ธารทิพย์
โดย อัศวรักษ์
ธารทิพย์ บทที่ 16
http://pantip.com/topic/33035693
กายทิพย์นั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นหินใหญ่ ปล่อยกายหยาบให้ยังคงนิ่งอยู่ในกรรมฐาน ตรงหน้าคือดวงวิญญาณที่มีรูปลักษณ์ของผู้มากบารมีอันเกิดจากตบะที่แก่กล้า สวมใส่ด้วยผ้าสีขาวบริสุทธิ์นั่งอยู่ข้างๆกายหยาบที่สิ้นลมหายใจไปแล้ว ทั้งสองส่งยิ้มละไมสู่กัน
“ขอโทษที่กายหยาบอยู่รอไม่ได้” ดวงวิญญาณเอ่ยขึ้น
“ฉันมาช้าไป ท่านพี่” กายทิพย์บอก
“ท่านล่วงบรรลุมี ตบะแก่กล้า” วิญญาณบอก
“ฉันทำอย่างพี่ว่า พี่บอกให้” กายทิพย์ตอบ
“ท่านพี่จะชี้ทาง ว่ากระไร” กายทิพย์ถาม
“ท่านจงไป ยังวะสะธารา” วิญญาณตอบ
“รู้กันว่าอยู่ในภพของวิญญาณ” กายทิพย์เอ่ย
“มนุษย์ผู้อาจหาญ และดีงามจะไปถึง” วิญญาณบอก
“ฉันจึง ถามพี่ท่านว่าเริ่มที่ใด” กายทิพย์ถาม
“บอกท่านได้ แค่จงไปทางภูยม” วิญญาณตอบ
“เอาอาทิตย์อีกจันทร์สม ทั้งวาสนามานำทาง” วิญญาณบอก
“เมื่อไปถึงแล้วควรทำเยี่ยงไร” กายทิพย์ถาม
“ท่านจงไป ขอขมาแล้วเล่าขาน” วิญญาณตอบ
“ให้กระจ่าง ให้รู้ถึงซึ่งวิญญาณ”
“ว่าเรื่องนั้น เกิดขึ้นด้วยเหตุใด”
“วิญญาณจะสดับรับฟัง”
“ด้วยภายในยัง มีรักสมัครสมาน”
“อีกทั้งใยแห่งวาสนาแต่บุพกาล”
“ถึงเมื่อนั้น มหาเทพฯจะประทานอำนวยพร” วิญญาณบอกกล่าวต่อกายทิพย์
วิญญาณมองสบตากับกายทิพย์ รอยยิ้มแห่งไมตรีเยี่ยงมหามิตรส่งมาสัมผัสสู่กันและกัน
“พี่ท่านจะอยู่ด้วยหรือไร” กายทิพย์ถาม
วิญญาณยังคงยิ้มพยักหน้า
“จนกว่าวิญญาณดวงนี้จะสงบ” วิญญาณตอบ หันช้าๆไปข้างแท่งหินใหญ่ด้านล่างซึ่งลอยาผู้แผ่วพลิ้วมองมาด้วยความเศร้าโศก
“เราจะพบกันอีก ท่านผู้พัน” วิญญาณบอกกล่าวแล้วเลือนหายไป
“อย่าด่วนจากฉัน ไปนะพี่ผา” กายทิพย์บอกกล่าวตามหลังไป
กายทิพย์หันมามองลอยาที่เลือนหายไปด้วยเช่นกัน
ไกรศักดิ์ถอยออกจากกรรมฐานลืมตาขึ้นช้าๆ ตรงหน้าของเขาที่นั่งนิ่งเงียบมองมาอย่างรอคอยคือสร้อย ไกรศักดิ์ยิ้มให้ เธอยิ้มตอบด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปจากเดิม สองตาแดงช้ำนั้นยังคลอไปด้วยน้ำตาอยู่ เขารับรู้ความไม่ปกตินั้นได้ทันทียิ่งเมื่อมองไปทางอื่นก็พบว่าทุกคน พรานโละ โจ พี เหมียวและแงซามองมาที่เขาด้วยเช่นกันเหมือนรอให้เขาลืมตาขึ้น
“มีอะไรหรือเปล่าลูก” เขาถามสร้อย
“พ่อ” สร้อยเรียก เธอยังสบตาเขาอยู่ไม่หลบตาเหมือนที่ผ่านมา
“สร้อยแก้ว” ไกรศักดิ์เรียกชื่อที่เขาตั้งให้เธอตั้งแต่ยังแบเบาะแล้วกางสองมือออกให้
ชื่อที่แม่ลอยาบอกกล่าวนั้นบัดนี้ได้เปล่งออกมาจากปากบุรุษที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“พ่อจ๋า” สร้อยเรียกแล้วเข้าไปกอดเขาไว้อย่างเชื่อสนิทใจ
แล้วลิขิตเวลาที่สองคนพ่อลูกรอคอยก็มาถึง ทั้งสองกอดกันร้องไห้ให้กับชะตากรรมที่พลัดพรากพวกเขาให้ไกลจากกันนานแสนนาน
ทุกคนยกเว้นพรานโละเพิ่งจะเข้าใจถึงแม้จะยังไม่มีคำอธิบายใดๆ กิริยาอาการที่สร้อยซึ่งตื่นขึ้นมานั่งมองไกรศักดิ์นิ่งอยู่แต่ก่อนฟ้าสาง เธอไม่ยอมลุกไปไหน ไม่ยอมพูดกับใคร เธอทำเหมือนกับว่าต้องการให้ไกรศักดิ์ลืมตาขึ้นมาพบเธอเป็นคนแรก เวลานี้ทั้งหมดร่วมปลาบปลื้มกับความสุขนั้นไปด้วยโดยเฉพาะพรานโละ เขารู้สึกว่าได้เดินมาถึงปลายทางของเขาแล้วและโล่งอกที่โส่ยลูกสาวที่รับเลี้ยงดูมายี่สิบปียอมรับได้ไม่ต้องทุกข์ยากอีกต่อไป
เหมียว พีและโจถึงจะยังปรับไม่ทันแต่พวกเขาก็ดีใจเพราะสร้อยนั้นถือเป็นน้องอยู่แล้ว ที่เหลือก็คงเป็นเรื่องของลุงไกรเพียงปากเดียวที่จะเล่าถึงเรื่องราวทั้งหมด
“ลูกรู้ได้อย่างไร” ไกรศักดิ์ถามพลางเช็ดน้ำตาให้ลูกสาว
“แม่มาบอกฉันเมื่อคืนจ้ะ” สร้อยแก้วตอบพ่อ
“ลูกยอมรับพ่อได้รึเปล่า” เขาถาม
“แม่บอกพ่อแม่รักกันมาก เยี่ยงนั้นก็พอแล้วจ้ะ” สร้อยแก้วตอบ
ไกรศักดิ์กอดเธอไว้แนบอก มองไปที่ทุกคน
“คงจะได้เวลาพูดแล้วสินะ” เขาเริ่มพูด
“โละ ฉันขอให้โละขยับเข้ามานี่หน่อย” ไกรศักดิ์บอกพรานโละ
พรานโละขยับเข้ามาหา เขานั่งอยู่ข้างสร้อยแก้ว ยิ้มให้เอามือลูบหัวเธอ
“สร้อยแก้ว ลูกกราบพ่อโละของลูกเยี่ยงบิดาผู้มีพระคุณเสียก่อน” ไกรศักดิ์บอกลูก
สร้อยแก้วยิ้มแล้วกราบลงที่เท้าพรานโละ
“ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรให้สมกับบุญคุณที่โละมีต่อฉันกับลูกของเรา” ไกรศักดิ์พูด
“ฉันขอ..” เขาพูดค้างแล้วก้มลงกราบพรานโละ
พรานโละรีบก้มลงหมอบติดพื้นกราบคืนไกรศักดิ์
“อย่าไหว้ฉันจ้ะ ฉันคนบ้านป่า” พรานโละพูดละล่ำละลัก
“ไม่หรอกโละ ขอให้ฉันได้กราบขอบใจที่โละกับพี่ผาเหนื่อยยากเลี้ยงดูลูกฉันมายี่สิบปีเถอะนะ” ไกรศักดิ์พูด
“แต่ยังไงพ่อโละก็ยังเป็นเหมือนพ่อของลูกตลอดไปนะลูก” เขาหันไปบอกสร้อยแก้ว เธอยิ้มหันไปกอดพรานโละ
“เอาล่ะ ฉันจะเริ่มตรงไหนดี” ไกรศักดิ์พูดกับทุกคนที่นั่งล้อมรอฟังเขาอยู่
“ก่อนอื่นครับคุณลุง ขอขัดจังหวะหน่อย” พียิ้มแล้วพูดขึ้น
“มาให้พี่กอดต้อนรับน้องสาวหน่อยนะ สร้อยแก้วใช่มั้ย” พียิ้มกางสองมือออก
สร้อยยิ้มรับขยับไปหา พีสวมกอดเธอเบาๆอย่างพี่น้อง เหมียวและโจขยับเข้ามากอดเธอที่ละคนด้วยเช่นกัน
“เป็นเรื่องบังเอิญหรือบุญวาสนานะที่พี่สองคนเรียกน้องว่าสร้อยมาตั้งแต่แรกที่พบกันแล้ว” พีพูด
“เอาล่ะครับคุณลุง เริ่มมีสิ่งดีๆบนเส้นทางนี้แล้วครับ” โจพูดหันไปยิ้มให้ทุกคน
“แม่เขาชื่อ ลอยา” ไกรศักดิ์หันไปมองลูกสร้อยแก้วแล้วพูดแนะนำเพื่อเริ่มเรื่อง
สร้อยมองนิ่งรอให้พ่อเล่าความ โจ พีและเหมียวนิ่งรอฟังเช่นกัน รวมทั้งพรานโละเองที่ยังไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมายี่สิบปีหลัง ทุกคนรู้สึกเหมือนกันว่าสิ่งที่ไกรศักดิ์จะพูดนั้นมีความสำคัญต่อสถานการณ์เวลานี้
“เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อประมาณยี่สิบห้าปีก่อน ตอนนั้นพ่อกับพี่ผาเดินอยู่ด้วยกัน” ไกรศักดิ์เล่าเขาทอดสายตามองไปเพื่อนึกถึงภาพในอดีต
พรานป่ากับนายทหารหนุ่มใหญ่ในชุดลายพรางสีกลืนเข้ากับป่าติดเครื่องรบเต็มตัว พวกเขาพรางใบหน้าไว้ทั้งหมดด้วยเขม่าสีดำ ทั้งสองกำลังเดินสำรวจซากของหมู่บ้านที่ถูกโจมตีอย่างรุนแรงซึ่งอยู่บนเส้นทางลาดตระเวนหาข่าว บ้านเกือบทุกหลังวอดวายจากการถูกเผาซากศพเกลื่อนไปทั่วทั้งหญิงทั้งชายแม้กระทั่งคนแก่และเด็กเล็กๆ
“พวกมันอำมหิตเกินคนนะพี่ผา” พันตรีไกรศักดิ์พูดกับสหายด้วยความสลดใจ
“คงมีหนีรอดไปได้บ้างนะ ฉันคิดว่า” พรานผาประเมินจากจำนวนศพ
“เราถอนดีกว่าพี่ผา เผื่อใครย้อนมา” ไกรศักดิ์พูด
พรานผาพยักหน้ารับ แล้วทั้งสองจึงถอนตัวออกจากบริเวณนั้นอย่างเงียบๆระแวดระวัง
“ฉันว่าเราออกทางซอกโตรกโน่นเถอะพี่ผา พวกที่โจมตีมันคงไปไกลแล้ว” ไกรศักดิ์กระซิบบอกเมื่อทั้งคู่นั่งหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่เป็นกำบัง
“เหลือก็เป็นคนที่หนีไปซ่อนตัวอาจซุ่มเราอยู่ที่ไหนก็ได้ คนที่หนีคงไม่ไปทางซอกลำบากอย่างนั้น พี่ผาว่ายังไง” ไกรศักดิ์ขอความเห็น
“ไป เราเดินเถอะ” พรานผากระซิบตอบ
สองสหายเดินลัดเลาะมาตามโตรกเขากวาดสายตาไปทั่วบริเวณทั้งหน้าหลังเพื่อจับความเคลื่อนไหวของสิ่งที่ไม่เป็นมิตร อาวุธสงครามในมือถืออยู่ในท่าพร้อมยิง สองสามชั่วโมงแล้วที่เดินห่างออกมาจากหมู่บ้านนั้นจนกระทั่งทั้งสองมาพบสิ่งไม่ปกติ ไกรศักดิ์หมอบลงอย่างเร็วเมื่อพรานผาที่เดินนำหน้ายกมือแล้วนั่งลง เขาคืบตัวเข้ามาหาพรานผาช้าๆ
พรานผาชี้ที่ตาแล้วเปลี่ยนไปทางที่หมาย ไกรศักดิ์ประทับปืนเพื่อใช้กล้องเล็งส่องตรวจดู มีการเคลื่อนไหวอยู่ในโพรงถ้ำตื้นๆ นิ้วชี้มือขวาของไกรศักดิ์ทาบอยู่ที่โก่งไกปืนเขายังไม่คิดเหนี่ยวจนกว่าจะเห็นเป้าหมายแน่ชัด
พันตรีไกรศักดิ์ละสายตาออกจากกล้องเล็ง เขาบิดเซฟไกปืนแล้วหันมามองพรานผา
“เด็กสองคน ไม่มีอาวุธ” ไกรศักดิ์พูดเสียงกระซิบ
ทั้งสองลุกขึ้นจากที่กำบังเดินตรงไปหา เมื่อเข้าไปใกล้เด็กสองคนหันมาเห็นจึงพยายามจะหนี ทั้งคู่กอดกันวิ่งล้มลุกคลุกคลานจนไกรศักดิ์และพรานผาเข้าไปถึงตัว
ภาพที่เห็นคือเด็กหนุ่มอายุไม่เกินยี่สิบนั่งตัวสั่นเทาดวงตาเบิกกว้างด้วยความกลัวลนลาน เขากอดเด็กหญิงที่หลับตาปี๋ไม่กล้ามองสิ่งใดเอาไว้แนบอก พรานผาเข้าไปจับตัวทั้งสองที่พยายามจะกระเถิบหนีเอาไว้
“ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ทำร้ายเจ้า” พรานผาพูดซ้ำอยู่หลายครั้ง
ไกรศักดิ์นั่งลงคุกเข่าข้างเดียวช่วยแตะตัวเอาไว้เบาๆเพื่อไม่ให้เด็กทั้งสองตกใจกลัว
“พาเข้าที่กำบังก่อนพี่ผา” ไกรศักดิ์บอก
พรานป่าและนายทหารหนุ่มช่วยกันพยุงเด็กทั้งสองที่ยังคงตัวสั่นไม่หายเข้าไปหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่
“เจ้าสองคนมาจากเรือนโน้นใช่รึ” พรานผาถามชี้มือไปทางหมู่บ้านที่ถูกเผา
เด็กหนุ่มพยักหน้าตัวสั่น นายทหารและพรานนั่งจับตัวเด็กทั้งสองลูบเบาๆอยู่ครู่ใหญ่ให้หายกลัว
ไกรศักดิ์ปลดเป้หลังลงล้วงเอาอาหารในนั้นออกมาส่งให้เพื่อแสดงความเป็นมิตร ทั้งคู่ยังหวาดกลัวไม่กล้ารับจนพรานผาต้องรับมาใส่ให้ในมือ
“พวกเจ้ากินเสีย ไม่ต้องกลัวเราไม่ทำร้ายเจ้า” พรานผาบอกแล้วย้ำอีกครั้งให้เลิกกลัว
เด็กทั้งสองกินอาหารในมือด้วยความหิว ไกรศักดิ์ปลดกระติกน้ำส่งให้ เด็กชายรับมาดื่มกันกับน้องสาวเมื่อรู้สึกเชื่อใจว่าจะไม่โดนทำร้าย พรานผาไต่ถามไปด้วยจนรู้ว่าเด็กทั้งคู่หนีมาจากหมู่บ้านที่ถูกโจมตีเมื่อสองวันก่อน รอนแรมกันมาโดยไม่มีจุดหมายหิวโหยไม่มีอะไรลงท้องเลย
“เธอชื่ออะไร” ไกรศักดิ์ยิ้มถามเมื่อเห็นว่าเด็กสงบลงแล้ว
“ชื่อโละจ้ะ” เด็กหนุ่มตอบยังไม่ค่อยกล้าสบตา
“แล้วนั่นล่ะ” ไกรศักดิ์ถามต่อชี้มือไปที่เด็กหญิงวัยสิบสี่สิบห้า
“น้องข้า ลอยาจ้ะ” โละตอบ เด็กสาวลอยาสะดุ้งเมื่อไกรศักดิ์ชี้มือมาที่เธอ
“เจ้าพี่น้องคิดเยี่ยงไรต่อ” พรานผาถาม เด็กทั้งสองก้มหน้าไม่ตอบ
“เจ้าจะกลับไปเรือนเจ้ารึไร” พรานผาถาม เด็กชายส่ายหน้า
“แล้วเจ้าหมายใจจะไปที่ใด” พรานผาถามอีก เด็กชายยังคงส่ายหน้าอยู่เช่นเดิม
พรานผาหันมามองหน้าไกรศักดิ์เป็นเชิงขอความเห็น
“เราคงต้องพากลับไปกับเราแล้วล่ะพี่ผา” ไกรศักดิ์บอกพรานผา
“ว่าแต่เค้าสองคนจะยอมไปกับเรารึเปล่า” ไกรศักดิ์ถาม
พรานผาโล่งอก เขาเข้าใจ ว่ากำลังอยู่ในภารกิจบนเส้นทางหาข่าวที่สำคัญ แต่สองชีวิตนี่ก็น่าเวทนา พรานผายิ้มให้ไกรศักดิ์ในความมีมนุษยธรรมของเขาและเพื่อแสดงความขอบคุณไปในตัวด้วย
“เจ้าสองคนไปอยู่กับข้า เจ้าจะว่ากระไร” พรานโละถาม
เด็กชายมองหน้าน้องสาวของเขาที่นั่งนิ่งไม่พูดจาอะไร แล้วหันมาพยักหน้ารับคำของพรานผา
“ต้องเดินกว่าสิบวันนะ เจ้าไปไหวไหม” พรานผาถาม
“น้องข้าตีนแพลง” โละบอก
พรานผาหันมามองหน้าไกรศักดิ์อีกครั้ง ไกรศักดิ์ยิ้มแล้วถอนหายใจแสดงการยอมรับ
“เราหาเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุด ให้เด็กโละนั่นแบกเป้หลัง ฉันอุ้มยายหนูนี่ไปเอง” ไกรศักดิ์พูด
“ไปพี่ผา” เขาตบไหล่พรานผาแล้วก้มลงอุ้มเด็กสาวลอยาขึ้น
ธารทิพย์ บทที่ 17
ธารทิพย์ บทที่ 16 http://pantip.com/topic/33035693
กายทิพย์นั่งขัดสมาธิอยู่บนแท่นหินใหญ่ ปล่อยกายหยาบให้ยังคงนิ่งอยู่ในกรรมฐาน ตรงหน้าคือดวงวิญญาณที่มีรูปลักษณ์ของผู้มากบารมีอันเกิดจากตบะที่แก่กล้า สวมใส่ด้วยผ้าสีขาวบริสุทธิ์นั่งอยู่ข้างๆกายหยาบที่สิ้นลมหายใจไปแล้ว ทั้งสองส่งยิ้มละไมสู่กัน
“ขอโทษที่กายหยาบอยู่รอไม่ได้” ดวงวิญญาณเอ่ยขึ้น
“ฉันมาช้าไป ท่านพี่” กายทิพย์บอก
“ท่านล่วงบรรลุมี ตบะแก่กล้า” วิญญาณบอก
“ฉันทำอย่างพี่ว่า พี่บอกให้” กายทิพย์ตอบ
“ท่านพี่จะชี้ทาง ว่ากระไร” กายทิพย์ถาม
“ท่านจงไป ยังวะสะธารา” วิญญาณตอบ
“รู้กันว่าอยู่ในภพของวิญญาณ” กายทิพย์เอ่ย
“มนุษย์ผู้อาจหาญ และดีงามจะไปถึง” วิญญาณบอก
“ฉันจึง ถามพี่ท่านว่าเริ่มที่ใด” กายทิพย์ถาม
“บอกท่านได้ แค่จงไปทางภูยม” วิญญาณตอบ
“เอาอาทิตย์อีกจันทร์สม ทั้งวาสนามานำทาง” วิญญาณบอก
“เมื่อไปถึงแล้วควรทำเยี่ยงไร” กายทิพย์ถาม
“ท่านจงไป ขอขมาแล้วเล่าขาน” วิญญาณตอบ
“ให้กระจ่าง ให้รู้ถึงซึ่งวิญญาณ”
“ว่าเรื่องนั้น เกิดขึ้นด้วยเหตุใด”
“วิญญาณจะสดับรับฟัง”
“ด้วยภายในยัง มีรักสมัครสมาน”
“อีกทั้งใยแห่งวาสนาแต่บุพกาล”
“ถึงเมื่อนั้น มหาเทพฯจะประทานอำนวยพร” วิญญาณบอกกล่าวต่อกายทิพย์
วิญญาณมองสบตากับกายทิพย์ รอยยิ้มแห่งไมตรีเยี่ยงมหามิตรส่งมาสัมผัสสู่กันและกัน
“พี่ท่านจะอยู่ด้วยหรือไร” กายทิพย์ถาม
วิญญาณยังคงยิ้มพยักหน้า
“จนกว่าวิญญาณดวงนี้จะสงบ” วิญญาณตอบ หันช้าๆไปข้างแท่งหินใหญ่ด้านล่างซึ่งลอยาผู้แผ่วพลิ้วมองมาด้วยความเศร้าโศก
“เราจะพบกันอีก ท่านผู้พัน” วิญญาณบอกกล่าวแล้วเลือนหายไป
“อย่าด่วนจากฉัน ไปนะพี่ผา” กายทิพย์บอกกล่าวตามหลังไป
กายทิพย์หันมามองลอยาที่เลือนหายไปด้วยเช่นกัน
ไกรศักดิ์ถอยออกจากกรรมฐานลืมตาขึ้นช้าๆ ตรงหน้าของเขาที่นั่งนิ่งเงียบมองมาอย่างรอคอยคือสร้อย ไกรศักดิ์ยิ้มให้ เธอยิ้มตอบด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปจากเดิม สองตาแดงช้ำนั้นยังคลอไปด้วยน้ำตาอยู่ เขารับรู้ความไม่ปกตินั้นได้ทันทียิ่งเมื่อมองไปทางอื่นก็พบว่าทุกคน พรานโละ โจ พี เหมียวและแงซามองมาที่เขาด้วยเช่นกันเหมือนรอให้เขาลืมตาขึ้น
“มีอะไรหรือเปล่าลูก” เขาถามสร้อย
“พ่อ” สร้อยเรียก เธอยังสบตาเขาอยู่ไม่หลบตาเหมือนที่ผ่านมา
“สร้อยแก้ว” ไกรศักดิ์เรียกชื่อที่เขาตั้งให้เธอตั้งแต่ยังแบเบาะแล้วกางสองมือออกให้
ชื่อที่แม่ลอยาบอกกล่าวนั้นบัดนี้ได้เปล่งออกมาจากปากบุรุษที่นั่งอยู่ตรงหน้า
“พ่อจ๋า” สร้อยเรียกแล้วเข้าไปกอดเขาไว้อย่างเชื่อสนิทใจ
แล้วลิขิตเวลาที่สองคนพ่อลูกรอคอยก็มาถึง ทั้งสองกอดกันร้องไห้ให้กับชะตากรรมที่พลัดพรากพวกเขาให้ไกลจากกันนานแสนนาน
ทุกคนยกเว้นพรานโละเพิ่งจะเข้าใจถึงแม้จะยังไม่มีคำอธิบายใดๆ กิริยาอาการที่สร้อยซึ่งตื่นขึ้นมานั่งมองไกรศักดิ์นิ่งอยู่แต่ก่อนฟ้าสาง เธอไม่ยอมลุกไปไหน ไม่ยอมพูดกับใคร เธอทำเหมือนกับว่าต้องการให้ไกรศักดิ์ลืมตาขึ้นมาพบเธอเป็นคนแรก เวลานี้ทั้งหมดร่วมปลาบปลื้มกับความสุขนั้นไปด้วยโดยเฉพาะพรานโละ เขารู้สึกว่าได้เดินมาถึงปลายทางของเขาแล้วและโล่งอกที่โส่ยลูกสาวที่รับเลี้ยงดูมายี่สิบปียอมรับได้ไม่ต้องทุกข์ยากอีกต่อไป
เหมียว พีและโจถึงจะยังปรับไม่ทันแต่พวกเขาก็ดีใจเพราะสร้อยนั้นถือเป็นน้องอยู่แล้ว ที่เหลือก็คงเป็นเรื่องของลุงไกรเพียงปากเดียวที่จะเล่าถึงเรื่องราวทั้งหมด
“ลูกรู้ได้อย่างไร” ไกรศักดิ์ถามพลางเช็ดน้ำตาให้ลูกสาว
“แม่มาบอกฉันเมื่อคืนจ้ะ” สร้อยแก้วตอบพ่อ
“ลูกยอมรับพ่อได้รึเปล่า” เขาถาม
“แม่บอกพ่อแม่รักกันมาก เยี่ยงนั้นก็พอแล้วจ้ะ” สร้อยแก้วตอบ
ไกรศักดิ์กอดเธอไว้แนบอก มองไปที่ทุกคน
“คงจะได้เวลาพูดแล้วสินะ” เขาเริ่มพูด
“โละ ฉันขอให้โละขยับเข้ามานี่หน่อย” ไกรศักดิ์บอกพรานโละ
พรานโละขยับเข้ามาหา เขานั่งอยู่ข้างสร้อยแก้ว ยิ้มให้เอามือลูบหัวเธอ
“สร้อยแก้ว ลูกกราบพ่อโละของลูกเยี่ยงบิดาผู้มีพระคุณเสียก่อน” ไกรศักดิ์บอกลูก
สร้อยแก้วยิ้มแล้วกราบลงที่เท้าพรานโละ
“ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอะไรให้สมกับบุญคุณที่โละมีต่อฉันกับลูกของเรา” ไกรศักดิ์พูด
“ฉันขอ..” เขาพูดค้างแล้วก้มลงกราบพรานโละ
พรานโละรีบก้มลงหมอบติดพื้นกราบคืนไกรศักดิ์
“อย่าไหว้ฉันจ้ะ ฉันคนบ้านป่า” พรานโละพูดละล่ำละลัก
“ไม่หรอกโละ ขอให้ฉันได้กราบขอบใจที่โละกับพี่ผาเหนื่อยยากเลี้ยงดูลูกฉันมายี่สิบปีเถอะนะ” ไกรศักดิ์พูด
“แต่ยังไงพ่อโละก็ยังเป็นเหมือนพ่อของลูกตลอดไปนะลูก” เขาหันไปบอกสร้อยแก้ว เธอยิ้มหันไปกอดพรานโละ
“เอาล่ะ ฉันจะเริ่มตรงไหนดี” ไกรศักดิ์พูดกับทุกคนที่นั่งล้อมรอฟังเขาอยู่
“ก่อนอื่นครับคุณลุง ขอขัดจังหวะหน่อย” พียิ้มแล้วพูดขึ้น
“มาให้พี่กอดต้อนรับน้องสาวหน่อยนะ สร้อยแก้วใช่มั้ย” พียิ้มกางสองมือออก
สร้อยยิ้มรับขยับไปหา พีสวมกอดเธอเบาๆอย่างพี่น้อง เหมียวและโจขยับเข้ามากอดเธอที่ละคนด้วยเช่นกัน
“เป็นเรื่องบังเอิญหรือบุญวาสนานะที่พี่สองคนเรียกน้องว่าสร้อยมาตั้งแต่แรกที่พบกันแล้ว” พีพูด
“เอาล่ะครับคุณลุง เริ่มมีสิ่งดีๆบนเส้นทางนี้แล้วครับ” โจพูดหันไปยิ้มให้ทุกคน
“แม่เขาชื่อ ลอยา” ไกรศักดิ์หันไปมองลูกสร้อยแก้วแล้วพูดแนะนำเพื่อเริ่มเรื่อง
สร้อยมองนิ่งรอให้พ่อเล่าความ โจ พีและเหมียวนิ่งรอฟังเช่นกัน รวมทั้งพรานโละเองที่ยังไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมายี่สิบปีหลัง ทุกคนรู้สึกเหมือนกันว่าสิ่งที่ไกรศักดิ์จะพูดนั้นมีความสำคัญต่อสถานการณ์เวลานี้
“เรื่องราวเริ่มขึ้นเมื่อประมาณยี่สิบห้าปีก่อน ตอนนั้นพ่อกับพี่ผาเดินอยู่ด้วยกัน” ไกรศักดิ์เล่าเขาทอดสายตามองไปเพื่อนึกถึงภาพในอดีต
พรานป่ากับนายทหารหนุ่มใหญ่ในชุดลายพรางสีกลืนเข้ากับป่าติดเครื่องรบเต็มตัว พวกเขาพรางใบหน้าไว้ทั้งหมดด้วยเขม่าสีดำ ทั้งสองกำลังเดินสำรวจซากของหมู่บ้านที่ถูกโจมตีอย่างรุนแรงซึ่งอยู่บนเส้นทางลาดตระเวนหาข่าว บ้านเกือบทุกหลังวอดวายจากการถูกเผาซากศพเกลื่อนไปทั่วทั้งหญิงทั้งชายแม้กระทั่งคนแก่และเด็กเล็กๆ
“พวกมันอำมหิตเกินคนนะพี่ผา” พันตรีไกรศักดิ์พูดกับสหายด้วยความสลดใจ
“คงมีหนีรอดไปได้บ้างนะ ฉันคิดว่า” พรานผาประเมินจากจำนวนศพ
“เราถอนดีกว่าพี่ผา เผื่อใครย้อนมา” ไกรศักดิ์พูด
พรานผาพยักหน้ารับ แล้วทั้งสองจึงถอนตัวออกจากบริเวณนั้นอย่างเงียบๆระแวดระวัง
“ฉันว่าเราออกทางซอกโตรกโน่นเถอะพี่ผา พวกที่โจมตีมันคงไปไกลแล้ว” ไกรศักดิ์กระซิบบอกเมื่อทั้งคู่นั่งหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่เป็นกำบัง
“เหลือก็เป็นคนที่หนีไปซ่อนตัวอาจซุ่มเราอยู่ที่ไหนก็ได้ คนที่หนีคงไม่ไปทางซอกลำบากอย่างนั้น พี่ผาว่ายังไง” ไกรศักดิ์ขอความเห็น
“ไป เราเดินเถอะ” พรานผากระซิบตอบ
สองสหายเดินลัดเลาะมาตามโตรกเขากวาดสายตาไปทั่วบริเวณทั้งหน้าหลังเพื่อจับความเคลื่อนไหวของสิ่งที่ไม่เป็นมิตร อาวุธสงครามในมือถืออยู่ในท่าพร้อมยิง สองสามชั่วโมงแล้วที่เดินห่างออกมาจากหมู่บ้านนั้นจนกระทั่งทั้งสองมาพบสิ่งไม่ปกติ ไกรศักดิ์หมอบลงอย่างเร็วเมื่อพรานผาที่เดินนำหน้ายกมือแล้วนั่งลง เขาคืบตัวเข้ามาหาพรานผาช้าๆ
พรานผาชี้ที่ตาแล้วเปลี่ยนไปทางที่หมาย ไกรศักดิ์ประทับปืนเพื่อใช้กล้องเล็งส่องตรวจดู มีการเคลื่อนไหวอยู่ในโพรงถ้ำตื้นๆ นิ้วชี้มือขวาของไกรศักดิ์ทาบอยู่ที่โก่งไกปืนเขายังไม่คิดเหนี่ยวจนกว่าจะเห็นเป้าหมายแน่ชัด
พันตรีไกรศักดิ์ละสายตาออกจากกล้องเล็ง เขาบิดเซฟไกปืนแล้วหันมามองพรานผา
“เด็กสองคน ไม่มีอาวุธ” ไกรศักดิ์พูดเสียงกระซิบ
ทั้งสองลุกขึ้นจากที่กำบังเดินตรงไปหา เมื่อเข้าไปใกล้เด็กสองคนหันมาเห็นจึงพยายามจะหนี ทั้งคู่กอดกันวิ่งล้มลุกคลุกคลานจนไกรศักดิ์และพรานผาเข้าไปถึงตัว
ภาพที่เห็นคือเด็กหนุ่มอายุไม่เกินยี่สิบนั่งตัวสั่นเทาดวงตาเบิกกว้างด้วยความกลัวลนลาน เขากอดเด็กหญิงที่หลับตาปี๋ไม่กล้ามองสิ่งใดเอาไว้แนบอก พรานผาเข้าไปจับตัวทั้งสองที่พยายามจะกระเถิบหนีเอาไว้
“ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ทำร้ายเจ้า” พรานผาพูดซ้ำอยู่หลายครั้ง
ไกรศักดิ์นั่งลงคุกเข่าข้างเดียวช่วยแตะตัวเอาไว้เบาๆเพื่อไม่ให้เด็กทั้งสองตกใจกลัว
“พาเข้าที่กำบังก่อนพี่ผา” ไกรศักดิ์บอก
พรานป่าและนายทหารหนุ่มช่วยกันพยุงเด็กทั้งสองที่ยังคงตัวสั่นไม่หายเข้าไปหลบอยู่หลังต้นไม้ใหญ่
“เจ้าสองคนมาจากเรือนโน้นใช่รึ” พรานผาถามชี้มือไปทางหมู่บ้านที่ถูกเผา
เด็กหนุ่มพยักหน้าตัวสั่น นายทหารและพรานนั่งจับตัวเด็กทั้งสองลูบเบาๆอยู่ครู่ใหญ่ให้หายกลัว
ไกรศักดิ์ปลดเป้หลังลงล้วงเอาอาหารในนั้นออกมาส่งให้เพื่อแสดงความเป็นมิตร ทั้งคู่ยังหวาดกลัวไม่กล้ารับจนพรานผาต้องรับมาใส่ให้ในมือ
“พวกเจ้ากินเสีย ไม่ต้องกลัวเราไม่ทำร้ายเจ้า” พรานผาบอกแล้วย้ำอีกครั้งให้เลิกกลัว
เด็กทั้งสองกินอาหารในมือด้วยความหิว ไกรศักดิ์ปลดกระติกน้ำส่งให้ เด็กชายรับมาดื่มกันกับน้องสาวเมื่อรู้สึกเชื่อใจว่าจะไม่โดนทำร้าย พรานผาไต่ถามไปด้วยจนรู้ว่าเด็กทั้งคู่หนีมาจากหมู่บ้านที่ถูกโจมตีเมื่อสองวันก่อน รอนแรมกันมาโดยไม่มีจุดหมายหิวโหยไม่มีอะไรลงท้องเลย
“เธอชื่ออะไร” ไกรศักดิ์ยิ้มถามเมื่อเห็นว่าเด็กสงบลงแล้ว
“ชื่อโละจ้ะ” เด็กหนุ่มตอบยังไม่ค่อยกล้าสบตา
“แล้วนั่นล่ะ” ไกรศักดิ์ถามต่อชี้มือไปที่เด็กหญิงวัยสิบสี่สิบห้า
“น้องข้า ลอยาจ้ะ” โละตอบ เด็กสาวลอยาสะดุ้งเมื่อไกรศักดิ์ชี้มือมาที่เธอ
“เจ้าพี่น้องคิดเยี่ยงไรต่อ” พรานผาถาม เด็กทั้งสองก้มหน้าไม่ตอบ
“เจ้าจะกลับไปเรือนเจ้ารึไร” พรานผาถาม เด็กชายส่ายหน้า
“แล้วเจ้าหมายใจจะไปที่ใด” พรานผาถามอีก เด็กชายยังคงส่ายหน้าอยู่เช่นเดิม
พรานผาหันมามองหน้าไกรศักดิ์เป็นเชิงขอความเห็น
“เราคงต้องพากลับไปกับเราแล้วล่ะพี่ผา” ไกรศักดิ์บอกพรานผา
“ว่าแต่เค้าสองคนจะยอมไปกับเรารึเปล่า” ไกรศักดิ์ถาม
พรานผาโล่งอก เขาเข้าใจ ว่ากำลังอยู่ในภารกิจบนเส้นทางหาข่าวที่สำคัญ แต่สองชีวิตนี่ก็น่าเวทนา พรานผายิ้มให้ไกรศักดิ์ในความมีมนุษยธรรมของเขาและเพื่อแสดงความขอบคุณไปในตัวด้วย
“เจ้าสองคนไปอยู่กับข้า เจ้าจะว่ากระไร” พรานโละถาม
เด็กชายมองหน้าน้องสาวของเขาที่นั่งนิ่งไม่พูดจาอะไร แล้วหันมาพยักหน้ารับคำของพรานผา
“ต้องเดินกว่าสิบวันนะ เจ้าไปไหวไหม” พรานผาถาม
“น้องข้าตีนแพลง” โละบอก
พรานผาหันมามองหน้าไกรศักดิ์อีกครั้ง ไกรศักดิ์ยิ้มแล้วถอนหายใจแสดงการยอมรับ
“เราหาเส้นทางที่ปลอดภัยที่สุด ให้เด็กโละนั่นแบกเป้หลัง ฉันอุ้มยายหนูนี่ไปเอง” ไกรศักดิ์พูด
“ไปพี่ผา” เขาตบไหล่พรานผาแล้วก้มลงอุ้มเด็กสาวลอยาขึ้น