายสนามบินเฟสที่ 2 ซึ่ง สคร.ก็พร้อมที่จะดำเนินการให้ทันที
ส่วน การทางพิเศษแห่งประเทศไทย และ กรมทางหลวง ก็แสดงความสนใจที่จะคลอดกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อนำเงินที่ระดมทุนได้ไปก่อสร้างทางด่วนเส้นใหม่ และมอเตอร์เวย์อีกประมาณ 20,000-30,000 ล้านบาท ขณะที่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) มีความสนใจจะระดมทุน 20,000 ล้านบาทเพื่อพัฒนาระบบโทรคมนาคมของตัวเอง
นายกุลิศกล่าวว่า ในปีต่อไปหากความต้องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมีอัตราเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและรัฐวิสาหกิจมีความต้องการสูง สคร.ก็วางแผนจัดตั้ง “กองทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งชาติ” หรือ Infrastructure Fund National โดยพร้อมนำเสนอขายให้แก่ประชาชน และนักลงทุนทั่วไปที่สนใจ เพราะในต่างประเทศที่มีการจัดตั้งกองทุนรวมเหล่านี้ก็ได้พัฒนาไปไกลมากแล้ว สามารถสร้างความเจริญให้แก่ประเทศชาติได้อย่างมาก เช่น ออสเตรีย และเกาหลีใต้
ดังนั้น สคร.จึงมีความมุ่งมั่นที่จะออกกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานกองแรก คือ โรงไฟฟ้าพระนครเหนือให้สำเร็จ หลังจากนั้นก็จะเข็นกองทุนที่ 2 และ 3 เข้าสู่ตลาดเงินอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นแหล่งลงทุนแห่งใหม่ให้แก่คนไทย และนักลงทุนในอนาคต.
เปิดแผนระดมทุนแสนล้าน ปั้นรัฐวิสาหกิจชั้นดีขายกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน
http://www.thairath.co.th/content/471860
กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ได้รับการ บรรจุเป็นแผนพัฒนาประเทศอย่างจริงจังเมื่อช่วง 3–4 ปีมานี้
หลังจากที่มีการตรวจสอบ และเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านด้วยกันที่ก้าวขึ้นมาแซงหน้าประเทศไทยไปหลายประเทศ แล้วพบว่าตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยแทบไม่ได้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นอย่างจริงจังเลย ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทยอยู่ในระดับค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะในเรื่องของระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน และกิจการอันเป็นสาธารณะของประเทศ
รัฐบาลก่อนการปฏิวัติ จึงมอบหมายให้ นายกุลิศ สมบัติศิริ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) รับหน้าที่เป็นผู้ปลุกปั้น และผลักดันให้กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานสามารถเกิดขึ้นได้จริง เป็นประโยชน์ต่อประชาชน ต่อสาธารณะในวงกว้าง และต่อขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยผ่านการระดมทุนจากประชาชน และนักลงทุนทั่วไป
วิธีการดังกล่าว หากไม่ระดมทุนจากภาคส่วนต่างๆ รัฐอาจไม่สามารถดำเนินการได้เอง เนื่องเพราะต้องใช้งบประมาณค่อนข้างสูง ขณะเดียวกัน อาจสร้างหนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นมากและเพื่อให้กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานประสบความสำเร็จได้โดยเร็ว
รัฐจึงกำหนดกิจการโครงสร้างพื้นฐานสำคัญๆที่ต้องดำเนินการตามลำดับขั้นไว้ 10 ประเภทด้วยกัน โดยสำนักงานกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ก.ล.ต.) จะทำหน้าที่ในการพิจารณาคำขอนับแต่วันที่มีการยื่นเอกสารครบถ้วน
สำหรับกิจการที่รัฐกำหนดไว้ 10 ประเภท ได้แก่ 1.ระบบขนส่งทางราง 2.ไฟฟ้า 3.การประปา 4.การทางพิเศษ 5.ท่าอากาศยาน 6.สนามบิน 7.ท่าเรือน้ำลึก 8.โทรคมนาคม 9.ระบบบริหารจัดการน้ำ/ชลประทาน และ 10 ระบบป้องกันภัยธรรมชาติ
ในส่วนของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐนั้น แม้จะมีเอกชนขออนุมัติ ก.ล.ต.ทำคลอดโครงการรถไฟฟ้า บีทีเอส, โรงไฟฟ้าบี-กริม และโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ของทรูมูฟ รวมถึง 3 BB ของ บมจ.จัสมิน แล้ว แต่ในส่วนของภาครัฐ ยังดูต้วมเตี้ยมอยู่
กระนั้นก็ตาม ทีมเศรษฐกิจ ได้รับการเปิดเผยจาก นายกุลิศ สมบัติศิริ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ว่ากองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ มูลค่า 20,000 ล้านบาท จะเป็นโครงการแรกของบรรดารัฐวิสาหกิจที่ให้บริการระบบสาธารณูปโภคที่ทำคลอดออกมาได้ ก่อนจะพิสูจน์ให้รัฐวิสาหกิจอื่นๆ ทยอยเดินตามเข้าสู่การลงทุนต่างๆอีกนับแสนล้านบาท
เสนอทางเลือกใหม่เพื่อการลงทุน
กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน เป็นทางเลือกใหม่ และเป็นอนาคตของคนในประเทศไทย เนื่องจากการพัฒนาประเทศชาติ ไม่อาจหยุดอยู่กับที่ได้ การสร้างเส้นทางรถไฟฟ้าสายใหม่ ถนนสายใหม่ที่ผู้คนสามารถใช้ระยะเวลาในการวิ่งที่น้อยลง ฯลฯ จะช่วยอำนวยความสะดวก และคุณภาพชีวิตให้แก่คนไทยใหม่ ทั้งยังสร้างบรรยากาศในการลงทุนใหม่ๆ ให้กับประเทศชาติด้วย
“การเสนอขายหน่วยลงทุนของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน จะเป็นการนำโครงการเดิมที่มีการลงทุน และก่อสร้างเสร็จแล้ว มาเสนอขายเป็นหน่วยลงทุนให้แก่ประชาชน ทำให้ความเสี่ยงของตัวโครงการที่จะไม่มีการก่อสร้างในอนาคตกลายเป็นศูนย์”
ผลจากการศึกษาของ สคร.มีข้อสรุปที่ชัดเจนว่า รูปแบบของกองทุนรวมที่เสนอขายแก่ประชาชนนั้น จะต้องเป็นโครงการที่เกิดขึ้นแล้ว และต้องมีรายได้ที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจนแน่นอน จะไม่นำโครงการที่รัฐวิสาหกิจลงทุนไปแล้ว แต่ยังไม่มีรายได้เกิดขึ้น นำมาเสนอขายให้แก่ประชาชนอย่างเด็ดขาด เพราะโครงการในลักษณะนี้ มีความเสี่ยงทางด้านการหารายได้เพื่อนำเงินมาคืนนักลงทุน รวมถึงผลตอบแทนที่จะเกิดขึ้นในอนาคตก็ไม่มีความมั่นคง
“กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานของรัฐวิสาหกิจ จึงมีหลักประกันที่สามารถการันตีทางด้านรายได้และอัตราผลตอบแทนที่แน่นอน ที่สำคัญ ผลตอบแทนการลงทุนดังกล่าวจะสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากของสถาบันการเงิน ขณะที่ทางด้านความเสี่ยงก็มีน้อยกว่าการลงทุนในตลาดหุ้น” นายกุลิศอรรถาธิบาย
ในช่วงต้นปี 2558 หรือไม่เกินเดือน มี.ค.ปีหน้า สคร.จะร่วมกับ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) เสนอขาย กองทุนรวมโครงการพื้นฐานโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ เพื่อเป็นโครงการนำร่องกองแรกของรัฐวิสาหกิจไทย เพราะมีคุณสมบัติครบถ้วนตามที่กล่าวมา คือ 1.โรงไฟฟ้าแห่งนี้ ก่อสร้างเสร็จแล้ว และมีการทำสัญญาขายไฟฟ้าให้กับ กฟผ. 2.การขายไฟฟ้าดังกล่าว ทำให้โรงไฟฟ้าพระนครเหนือมีรายได้ที่แน่นอน และ 3.ทาง กฟผ.ต้องการเงินทุนก้อนใหม่ไปลงทุนก่อสร้างโรงไฟฟ้าแห่งใหม่
“คุณสมบัติที่สำคัญทั้ง 3 ประการนี้ ทำให้ สคร.ทำเรื่องขออนุมัติจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) เสนอจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรง ไฟฟ้าพระนครเหนือ มูลค่า 20,000 ล้านบาทไปแล้ว” นายกุลิศกล่าว
สำหรับอัตราผลตอบแทนของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าพระนครเหนือนั้น สคร.มีความมั่นใจสูงมากว่าจะจ่ายเงินคืนให้แก่นักลงทุนได้อย่างสม่ำเสมอทุกๆ ปีทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย
เพราะ สคร.ได้ออกแบบกองทุนฯ บนพื้นฐานของกิจการที่มีความเสี่ยงต่ำมากๆ ส่วนเรื่องของอัตราผลตอบแทนนั้น กำลังอยู่ระหว่างการหารือ กับผู้จัดการกองทุนว่าจะออกแบบกองทุนฯ ให้มีอายุยาวกี่ปีถึงจะมีความเหมาะสม เช่น โรงไฟฟ้าพระนครเหนือต้องการระดมทุน 20,000 ล้านบาท อายุของกองทุนที่เหมาะสมก็ประมาณ 20 ปี
สมมติว่าประชาชนที่ลงทุนซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวม โรงไฟฟ้าพระนครเหนือได้รับผลตอบแทนปีละ 10% ในจำนวนนี้แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ 1.การจ่ายคืนต้นเงิน (เงินทุน) ที่ 6% และ 2.จ่ายเป็นผลตอบแทน 4% เท่ากับว่าผู้ที่ถือหน่วยลงทุนจะได้รับทั้งทุนและผลตอบแทนควบคู่กันไปทุกๆปีจนครบอายุคือ 20 ปี
แต่ในปีท้ายๆ อัตราตอบแทนจะค่อยๆ ทยอยลดลงตามอายุของกองทุนฯที่ใกล้จะครบอายุ และเมื่อถือหน่วย การจ่ายอัตราผลตอบแทนของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเป็นการนำรายได้จากผลการดำเนินงานของกองทุนฯ มาคืนนักลงทุนทั้งเงินต้น และผลตอบแทนหรือที่เรียกว่า “ทั้งต้น และดอกเบี้ย” ในสัดส่วนสูงถึง 90% ของกำไรสุทธิ
ทั้งนี้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของสำนักงาน ก.ล.ต.ทุก ประการ โดยเฉพาะเรื่องของการกำหนดการจ่ายเงินปันผลนั้น กองทุนรวมต้องจ่ายให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนอย่างน้อยปีละ 1 ครั้งหรืออาจจะแบ่งจ่ายเป็นทุกรายไตรมาส (ทุกๆ 3 เดือน) ในหนึ่งปีก็สามารถทำได้
ลงทุนจนครบ 20 ปี กองทุนก็จะปิดตัวลง ในปีที่ 21 จะไม่มีการจ่ายเงินใดๆ ทั้งสิ้น เพราะตลอดช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ผู้ถือหน่วยงานได้รับเงินคืนบวกผลตอบแทนไปเรียบร้อยแล้ว
ผลตอบแทนการลงทุนในกองทุนรวม
ส่วนอัตราผลตอบแทนจะมีมากหรือน้อย นักลงทุนต้องพิจารณาปัจจัยหลัก 2 ประการคือ 1.อายุของกองทุนหากกองทุนรวมฯ มีอายุสั้นเพียง 10 ปี แน่นอนว่ากองทุนฯ จะจ่ายผลตอบแทนในอัตราที่สูงกว่ากองทุนอายุ 20 ปี 2.ผลการดำเนินการของกิจการมีความแน่นอนมากน้อยแค่ไหน
“นักลงทุนต้องพิจารณาในประเด็นต่างๆ เหล่านี้ อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจเลือกลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน” นายกุลิศตอกย้ำ
ใน กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานพระนครเหนือ นั้น จะมีรายได้สม่ำเสมอจากการขายไฟฟ้าให้ กฟผ.และสำคัญคือ มูลค่าของกองทุนรวม 20,000 ล้านบาท กฟผ.ในฐานะเจ้าของกิจการจะซื้อหน่วยลงทุนเก็บไว้ในสัดส่วนถึง 25% หรือประมาณ 5,000 ล้านบาท ซึ่งมีข้อดี 2 ประการ คือ 1.การันตีว่า กฟผ.ยังคงรับผิดชอบ และดูแลการผลิตกระแสไฟฟ้าของโรงไฟฟ้าพระนครเหนือในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ และ 2.ไม่มีข้อครหาในเรื่องของการแปรรูปกิจการรัฐวิสาหกิจอีกต่อไป
“นอกจากนี้ ในระหว่างทางจนกว่าจะครบ 20 ปีของอายุกองทุนรวม หากเกิดอุบัติเหตุกับโรงไฟฟ้าจนไม่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ นักลงทุนก็ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะ สคร.ได้สั่งให้กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานทุกกองต้องทำประกันภัยทางด้านรายได้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนว่าจะไม่มีเหตุการณ์รุนแรงจนถึงขั้นไม่จ่ายเงินคืนให้แก่นักลงทุน”
ที่ผ่านมา สคร.สำรวจความต้องการของรัฐวิสาหกิจที่ต้องการลงทุนในกิจการโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ แต่พบว่าโรงผลิตไฟฟ้าพระนครเหนือมีความพร้อมมากที่สุด เพราะโรงไฟฟ้าได้ดำเนินการก่อสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว มีการเดินเครื่องเพื่อผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าให้แก่ กฟผ.เรียบร้อยแล้ว
โรงผลิตไฟฟ้าพระนครเหนือ จึงเป็นโครงการแรกที่ สคร.นำมาเป็นโครงการนำร่องของนโยบาย “กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน” เพื่อเข้าไปทดสอบความต้องการของนักลงทุน และตลาดว่ารัฐวิสาหกิจที่จะระดมทุนด้วยการเสนอขายหน่วยลงทุน 20,000 ล้านบาทให้แก่ประชาชนจะสำเร็จหรือไม่ และขณะนี้ “กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ” ก็อยู่ระหว่างเสนอรายละเอียดต่างๆ ให้ ก.ล.ต.พิจารณา
คมนาคมระดมเงินทุนแสนล้านบาท
สคร.ยังเตรียมวางแผนที่จะออกกองทุนรวมโครงการพื้นฐาน กองใหม่ๆด้วย โดยเฉพาะโครงการที่มีศักยภาพสูงเหมือนกับโรงไฟฟ้าพระนครเหนือ คาดว่า โครงการที่มีความเหมาะสม และสามารถทำคลอดในปี 2588 ได้จะมีอีก 3-4 กองทุน เพื่อระดมเงินทุนประมาณ 100,000 ล้านบาท
ทั้ง 10 กิจการรัฐวิสาหกิจอันเป็นโครงการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของประเทศนั้น สคร.ได้หารือกับกระทรวงคมนาคมอย่างใกล้ชิด เพราะสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2.4 ล้านล้านบาท และในจำนวนนี้เป็นงบลงทุนที่มาจากกระทรวงคมนาคมมากกว่า 90% ทั้งโครงการที่เร่งด่วน และไม่เร่งด่วน สคร.จึงเข้าไปประสานงานเพื่อเรียงลำดับความสำคัญ และความพร้อมของแต่ละโครงการที่จะนำมาจัดตั้งเป็นกองทุนโครงสร้างพื้นฐานที่จะออกในปี 2558
จากการสอบถามข้อมูล และพูดคุยกับรัฐวิสาหกิจในหลายหน่วยงานแล้ว พบว่ามีหลายแห่งต้องการระดมเงินทุนผ่านการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐานมาก เช่น กรมการบินพลเรือน มีความต้องการจะพัฒนาสนามบินที่อยู่ในภูมิภาค เช่น สนามบินจังหวัดกระบี่ อุดรธานี อุบลราชธานี ภูเก็ต และเชียงใหม่ วงเงินรวม 10,000 ล้านบาท
สคร.จึงเสนอให้กรมการบินพลเรือนนำรายได้สนามบินที่เปิดให้บริการอยู่แล้วในปัจจุบัน มามัดรวมกันเป็นกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานสนามบินไทยเพื่อระดมเงินราว 10,000 ล้านบาท นำไปใช้ในการพัฒนาสนามบินทั่วประเทศให้มีความทันสมัย และเป็นมาตรฐานสากลยิ่งขึ้น โดยไม่ต้องรองบรัฐ หรือให้กระทรวงการคลังค้ำประกันเงินกู้อีก
สนามบินสุวรรณภูมิเป็นรายต่อไป
สนามบินสุวรรณภูมิ ก็เป็นอีกเป้าหมายที่ได้หารือกับกระทรวงคมนาคม เพราะมีความพร้อมมากที่สุด เนื่องจากเปิดให้บริการอยู่แล้ว แต่ต้องการใช้เงินเพื่อลงทุนในเฟสที่ 2 มูลค่าหลายหมื่นล้านบาท สคร.ก็เสนอว่า น่าจะใช้วิธีการผสมผสาน เช่น กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 10,000 หรือ 20,000 ล้านบาท แล้วนำไปรวมกับเงินกู้ของกระทรวงการคลัง เงินลงทุนของบริษัท การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย (AOT) และเงินงบประมาณจากภาครัฐเพื่อขยายสนามบินเฟสที่ 2 ซึ่ง สคร.ก็พร้อมที่จะดำเนินการให้ทันที
ส่วน การทางพิเศษแห่งประเทศไทย และ กรมทางหลวง ก็แสดงความสนใจที่จะคลอดกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อนำเงินที่ระดมทุนได้ไปก่อสร้างทางด่วนเส้นใหม่ และมอเตอร์เวย์อีกประมาณ 20,000-30,000 ล้านบาท ขณะที่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) มีความสนใจจะระดมทุน 20,000 ล้านบาทเพื่อพัฒนาระบบโทรคมนาคมของตัวเอง
นายกุลิศกล่าวว่า ในปีต่อไปหากความต้องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมีอัตราเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและรัฐวิสาหกิจมีความต้องการสูง สคร.ก็วางแผนจัดตั้ง “กองทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งชาติ” หรือ Infrastructure Fund National โดยพร้อมนำเสนอขายให้แก่ประชาชน และนักลงทุนทั่วไปที่สนใจ เพราะในต่างประเทศที่มีการจัดตั้งกองทุนรวมเหล่านี้ก็ได้พัฒนาไปไกลมากแล้ว สามารถสร้างความเจริญให้แก่ประเทศชาติได้อย่างมาก เช่น ออสเตรีย และเกาหลีใต้
ดังนั้น สคร.จึงมีความมุ่งมั่นที่จะออกกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานกองแรก คือ โรงไฟฟ้าพระนครเหนือให้สำเร็จ หลังจากนั้นก็จะเข็นกองทุนที่ 2 และ 3 เข้าสู่ตลาดเงินอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นแหล่งลงทุนแห่งใหม่ให้แก่คนไทย และนักลงทุนในอนาคต.