หลังจากจบโอลิมปิก 2012 เว่ยชิวเย่วมีแผนคิดจะเลิกเล่นวอลเลย์บอล
ปีนั้นก่อนการแข่งขันลีกจีนจะเริ่ม เธอก็ได้ปรึกษาตกลงกับสโมสรเทียนจินต้นสังกัดเป็นที่เรียบร้อยแล้วว่าจะเล่นไปจนถึงกีฬาแห่งชาติจีนในปีถัดไป จากนั้นก็จะให้เธอได้ออกไปเล่นต่างประเทศ เว่ยชิวเย่วคิดจะใช้วิธีการแบบนี้ค่อยๆเฟดตัวเองออกมา
ซึ่งทุกอย่างก็ดำเนินไปด้วยดีตามที่ได้วางแผนไว้ แต่แล้วจู่ๆก็มีข่าวว่าหลางผิงจะมาเป็นโค้ชทีมชาติคนใหม่ในรอบโอลิมปิกที่ริโอ
ทำให้เว่ยชิวเย่วจิตใจเริ่มหวั่นไหว
“นักวอลเลย์ทุกคนต่างใฝ่ฝันอยากให้โค้ชหลางมาเป็นโค้ช แต่ก็คิดไม่ถึงว่าโค้ชหลางจะมาเป็นโค้ชทีมชาติในช่วงเวลาเช่นนี้
พอได้ยินข่าวโค้ชหลางจะมาคุมทีมชาติ ก็จุดประกายความหวังของฉันขึ้นมา”
จากเดิมที่เตรียมใจพร้อมสำหรับการเลิกเล่นวอลเลย์มาเป็นขอเล่นต่ออีก 4 ปี
“ฉันเองก็ไม่อยากเชื่อว่าในชั่วระยะเวลาสั้นๆจะตัดสินใจพลิกผันมากขนาดนี้ แต่เรื่องจริงก็คือนับแต่ฉันได้ยินข่าวโค้ชหลางคุมทีมชาติ
ใจฉันก็คิดอยากจะขอเริ่มต้นใหม่อีกสักครั้ง” เว่ยชิวเย่วผู้ผ่านโอลิมปิกมาแล้ว 2 ครั้ง แต่อยากขอโอกาสที่จะลบล้างความผิดหวังอีกครั้ง
ปีแรกที่โค้ชหลางคุมทีมชาติเว่ยชิวเย่วไม่มีชื่อเรียกติดแคมป์ทีมชาติ ความหวังที่คุโชนกับความจริงที่เจ็บปวด
“ไม่ใช่ว่าฉันรับมันไม่ได้ รู้ว่าทีมชาติต้องการสร้างผู้เล่นดาวรุ่ง และอาการบาดเจ็บของฉันก็ยังมีอยู่ โค้ชหลางกังวลก็เป็นเรื่องถูกต้องแล้ว แต่มาเกิดขึ้นเอาตอนที่ฉันคิดอยากติดทีมชาติแต่ไม่มีชื่อติด รู้สึกปวดใจจริงๆ ”
คนในครอบครัว เพื่อนๆ และยังมี 4 พี่น้องที่เคยผ่านโอลิมปิกที่ลอนดอนมาด้วยกันต่างก็เข้ามาพูดปลอบใจเธอ แต่เห็นเธอไม่ได้ร้องไห้ เมื่อพูดถึงเรื่องทีมชาติก็ทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไร แต่พวกเขาก็ยังอดรู้สึกเป็นห่วงเธอไม่ได้
เธอคนเดียวแอบไปโรงหนังดูหนังเรื่อง 《 致青春 So Young 》 ที่กำลังดังอยู่ในตอนนั้น ดูไปก็ร้องไห้ไป พลอยให้คิดถึงตัวเอง
เธอไม่รู้ว่าการที่ไม่มีชื่อติดทีมชาติจะเท่ากับว่าชีวิตการเป็นนักวอลเลย์ของเธอจบสิ้นลงด้วยใช่หรือไม่ ?
เธอคิดหลีกหนีไม่อยากรับรู้ข่าวคราวเกี่ยวกับทีมชาติ แต่ก็ห้ามใจตัวเองไม่ได้ อักษรแต่ละตัวเป็นเหมือนเข็มทิ่มแทงใจ
เจิงชุนเหล่ยสวมเสื้อหมายเลข 8 นี้มา 4 ปี ที่แท้หมายเลข 8 ที่เป็นกัปตันทีมถูกย้ายไปอยู่ที่หมายเลข 4 ฮุ่ยรั่วฉี
“พอเห็นภาพแล้วก็อดหวนนึกถึงอดีตไม่ได้ เห็นบทความพวกนี้แล้ว ให้รู้สึกอิจฉาพวกเธอจริงๆ มโนว่าถ้าเป็นตัวเองอยู่ในสนามบ้างจะมีท่าทางเป็นยังไงนะ” เว่ยชิวเย่วเป็นคนจิตใจอ่อนไหว แต่ก็น้อยครั้งที่เธอจะพูดถึงความรู้สึกที่อยู่ในใจออกมา
“ฉันเสียใจมาก พ่อแม่และเพื่อนฝูงต่างก็รู้ดี แต่น้อยครั้งมากที่ฉันจะพูดระบายให้พวกเขาฟัง ส่วนใหญ่แล้วจะปล่อยให้มลายหายไปเอง
ในใจคิดว่านี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ต้องรับมันให้ได้ ฉันไม่อยากให้คนอื่นเห็นด้านที่อ่อนแอของฉัน เพราะฉะนั้น .....”
เพราะฉะนั้น แม้จะอยู่ต่อหน้าพ่อแม่ เธอก็แสร้งทำทีว่าตัวเองเข้มแข็ง
หลังจบกีฬาแห่งชาติจีน เว่ยชิวเย่วก็เก็บกระเป๋าเตรียมตัวไปเล่นที่อาเซอร์ไบจัน
“ก่อนหน้านั้นฉันฝันมาตลอดว่าอยากออกไปเล่นต่างประเทศ เหตุผลสำคัญคืออยากไปเห็นลีกต่างประเทศ ส่วนจะได้เล่นหรือไม่ จะเล่นได้ดีหรือเปล่าถือเป็นเรื่องรอง คือถ้าไม่มีโอกาสได้ไปเปิดหูเปิดตา ก็รู้สึกว่าชีวิตนักวอลเลย์เราดูจะขาดอะไรไป”
จนเมื่อถึงตอนออกเดินทางไปจริงๆ ในใจเธอกลับคิดมากกว่าที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก
“เป็นเพราะคิดอยากจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แต่กลับไม่มีชื่อติดทีมชาติ ดังนั้นจึงคิดอยากแสดงความสามารถของตัวเองให้โค้ชหลางได้ประจักษ์ แต่นี่ก็เป็นเรื่องท้าทายสำหรับฉันเป็นอย่างมาก “
ตอนที่เพิ่งมาถึงอาเซอร์ไบจัน เว่ยชิวเย่วตั้งใจอยากปะทะฝีมือในเวทียุโรป แต่ไม่นานเธอก็พบว่า ”พระจันทร์ที่เมืองนอก ก็ไม่ได้กลมเหมือนอย่างที่คิดไว้” โดยเฉพาะเมื่อทีมของเธอไม่สามารถเข้ารอบถ้วยยุโรปได้ เจ้าของสโมสรละเมิดสัญญา ทำให้เธอรู้ว่าบากูไม่ใช่ที่ที่เธอจะอยู่ได้นาน
ช่วงเทศกาลคริสมาสต์หยุดพักการแข่งขันเธอเดินทางกลับประเทศและก็ไม่กลับไปอาเซอร์ไบจันอีก สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคน
“กลับมาเทียนจิน ครั้งแรกที่ฉันเข้าไปสนามดูการแข่งขันลีกจีน ยังสวมสเว็ตเตอร์เหมือนๆกับคนดู นัดที่สองก็ไปดูอีกคราวนี้ได้ลงไปพูดคุย ตอนนั้นสโมสรเทียนจินกำลังประสบปัญหาหนัก โค้ชหวางและผู้บริหารต่างก็หวังให้ฉันกลับมาช่วยพาทีมฝ่าพ้นวิกฤติ
จึงตัดสินใจทันที ขอยกเลิกสัญญากับทางอาเซอร์ไบจัน และลงทะเบียนนักกีฬากับสมาคมวอลเลย์จีน ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมากเหมือนว่ากำลังฝันอยู่ “
ก่อนที่จะมาเล่นให้กับเทียนจินอีกครั้ง ไม่รู้ว่ามีอะไรมากระตุ้น ที่เก็บอั้นในใจมา 8 เดือนในที่สุดเว่ยชิวเย่วก็ปลุกความกล้าส่งข้อความไปหาโค้ชหลาง นี่เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ไม่ติดทีมชาติที่เธอบอกถึงความปรารถนาอยากเล่นทีมชาติให้โค้ชหลางรับรู้
“ก่อนหน้านั้นตอนที่นักข่าวมาสัมภาษณ์ฉันเคยพูดว่าอยากจะทำอะไรเพื่อทีมชาติ แต่ก็ยังไม่เคยพูดกับโค้ชหลางตรงๆ”
เพื่อนๆก็พูดชวนฉันตลอดว่าให้ติดต่อไป บอกว่าจะกลัวไปทำไม ? ถามโค้ชหลางตรงๆไปเลยว่าทำไมไม่เรียกเธอ?
แต่ฉันคิดว่านั่นมันไม่ใช่วิธีในแบบของฉัน ฉันอยากจะใช้ความสามารถที่มีของตัวเองแสดงให้โค้ชหลางเห็น”
เว่ยชิวเย่วได้รับข้อความตอบกลับจากโค้ชหลางอย่างรวดเร็ว เธอบอกว่าโค้ชหลางให้กำลังใจฉัน ทำให้เธอรู้สึกมีความมั่นใจในการพยายามขอพิสูจน์ตัวเอง
ช่วงนั้นรู้สึกอึดอัดมาก ฉันรู้ว่าแฟนวอลเลย์หวังดีต่อฉัน ให้การสนับสนุนฉัน แต่นั่นก็ทำให้ฉันไม่รู้จะวางตัวยังไงเมื่ออยู่ต่อหน้าโค้ชหลาง
เมื่อโค้ชหลางคุมสโมสรเหิงต้าเดินทางมาแข่งที่เทียนจินวันนั้น
“ก่อนแข่งฉันเดินเข้าไปสวัสดีทักทายโค้ชหลาง จริงๆมีคำพูดมากมายที่อยากจะพูด แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร อย่างไร เพื่อให้คลายบรรยากาศอึดอัด ”
เจอหน้าโค้ชหลาง เว่ยชิวเย่วทำอะไรไม่ถูก “ แต่แม่ฉันกลับมีท่าทีสบายๆ แม่ฉันเป็นแฟนคลับโค้ชหลางตัวยง นับตั้งแต่โค้ชหลางพาเหิงต้าขึ้นมาเล่นลีกสูงสุด ทุกปีที่มาเยือนเทียนจินแม่ฉันต้องแต่งหน้าทำผมเต็มที่เพื่อมาเจอหน้าโค้ชหลาง แม่บอกว่าเธอก็ส่วนเธอ ฉันก็ส่วนฉัน โค้ชหลางมาทั้งทีฉันต้องตามกรี๊ดสักหน่อย”
พูดถึงความชื่นชอบที่แม่มีต่อโค้ชหลาง เว่ยชิวเย่วพูดเสริมว่า ปีที่ส่งเธอไปเรียนวอลเลย์นั้น ก็เพราะว่าแม่ชอบโค้ชหลางมาก โค้ชโรงเรียนกีฬาจับเธอมาฝึกเล่นเป็นมือเซ็ต ปฏิกิริยาแรกของแม่ฉันคือ ทำไมไม่เล่นเป็นตัวตบหัวเสา ?
ในห้องแถลงข่าวหลังจบการแข่งขันลีกในวันนั้น สื่อเทียนจินถามโค้ชหลางว่าคิดจะเรียกเว่ยชิวเย่วหวนกลับทีมชาติหรือไม่ ?
หลางผิงพูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง “แฟนวอลเลย์ก็มีความคิดของแฟนวอลเลย์ ทีมชาติก็มีความต้องการของทีมชาติ” สร้างกระแสฮือฮาให้ผู้คนเก็บไปคิด เว่ยชิวเย่วคิดทบทวนกลับไปกลับมาถึงความหมายที่อยู่ในคำพูดนั้น
เผลอแป๊ปเดียวก็ถึงเดือนมีนาคม ลีกจีนเข้าสู่ช่วงท้ายของการแข่งขัน
อาทิตย์ก่อนนัดชิงแชมป์ลีก เว่ยชิวเย่วกับเพื่อนไปทานอาหารกัน ขณะที่ทุกคนกำลังคุยกันออกรส มือถือของเว่ยชิวเย่วก็ดังขึ้น
เธอเหลือบไปมอง เป็นข้อความจากโค้ชหลาง !
“ฉันคิดว่าคงจะเป็นเรื่องดี รู้สึกใจเต้นแรง โค้ชหลางบอกให้ฉันโทรกลับเมื่อสะดวก ฉันรีบโทรกลับหาโค้ชหลาง
จนถึงตอนนี้เว่ยชิวเย่วยังจำรายละเอียดต่างๆที่เกิดขึ้นในตอนนั้นได้ โค้ชหลางถามฉันว่าช่วงนี้เป็นยังไงบ้าง ?
การบาดเจ็บเป็นยังไงแล้วบ้าง ? ต่อไปคิดอ่านยังไงต่อ
ฉันบอกเล่าสภาพการบาดเจ็บ จากนั้นก็พูดอย่างอ่อนน้อมและจริงจังว่าฉันอยากจะเล่นวอลเลย์ต่อ อยากจะเล่นทีมชาติ ครั้งก่อนส่งเป็นข้อความ มาครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้พูดกับโค้ชหลางถึงความปรารถนาของฉัน
แต่โค้ชหลางไม่ได้ตอบฉันตรงๆ เธอบอกแต่เพียงว่าแคมป์ทีมชาติปีนี้จะมีนักกายภาพบำบัดชาวอเมริกันมาร่วมทีมด้วย และมั่นใจว่าจะช่วยฉันในเรื่องการควบคุมดูแลบาดเจ็บได้
เว่ยชิวเย่วมั่นใจว่าเข้าใจความหมายที่โค้ชหลางต้องการสื่อ เธอรีบโทรศัพท์ไปหาพ่อแม่ บอกพวกท่านว่าระยะเวลาอันยาวนานที่ผ่านมากับการที่ไม่ย่อท้อยอมแพ้ และแล้วโค้ชหลางก็เห็นฝีมือของตัวเองแล้ว !!
** ยังมีต่อ
[บทความ] เว่ยชิวเย่ว : ปี 2014 บทพิสูจน์ตัวเอง
ทำให้เว่ยชิวเย่วจิตใจเริ่มหวั่นไหว
พอได้ยินข่าวโค้ชหลางจะมาคุมทีมชาติ ก็จุดประกายความหวังของฉันขึ้นมา”
ใจฉันก็คิดอยากจะขอเริ่มต้นใหม่อีกสักครั้ง” เว่ยชิวเย่วผู้ผ่านโอลิมปิกมาแล้ว 2 ครั้ง แต่อยากขอโอกาสที่จะลบล้างความผิดหวังอีกครั้ง
เธอไม่รู้ว่าการที่ไม่มีชื่อติดทีมชาติจะเท่ากับว่าชีวิตการเป็นนักวอลเลย์ของเธอจบสิ้นลงด้วยใช่หรือไม่ ?
เจิงชุนเหล่ยสวมเสื้อหมายเลข 8 นี้มา 4 ปี ที่แท้หมายเลข 8 ที่เป็นกัปตันทีมถูกย้ายไปอยู่ที่หมายเลข 4 ฮุ่ยรั่วฉี
ในใจคิดว่านี่คือเรื่องจริงที่เกิดขึ้น ต้องรับมันให้ได้ ฉันไม่อยากให้คนอื่นเห็นด้านที่อ่อนแอของฉัน เพราะฉะนั้น .....”
“เป็นเพราะคิดอยากจะเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง แต่กลับไม่มีชื่อติดทีมชาติ ดังนั้นจึงคิดอยากแสดงความสามารถของตัวเองให้โค้ชหลางได้ประจักษ์ แต่นี่ก็เป็นเรื่องท้าทายสำหรับฉันเป็นอย่างมาก “
เพื่อนๆก็พูดชวนฉันตลอดว่าให้ติดต่อไป บอกว่าจะกลัวไปทำไม ? ถามโค้ชหลางตรงๆไปเลยว่าทำไมไม่เรียกเธอ?
หลางผิงพูดขึ้นมาประโยคหนึ่ง “แฟนวอลเลย์ก็มีความคิดของแฟนวอลเลย์ ทีมชาติก็มีความต้องการของทีมชาติ” สร้างกระแสฮือฮาให้ผู้คนเก็บไปคิด เว่ยชิวเย่วคิดทบทวนกลับไปกลับมาถึงความหมายที่อยู่ในคำพูดนั้น
อาทิตย์ก่อนนัดชิงแชมป์ลีก เว่ยชิวเย่วกับเพื่อนไปทานอาหารกัน ขณะที่ทุกคนกำลังคุยกันออกรส มือถือของเว่ยชิวเย่วก็ดังขึ้น
เธอเหลือบไปมอง เป็นข้อความจากโค้ชหลาง !
การบาดเจ็บเป็นยังไงแล้วบ้าง ? ต่อไปคิดอ่านยังไงต่อ
** ยังมีต่อ