ผมเห็นด้วยในแง่ที่ว่า ความรู้อาจจะรู้ทันกันหมดไม่ยาก แต่สิ่งที่ทำตามได้ยากก็คือ
ด้านโลภ
กำหนดความระดับความโลภไว้ดังนี้
แนวรับแรก
ใช้กับตลาดหุ้นขาขึ้น
ราคาหุ้นที่จะซื้อ มีแต้มต่อด้าน พีอี พีบีวี ดีอี และยีลด์ปันผล
หาหุ้นที่มียีลด์ปันผลมากกว่าเงินฝากประจำธนาคาร บวกเงินเฟ้อ พีอีไม่เกินสิบ พีบีวี ไม่เกิน หนึ่งจุดห้า
ถ้าราคาหุ้นหลุดแนวรับนี้ไป อาจจะต้องรอซื้อเฉลี่ยที่แนวรับถัดไป
ที่แนวรับนี้ จะโลภแต่พอประมาณ ซักยี่สิบเปอร์เซนต์ของเงินลงทุน
แนวรับที่สอง
ราคาหุ้นที่จะซื้อ มีแต้มต่อด้านยีลด์ พีอี พีบีวี เหนือกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด มากกว่าสองเท่าขึ้นไป
อย่างเช่น พีอีตลาด เท่ากับ สิบเจ็ด ก็ให้พีอีที่แนวรับสอง ที่ แปดจุดห้า เป็นต้น (ไม่มีอะไรแน่นอน แต่ละคนต้องกำหนดเอาเอง)
ยีลด์ปันผล ต้องมากกว่าฝากประจำธนาคาร มากกว่าสองเท่าขึ้นไป
ที่แนวรับนี้ อาจจะโลภประมาณ ห้าสิบเปอร์เซนต์ของพอร์ต
ถ้าพลาด ก็อาจจะต้องยอมขายขาดทุน ถ้าราคาหุ้นลงแล้ว ยีลด์ไม่ได้เพิ่มขึ้น
ถ้าราคาหุ้นลงแล้วยีลด์เพิ่มขึ้น ก็ซื้อเฉลี่ยขาลงไปตามยีลด์ที่เพิ่มขึ้น
แนวรับนี้ สิ่งที่สำคัญอันแรกที่ผมจะพิจารณาก็คือ
นอกจากราคาหุ้นต้องมีแต้มต่อมากแล้ว ผลประกอบการก็ต้องมีแต้มต่อด้วยเช่นกัน
ถ้าผลประกอบการไม่มีแต้มต่อ ราคาหุ้นถูกแค่ไหน ก็คงต้องขายทิ้ง
เท่าที่ผมนึกได้ตอนนี้ หุ้นที่ผลประกอบการไม่ได้มีแต้มต่อในช่วงนี้คือ
as se ed jmart it ฯลฯ
แนวรับสุดท้าย
อ่านรายละเอียดได้จากกระทู้นี้
http://pantip.com/topic/32992385
ที่แนวรับนี้ จะเป็นแนวรับเดียว ที่ผมจะ "ไม่ขาย ไม่ขาดทุน"
วัดดวงกันไปข้างเลยว่า จะได้กำไร หรือได้ใบหุ้นมาแปะข้างฝา
ด้านกลัว
ที่ผมกลัวมาก จนไม่เข้าไปยุ่งเลยก็คือ
ผมกลัวราคาหุ้น ที่ขึ้นเกินความรู้ ความสามารถของตัวเอง
ราคาหุ้นตรงบริเวณที่กลัวมากนี้ มักจะต้องมีเจ้ามือเข้ามาทำราคา
ไม่ว่าจะอ้างอิงสวยหรูอย่างไรก็ตาม สุดท้ายจะลงเอ่ยที่การทำราคาหุ้น
เพื่อให้คนเข้าไปร่วมด้วยช่วยปั่นทุกคนเชื่อว่า
จะไม่เป็นคนสุดท้าย ที่ถือหุ้นตัวนั้นไว้ ในราคาที่ไปต่อไม่ได้แล้ว
ราคาหุ้นแบบซื้อกันที่ราคาอนาคต เพื่อรอผลประกอบในอนาคต
จะมีคนคอยตั้งราคาเป้าหมาย เพื่อปลุกเร้าให้คนที่เสพสื่อ
เข้าซื้อก่อนถึงราคาเป้าหมาย
ต้องทำให้คนเห็นว่า อนาคตมันดีอย่างโน้น ดีอย่างนี้
ซื้อตอนนี้ไม่แพงหรอก เดี๋ยวมันก็ถูกเอง
ราคามันจะขึ้นไปแค่ไหน ก็จะนั่งมองตาปริบๆ
เพราะกำหนดความสามารถของตัวเองไว้แล้วว่า
เป็นคนที่มองอนาคตของบริษัทไม่ค่อยเป็น
เราจะนั่งมองราคาหุ้นขึ้นเอา ขึ้นเอา เฉยๆได้
เราต้องไม่อ่าน ฟัง ดู ข่าวเชียร์หุ้นตัวนั้น
ไม่ว่าจะผ่านสือทางไหน
และจะต้องไม่เปรียบเทียบว่า
ทำไมคนเล่นแบบนั้น เขากำไร ทำไมเราไม่ได้กำไร
ให้ถือซะว่า เราไม่มีความสามารถจะทำแบบนั้น
ไม่สามารถรับแรงกดดันจากความเครียด
ที่จะถาโถมเข้ามา จนเราเสียสุขภาพจิต
โดยทั่วไป ผมจะเปรียบเทียบผลตอบแทนจากหุ้นที่ผมถือ
กับผลตอบแทนจากการอยู่เฉยๆโดยไม่ต้องเสี่ยง (ฝากธนาคาร)
ไม่เอาไปเปรียบเทียบกับ set index mai ผลสำเร็จในการลงทุนของคนอื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นแนวทางเดียวกัน หรือคนละแนวทาง
๒ กลัวที่สุดคือ
หุ้นที่เจ้าของไม่โปร่งใส
ผมจะกลัวมากๆ เพราะเจ้ามือตัวจริงที่นั่งทำงานอยู่ในบริษัทจดทะเบียน
เป็นคนเดียว หรือพวกเดียวในตลาดหุ้น
ที่สามารถทำได้ทั้ง
หุ้นเน่าๆ และราคาหุ้นเน่าๆ
ไม่เคยกลัวเจ้ามิอแต๊กส์ด่วนในตลาดหุ้น ที่ไม่มีเจ้ามือตัวจริงคอยให้ท้าย
แต่ถ้าเจ้ามือตัวจริง ลงมาร่วมด้วยช่วยปั่น หรือลงมาเป็นเจ้ามือแด็กส์ด่วนซะเอง
จะโลภแค่ไหนกับราคาหุ้น ก็จะไม่ซื้อโดยเด็ดขาด
การแตกพาร์หรือการพิมพ์ธนบ้ตรออกมาใช้เองผ่านวอร์แรนท์
โดยไม่มีเหตุผล ไม่มีราคาใช้สิทธิ์ที่จะได้เงินเข้าบริษัทมากๆ
ผมถือว่า เจ้ามือตัวจริงกำลังร่วมด้วยช่วยปั่นหุ้น หรือไม่ก็ลงมือปั่นซะเอง
เจ้ามือแด็กส์ด่วนที่ไม่มีเจ้ามือตัวจริงคอยหนุนหลัง
ทำได้แค่ ราคาหุ้นดีๆ ราคาหุ้นเน่าๆ เท่านั้น
ทำให้ผลประกอบการของบริษัทเน่าไม่ได้
๓ กลัวอะไรดี นึกไม่ออกครับ ฮาฮา
ผมขอสรุปเอาตามนี้ก็แล้ว
ผมจะควบคุม ความโลภและความกลัว ไม่ให้เกินความรู้ ความสามารถของตัวเอง
ไม่ไปเปรียบเทียบกับความสำเร็จของคนอื่นที่เก่งกว่าเรา
จนไม่มีความพึงพอใจในแนวทางการลงทุนของตัวเอง
จะทำได้หรือไม่ได้ ให้นึกไปถึงคำสอนที่ท่านพระอาจารย์ชาเคยสอนไว้ครับ
๙ แล้ว ๖ ๖ แล้ว ๙ ความโลภและความกลัว ควรจะบริหารจัดการอย่างไรดี ?
http://pantip.com/topic/33039131
มีเพื่อนสมาขิกได้ถามไว้ในความคิดเห็นที่ 14 ตามภาพประกอบ
ขอเอาภาพที่ถ่ายไว้ดูเล่น มาให้ดูก่อน
คำถามที่คุณ ช็อคโกเลิฟถามไว้มีดังนี้
ความคิดเห็นที่ 14
อยากให้ คุณ endophine ช่วยบอกวิธีในการ ควบคุม"ความโลภ"กับ"ความกลัว"ให้หน่อยครับ
เพราะผมคิดว่า การที่เราเทรดหุ้นแล้วขาดทุนน่าจะมาจากปัจจัยสองตัวนี้ มากกว่าที่จะเป็นเรื่องของ"ความรู้"
เพราะเดี๋ยวนี้ความรู้ หาไม่ยาก ทั้งจากหนังสือ อินเตอร์เน็ท สัมมนา ขอบคุณมากครับ
ผมเห็นด้วยในแง่ที่ว่า ความรู้อาจจะรู้ทันกันหมดไม่ยาก แต่สิ่งที่ทำตามได้ยากก็คือ
ความสามารถตามปัจจัยพื้นฐานสะสมของแต่ละคน
เคยเปรียบเทียบว่า อาจารย์คนเดียวกัน
สอนแบบเดียวกันให้นักเรียนทั้งชั้นฟัง
ทำไมมีบางคนได้ a บางคนได้ f
เราคงต้องถามตัวเองก่อนว่า
ทำไมเราได้....
แล้วค่อยไปดูว่า ทำไมคนนั้นเขาได้ a
ทั้งๆที่อาจารย์ก็สอนเรื่องเดียวกัน
ถ้าเราดูพฤติกรรมของคนที่ได้ a อย่างรอบคอบแล้ว
ก็ไม่สามารถทำได้ตามนั้น
ก็ต้องกลับมาดูตัวเราเองว่า
มีทางใด ที่เราสามารถทำแล้ว ได้คะแนนที่เหมาะสมกับตัวเอง
ไม่ใช่ได้ a ไม่ใช่ได้ f
นั่นคือ เราพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าทีเราสามารถจะทำได้
ดังนั้น ผมจึงเน้นไปที่ เราต้องดูตัวเราเองว่า
เลียนแบบ ทำตามเขาแล้ว
จะทำตามได้ผลดี หรือทำตามไม่ได้ผลดี
ถ้าทำตามไม่ได้ผลดี ก็ลองพยายามหาแนวทางของตัวเองให้ได้
หาแนวทางได้แล้ว ต้องไม่เอาไปเปรียบเทียบให้เครียด
จนทนรับรู้แรงกดดัน จากความสำเร็จของคนอื่นไม่ได้
ต้องทำตาม โดยที่ตัวเองไม่ได้มีความสามารถมากพอ
ผมลองออกแบบความโลภและความกลัวของตัวเอง แล้วพยายามทำตามให้ได้
ไว้ประมาณตามภาพประกอบ ที่ยังไม่ได้ใส่ข้อความที่สมบูรณ์ลงไป
เป็นการคิดไว้คร่าวๆ
ด้านโลภ
กำหนดความระดับความโลภไว้ดังนี้
แนวรับแรก
ใช้กับตลาดหุ้นขาขึ้น
ราคาหุ้นที่จะซื้อ มีแต้มต่อด้าน พีอี พีบีวี ดีอี และยีลด์ปันผล
หาหุ้นที่มียีลด์ปันผลมากกว่าเงินฝากประจำธนาคาร บวกเงินเฟ้อ พีอีไม่เกินสิบ พีบีวี ไม่เกิน หนึ่งจุดห้า
ถ้าราคาหุ้นหลุดแนวรับนี้ไป อาจจะต้องรอซื้อเฉลี่ยที่แนวรับถัดไป
ที่แนวรับนี้ จะโลภแต่พอประมาณ ซักยี่สิบเปอร์เซนต์ของเงินลงทุน
แนวรับที่สอง
ราคาหุ้นที่จะซื้อ มีแต้มต่อด้านยีลด์ พีอี พีบีวี เหนือกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด มากกว่าสองเท่าขึ้นไป
อย่างเช่น พีอีตลาด เท่ากับ สิบเจ็ด ก็ให้พีอีที่แนวรับสอง ที่ แปดจุดห้า เป็นต้น (ไม่มีอะไรแน่นอน แต่ละคนต้องกำหนดเอาเอง)
ยีลด์ปันผล ต้องมากกว่าฝากประจำธนาคาร มากกว่าสองเท่าขึ้นไป
ที่แนวรับนี้ อาจจะโลภประมาณ ห้าสิบเปอร์เซนต์ของพอร์ต
ถ้าพลาด ก็อาจจะต้องยอมขายขาดทุน ถ้าราคาหุ้นลงแล้ว ยีลด์ไม่ได้เพิ่มขึ้น
ถ้าราคาหุ้นลงแล้วยีลด์เพิ่มขึ้น ก็ซื้อเฉลี่ยขาลงไปตามยีลด์ที่เพิ่มขึ้น
แนวรับนี้ สิ่งที่สำคัญอันแรกที่ผมจะพิจารณาก็คือ
นอกจากราคาหุ้นต้องมีแต้มต่อมากแล้ว ผลประกอบการก็ต้องมีแต้มต่อด้วยเช่นกัน
ถ้าผลประกอบการไม่มีแต้มต่อ ราคาหุ้นถูกแค่ไหน ก็คงต้องขายทิ้ง
เท่าที่ผมนึกได้ตอนนี้ หุ้นที่ผลประกอบการไม่ได้มีแต้มต่อในช่วงนี้คือ
as se ed jmart it ฯลฯ
แนวรับสุดท้าย
อ่านรายละเอียดได้จากกระทู้นี้
http://pantip.com/topic/32992385
ที่แนวรับนี้ จะเป็นแนวรับเดียว ที่ผมจะ "ไม่ขาย ไม่ขาดทุน"
วัดดวงกันไปข้างเลยว่า จะได้กำไร หรือได้ใบหุ้นมาแปะข้างฝา
ด้านกลัว
ที่ผมกลัวมาก จนไม่เข้าไปยุ่งเลยก็คือ
ผมกลัวราคาหุ้น ที่ขึ้นเกินความรู้ ความสามารถของตัวเอง
ราคาหุ้นตรงบริเวณที่กลัวมากนี้ มักจะต้องมีเจ้ามือเข้ามาทำราคา
ไม่ว่าจะอ้างอิงสวยหรูอย่างไรก็ตาม สุดท้ายจะลงเอ่ยที่การทำราคาหุ้น
เพื่อให้คนเข้าไปร่วมด้วยช่วยปั่นทุกคนเชื่อว่า
จะไม่เป็นคนสุดท้าย ที่ถือหุ้นตัวนั้นไว้ ในราคาที่ไปต่อไม่ได้แล้ว
ราคาหุ้นแบบซื้อกันที่ราคาอนาคต เพื่อรอผลประกอบในอนาคต
จะมีคนคอยตั้งราคาเป้าหมาย เพื่อปลุกเร้าให้คนที่เสพสื่อ
เข้าซื้อก่อนถึงราคาเป้าหมาย
ต้องทำให้คนเห็นว่า อนาคตมันดีอย่างโน้น ดีอย่างนี้
ซื้อตอนนี้ไม่แพงหรอก เดี๋ยวมันก็ถูกเอง
ราคามันจะขึ้นไปแค่ไหน ก็จะนั่งมองตาปริบๆ
เพราะกำหนดความสามารถของตัวเองไว้แล้วว่า
เป็นคนที่มองอนาคตของบริษัทไม่ค่อยเป็น
เราจะนั่งมองราคาหุ้นขึ้นเอา ขึ้นเอา เฉยๆได้
เราต้องไม่อ่าน ฟัง ดู ข่าวเชียร์หุ้นตัวนั้น
ไม่ว่าจะผ่านสือทางไหน
และจะต้องไม่เปรียบเทียบว่า
ทำไมคนเล่นแบบนั้น เขากำไร ทำไมเราไม่ได้กำไร
ให้ถือซะว่า เราไม่มีความสามารถจะทำแบบนั้น
ไม่สามารถรับแรงกดดันจากความเครียด
ที่จะถาโถมเข้ามา จนเราเสียสุขภาพจิต
โดยทั่วไป ผมจะเปรียบเทียบผลตอบแทนจากหุ้นที่ผมถือ
กับผลตอบแทนจากการอยู่เฉยๆโดยไม่ต้องเสี่ยง (ฝากธนาคาร)
ไม่เอาไปเปรียบเทียบกับ set index mai ผลสำเร็จในการลงทุนของคนอื่นๆ
ไม่ว่าจะเป็นแนวทางเดียวกัน หรือคนละแนวทาง
๒ กลัวที่สุดคือ
หุ้นที่เจ้าของไม่โปร่งใส
ผมจะกลัวมากๆ เพราะเจ้ามือตัวจริงที่นั่งทำงานอยู่ในบริษัทจดทะเบียน
เป็นคนเดียว หรือพวกเดียวในตลาดหุ้น
ที่สามารถทำได้ทั้ง
หุ้นเน่าๆ และราคาหุ้นเน่าๆ
ไม่เคยกลัวเจ้ามิอแต๊กส์ด่วนในตลาดหุ้น ที่ไม่มีเจ้ามือตัวจริงคอยให้ท้าย
แต่ถ้าเจ้ามือตัวจริง ลงมาร่วมด้วยช่วยปั่น หรือลงมาเป็นเจ้ามือแด็กส์ด่วนซะเอง
จะโลภแค่ไหนกับราคาหุ้น ก็จะไม่ซื้อโดยเด็ดขาด
การแตกพาร์หรือการพิมพ์ธนบ้ตรออกมาใช้เองผ่านวอร์แรนท์
โดยไม่มีเหตุผล ไม่มีราคาใช้สิทธิ์ที่จะได้เงินเข้าบริษัทมากๆ
ผมถือว่า เจ้ามือตัวจริงกำลังร่วมด้วยช่วยปั่นหุ้น หรือไม่ก็ลงมือปั่นซะเอง
เจ้ามือแด็กส์ด่วนที่ไม่มีเจ้ามือตัวจริงคอยหนุนหลัง
ทำได้แค่ ราคาหุ้นดีๆ ราคาหุ้นเน่าๆ เท่านั้น
ทำให้ผลประกอบการของบริษัทเน่าไม่ได้
๓ กลัวอะไรดี นึกไม่ออกครับ ฮาฮา
ผมขอสรุปเอาตามนี้ก็แล้ว
ผมจะควบคุม ความโลภและความกลัว ไม่ให้เกินความรู้ ความสามารถของตัวเอง
ไม่ไปเปรียบเทียบกับความสำเร็จของคนอื่นที่เก่งกว่าเรา
จนไม่มีความพึงพอใจในแนวทางการลงทุนของตัวเอง
จะทำได้หรือไม่ได้ ให้นึกไปถึงคำสอนที่ท่านพระอาจารย์ชาเคยสอนไว้ครับ