เลือกเป็น single mom เมื่อตั้งครรภ์ได้ 35 สัปดาห์ เพราะสามีเห็นแก่ตัวหรือเราคิดไปเอง

สามีอายุมากกว่าดิฉัน 8 ปี ดิฉันจัดอยู่ในประเภทสวย น่ารัก เซ็กซี่ มีครบหมด แท้ทั้งตัว ส่วนสามี หล่อ ขาว สูง ดูดีมากเช่นกัน เชื้อสายจีน 100 % เราลูกคนเล็กทั้งคู่ค่ะ
การศึกษาปริญญาตรีทั้งคู่ ณ ตอนคบกัน แฟนทำงาน แต่ดิฉันตกงาน ต่างคนต่างอยู่บ้านใครบ้านมัน
เราคบกัน ศึกษานิสัยกันได้ไม่นาน ก็ตกลงเป็นแฟน เพราะต่างฝ่ายต่างพอใจซึ่งกันและกันมาก มองว่าเหมาะสมกัน อาจเป็นเพราะทั้งหลง และทั้งรักกัน และคิดว่าโตแล้ว จึงตัดสินใจมีอะรัยกัน ครั้งแรกที่มี ฝ่ายชายบอกอยากมีครอบครัว อยากมีลูก และขอมีลูก นั้นหมายถึงการมีอะรัยแบบไม่ต้องป้องกัน  เราอึ้ง ตกใจ แต่ก็แอบดีใจ เพราะเค้าก็มีโอกาสเลือกผู้หญิงคนอื่นที่ดีกว่า เพราะฐานะครอบครัวเค้าดีกว่า การงานเค้าดีกว่า ด้วยความรักและศรัทธา เราเชื่อมั่นในตัวเค้าจริงๆค่ะ เหมือนคนโง่หรือป่าวไม่ทราบ ยอมเททั้งตัวและใจ แบบว่า เอาว่ะ อะรัยจะเกิดก็ให้มันเกิด เพราะตัวเองก็อยากมีครอบครัว อยากมีคนรัก อยากมีลูก เช่นกัน เรามีอะรัยกันเรื่อยมา เจอกันเฉพาะวันหยุดของสามี กิจกรรมระหว่างเจอกัน คือ ทานข้าว ดูหนัง ไปเดินดูของ ซื้อของฝาก ฝากในที่นี่คือฝากไปให้บ้านเค้านะค่ะ เค้าขอให้ซื้อฝากเลย ไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ รวมถึงทำบุญ เที่ยววัดตามโอกาส และจบด้วยการมีอะรัยกันแทบทุกครั้ง ค่าใช้จ่ายทั้งหมดดิฉันเป็นคนออกไม่มีการแชร์ เหตุเพราะดิฉันรับทราบว่าแฟนเงินเดือนชนเดือนไม่พอใช้ กับเค้าจะขอเงินจ่ายโน้นนี่แบบไม่อายเลย ไม่เคยถามว่ามีเงินมัย เหมือนคิดว่ามีเงินตลอดเวลา ซึ่งจริงๆ ก็เอือมระอาในใจ อยากเลิกอยู่หลายครั้ง หลังจากมีอะรัยกันไปแล้ว จึงจำใจและยิ่งมารู้ว่าท้องยิ่งเก็บความกล่ำกลืน ฝืนทนไว้ ปกติดิฉันเป็นคนแฟร์ๆ สบายๆ เรื่องเงิน ไม่เอาเปรียบใคร และออดแนวเสียสละด้วยซ้ำ การใช้เงินเป็นแบบนี้เรื่อยมาจนถึงวันที่ดิฉันท้องได้ 35 สัปดาห์  ในช่วงแรกๆ ดิฉันแอบทานยาคุมฉุกเฉินไป 4 -5 ครั้งได้ ( ดิฉันไม่เคยทานยาคุมรายเดือนเลยค่ะตั้งแต่เกิดมาจนถึงปัจจุบัน ฉุกเฉินก็แทบไม่มี กับสามีคนนี้มากสุดแล้วค่ะ ) จนแฟนทราบเรื่องและบอกว่าหากลูกในท้องเป็นอะรัยดิฉันต้องรับผิดชอบ นั้นหมายถึงการเลิก โดยที่ดิฉันต้องเลี้ยงลูกคนเดียวถ้าเค้ามีโอกาสเกิดมาและไม่ปกติ  ดิฉันจึงตัดสินใจปล่อยไปตามธรรมชาติ 3 เดือนนับจากนั้น  ดิฉันก็ตั้งครรภ์ คือเกิดการปฏิสนธิ ในวันไข่ตกพอดี แต่มารู้ตัวว่าท้อง เมื่ออายุครรภ์ได้ 9 สัปดาห์ ( รู้เร็วเหมือนกัน ประมาณ 2 เดือน ) ด้วยการทดสอบเอง และไปคลินิกเพื่อตรวจซ้ำและฝากครรภ์ พร้อมกับบอกสามีว่าท้องจะเอาอย่างรัยต่อ เริ่มกลัว แต่สามีก็ยังเป็นคนดี บอกลูกเกิดจากความรักอย่าเอาออก เรารักกัน เราจะช่วยกันดูแล โน้นนี่นั้น สารพัด ดิฉันก็มีความสุขสิค่ะทีนี้ แต่ยังต้องกุมความลับไว้ ยังไม่บอกครอบครัว เพราะตกลงกับสามีว่าจะมาขอขมา ผ่านมา 2 เดือน จึงได้ฤกษ์ขอขมาซึ่งคิดว่าเป็นวันที่ดีทีสุด ดีมากๆๆๆๆๆ  ( อายุครรภ์ประมาณ 16 สัปดาห์ หรือ 4 เดือนแล้ว ถ้าคิดจะเอาออกคงไม่ทัน แต่ไม่คิดจะเอาออกอยู่แล้ว ) ก่อนที่จะขอขมา ดิฉันก็บอกกล่าวกับที่บ้านล่วงหน้า ประมาณ 2 สัปดาห์ เพื่อเตรียมสถานที่ เตรียมงานเล็กๆ แต่ยังไม่ได้บอกว่าท้อง กะเก็บเงียบกลัวโดนด่า ส่วนทางครอบครัวสามีทราบตั้งแต่วันแรกที่รู้ว่าตั้งครรภ์ หลังจากนั้นแม่สามีก็มาแวะเวียนบ้านดิฉัน 4 ครั้ง ก่อนถึงวันขอขมา ส่วนสามีมาบ้านดิฉันประจำอยู่แล้ว ตั้งแต่เริ่มคบกัน เงินขอขมาที่สามีจะนำมาคือ เงิน 50000 ทอง 3 บาทค่ะ แม่ไม่เรียกอะรัยเลย คือออกแนวชอบลูกเขยด้วย ณ ตอนนั้น กับดิฉันถามสามีว่ามีเท่าหรัย มีเท่านี้ก็มาเท่านี้ไม่อยากให้เป็นหนี้ ถ้าตีเป็นมูลค่าก็แสนต้น เท่านั้น แต่สามีจะขอทองคืน โดยให้เหตุผลว่าเก็บไว้ดูแลดิฉันที่ตกงาน และดูแลลูก ดิฉันก็ไม่พูด พอถึงคืนก่อนเช้าที่จะขอขมา แม่ดิฉันโทรไปคุยกับแม่สามี ว่าทองคงไม่คืนนะ ประเพณีคนไทยเค้าไม่คืนกันหรอก แม่ว่างั้น กับอีกอย่างที่มาพูดคืนก่อนขอขมา ก็เพราะดิฉันเพิ่งเปิดใจบอกแม่กับคนในครอบครัวว่าท้องและแม่ก็เค้นเอาความจริงด้วย และบอกว่าแฟนจะขอทองคืน ที่นี่ก็เป็นเรื่องค่ะ แม่สามีตัดสายทิ้งไม่คุยต่อ พอเช้าวันขอขมา สามีก็ไม่มา แม่สามีก็ไม่มา มีแต่ส่งข้อความมาคุยกับดิฉัน เพราะดิฉันถูกกดดันจนไม่อยากคุยโทรศัพท์ เพราะคุยยังงัยเค้าก็ไม่มา ในขณะที่ครอบครัวฝั่งดิฉันมาพร้อมเพรียงกันหมด เปรียบเสมือนงานวิวาห์ล่ม หลังจากนั้นก็มีปัญหากันตลอดระหว่างดิฉันกับสามี ดิฉันกับครอบครัวดิฉัน เหตุเพราะครอบครัวดิฉันให้เลิกเลยค่ะ เพราะรู้สึกว่าผู้ชายไม่ให้เกียรติ แค่จะมาคุยก็ไม่มา เงินไม่มีไม่เป็นรัย มาหาทางออกร่วมกันก็ไม่มา แต่ดิฉันท้องจึงไม่อยากเลิก พยายามช่วยแก้ต่างแทนฝั่งของสามีมาตลอด ส่วนสามีก็ไม่เอ่ยถึงเรื่องขอขมาอีก และไม่มาพูดมาขอโทษ มาคุย อะรัยเลยกับที่บ้าน และก็ไม่กล้าเข้าออกบ้านดิฉันอีก ถ้าจะมาหาดิฉันก็มารับนอกบ้านค่ะ บ้านดิฉันพี่ชาย แม่ ก็เกลียดถึงขนาดห้ามไม่ให้เข้ามาเหยียบ แต่บ้านดิฉันปากร้ายใจดี ด้วยความไม่อยากเลิก ปัญหากับครอบครัวดิฉันกับแม่จึงมากขึ้น เพราะแรงกดดันต่างๆ นานา มีการทะเลาะ ถกเถียง บ่อยมากจริงๆ บ่อยนี่คืออาจะแทบทุกวันเลยก็ว่าได้ ดิฉันก้มหน้ารับชะตากรรม เพราะกลายเป็นสร้างความอับอายให้ที่บ้าน แต่ถ้าดิฉันยอมเลิกทุกอย่างจะจบ เพราะทุกคนก็ยินดีที่จะมีหลาน ยินดีเลี้ยงหลานแต่ไม่เอาพ่อว่างั้นเถอะ จนวันนึงดิฉันก็ทนแรงกดดันไม่ไหวตัดสินใจไปอยู่บ้านแม่สามีเมื่ออายุครรภ์ได้ 30 สัปดาห์ หรือ 7 เดือนกว่าๆ อยู่ได้แค่ 1 เดือน กลับบ้านมาหาแม่ ตอนอายุครรภ์ 35 สัปดาห์ก็มีเหตุการณ์ให้ตัดสินใจไม่กลับไปอีก คือ แม่แฟนพูดแทรกเข้าโทรศัพท์ในวันที่สามีเงินเดือนออกว่า เรื่องเงินอย่าให้ดิฉันรู้มากนัก คือแม่สามีอาจจะไม่รู้ว่าเรากำลังติดสาย เลยปรี๊ดแตกเลยค่ะ ถามว่าทำไมจึงปรี๊ดแตก
1. ระหว่างที่คบกันเป็นแฟน ท้องจน 35 สัปดาห์ และกลับมาหาแม่  จนฟ้าประทานให้ได้ยินคำว่าอย่าให้ดิฉันรับรู้เรื่องเงิน เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาไม่ว่าจะค่ากิน ค่าเที่ยว ดูหนัง ทำบุญ ค่าหมอ ค่าตรวจตั้งครรภ์  ค่าเดินทาง ดิฉันจ่ายเองทั้งหมด ในกรณีที่ไปสองคนกับสามี หรือไปสามคนกับแม่สามี  จ่ายหมด เพราะสามีบอกเงินเดือนชนเดือน ถามว่าดิฉันเอาเงินมาจากไหนทั้งที่ไม่มีงานทำ มาจากหลายทางค่ะ เงินชดเชยขาดรายได้ เงินเดือนที่ทำงานเก่าค้าง เงินที่มีคนเวทนาเห็นใจส่งให้ใช้ทุกเดือน เงินเก็บ เงินที่แม่ให้ พ่อให้ พี่ให้ แต่ดิฉันไม่เคยเอ่ยขอนะค่ะ ไม่กล้าเอ่ยขอเลย แต่อาจเพราะเราเป็นน้องคนเล็กและทุกคนเห็นว่าตกงานและท้อง ในขณะที่ดิฉันก็สร้างภาพว่าสามีให้ใช้ทุกเดือน จ่ายค่าหมอ ค่ากิน ให้
2.สามี และครอบครัวไม่ได้มาขอขมา ซึ่งสามีมีทอง 3 บาท กับเงิน 50000 จริง ฝากไว้กับแม่เค้า ไม่ใช่ไม่มี ที่มีได้ เพราะเป็นของเก่า สมัยทำงานที่เก่าที่มีรายได้เยอะกว่า ตอนแรกดิฉันก็พยายามคิดว่า เค้าอาจจะมีไม่ไพอจึงไม่กล้ามาขอ แต่สุดท้ายดิฉันคิดผิด
3.การที่ไปอยู่บ้านแม่สามี มันก็อึดอัดมากพออยู่แล้ว แล้วยิ่งไปอยู่ในสภาพที่ท้อง 7 เดือน ถึง 8 เดือน นี่ทรมาณที่สุด กับการผิดใจกับครอบครัวตัวเองแล้วหนีมาอยู่กับสามี กับการที่สามียังไม่ช่วยค่าใช้จ่าย ให้รอกินกับแม่เค้า ไปหาหมอก็ยังจ่ายเองอยู่ อยู่บ้านสามี 1 เดือน ไปหาหมอ 2 ครั้ง
4.สามีบอกว่าจะพร้อมดูแลฉันจริงๆ ตอนอายุครรภ์ครบ 8 เดือน แต่ดิฉันไปอยู่ก่อน 1 เดือน เหตุที่พร้อมดูแลตอน  8 เดือน เพราะ สามีสมัครงานที่ใหม่แล้วได้ ซึ่งได้เงินเดือนเยอะขึ้นกว่าเดิมมาก และได้หยุดเสาร์อาทิตย์มีเวลาดูแลลูกกับภรรยา ดิฉันก็ยอมทน รอ รอ รอ และดูแลตัวเอง
5.ดิฉันบอกสามีว่าจะให้สามีจ่ายค่าคลอดให้ แล้วตัวดิฉันจะเป็นฝ่ายเบิกประกันสังคม เพราะได้เงินคืนเยอะกว่า แล้วจะมอบเงินนั้นให้แม่ เงินนั้นราวๆ 20000 เพื่อความสบายใจของดิฉัน เพราะช่วงตั้งครรภ์ดิฉันไม่เคยได้รับเงินจากสามีเลย มีแต่แม่คอยช่วยให้ค่ากิน ค่าหมอด้วยบางครั้ง ค่าชุดคลุมท้อง สารพัด จิปาทะ เมื่อฉันไม่พอ แต่ถ้าให้คราวว่าไม่เคยได้รับเลยหรือ บอกตรงๆว่าไม่เคยได้รับเป็นเงินสดๆ อย่างมากก็ของทานเล็กน้อย พวกน้ำ ขนม รวมมุลค่าไม่เกิน 1000 บาทและไม่เคยซื้อของมาฝากไม่ว่าจะของกิน ของใช้ เว้นเสียแต่เค้าจะเสียค่าเติมน้ำมัน ขับรถมาหาดิฉันกับลูกในท้อง หรือแม้กระทั่งค่าทางด่วน ดิฉันก็ตีกลับคืนให้ ค่าปรับความเร็วที่เค้าขับรถมาหา  ดิฉันก็ต้องจ่ายคืนให้ เค้าขอเลย แถมยังให้เงินติดกระเป๋าในขากลับ ยังกะจ้างสามี ไหนจะโอนให้ใช้ในช่วงที่สามีเงินชอร์ตและมันชอร์ตทุกเดือน ตั้งแต่แรกๆที่รู้จักกัน ไม่ชอร์ตแค่ 1 เดือนก่อนดิฉันไปอยู่บ้านแม่สามี คือมีเงินเก็บแต่เก็บตายไม่ยอมใช้ แต่มาขอกับดิฉัน แล้วก็ไม่ยอมบอกกับที่บ้านตัวเองอีก
6.ดิฉันบอกเค้าว่าเค้าไม่เคยเสียเงินกับดิฉันเลยนะ มีแต่แม่ เค้าบอกว่า แม่ให้ลูกเป็นเรื่องธรรมดา มันอาจจะใช่ถ้าลูกยังไม่มีสามี แต่นี่ฉันมีสามีจนท้องแล้วนะ
7.เมื่อคุยเรื่องขอขมา ว่าถ้ามีโอกาสในวันข้างหน้า ขอให้เค้ากลับมาทำให้ เพื่อที่สองครอบครัวจะได้เข้ากันได้ และดิฉันจะได้ไม่กดดันอีก เค้าบอกมันผ่านมาแล้วจะกลับไปทำทำไม ถ้าอยากทำก็จะพูดในทำนองว่าต้องเป็นเงินฉันเอง เพราะให้แม่ตัวเอง ประมาณว่าเอาเงินมาแต่งตัวเองนะแหละ พูดไปพูดมา เค้าว่าบ้านดิฉันเอาแต่ได้ หน้าเงิน บลาๆ  

***แฟนมีภาระส่งงวดรถยนต์รายเดือน ค่าประกันชีวิตราย 3 เดือน ค่าภาษี ประกันภัย รถยนต์ รถมอเตอร์ไซด์รายปี ค่าบำรุงรักษารถยนต์ รถมอเตอร์ไซด์ ซึ่งรถเค้าต้องพร้อมตลอดเวลา ค่ากินของเค้าเอง ค่าน้ำมันรถ ค่าอินเทอร์เน็ตมือถือ แต่เมื่อจ่ายๆปหมดแล้ว เงินยังเหลือเกือบครึ่งนึงของเงินเดือน หรือเหลือมากกว่าครึ่งนึงของเงินเดือนในการทำงานที่ใหม่ ส่วนที่เก่าบอกชนเดือน
พฤติกรรมการใช้เงิน ปากบอกว่าเงินไม่พอใช้ สามารถซื้อเสื้อผ้าราคาหลายพันได้ ครีมทาหน้าหลักหลายพัน มีครีมแค่สองสามตัว ของกิน ทานอย่างดี ในห้าง ในร้านอาหารดีๆ นี่คือพฤติกรรมที่เห็นในช่วง 1 เดือนที่ไปอยู่ด้วยนะค่ะ ยังไม่รวมตอนที่ไม่ไปอยู่เลย
พฤติกรรมแฟนเมื่อยู่กับดิฉัน การเจอกันพบกัน อ่อนโยน พูดเพราะ สุภาพสะอาด เรียบร้อย ไม่ดื่มเหล้า สูบบุหรี่ ไปไหนมาไหนจับมือ จูงมือ กางร่ม ให้ตลอด ลงรถ ขึ้นรถ เข้าบ้าน เปิดประตูให้ทุกครั้ง สงสัยข้อนี้ละมั่งที่ทำให้ดิฉันหลงมาซะไกล

ตอนแรกเศร้าค่ะ ท้อเครียด ไม่อยากเลิก เพราะไม่คิดว่าตัวเองจะเจอชีวิตแย่ๆ อย่างนี้ จะต้องอุ้มท้องคนเดีย คลอดลูกก็ไม่มีสามี ลูกก็ไม่มีพ่อ ชาวบ้านจะเข้าใจว่าอย่างรัย
ดิฉันเป็นคนไม่เที่ยวกลางคิน ไม่เคยดื่มแอลกอฮอล์ อยู่ในโอวาสของครอบครัว จนเรียกได้ว่าแทบจะเป็นเด็กน้อย เช้าไปทำงานเย็นกลับบ้าน ไม่เอารัดเอาเปรียบใคร มีงานเลี้ยงไป แต่ไม่ต่อ มีเงินช่วยงานให้ตลอด คือพูดง่ายๆคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่ดีมากๆ คนนึง พ่อแม่ไม่เถียงเลย เงียบปล่อยให้ด่า ถ้าเราผิด
แต่ตอนนี้คิดว่า ตาสว่าง ไม่รู้สว่างจริงมัย เพราะกำลังจะทำให้ลูกไม่มีพ่อจริงๆซะแล้ว
แต่จิตใจกลับเด็ดเดี่ยวมากค่ะ ไม่เหลือความใจอ่อน แล้วก็สมองกับจิตใจว่างเปล่า คิดไปขนาดชื่อพ่อก็ไม่ใส่เลยนะค่ะในใบเกิด เพราะไม่ประโยชน์จริงๆ
และพร้อมที่จะเป็น Single mom ในขณะที่ท้อง 35 สัปดาห์ แต่บางที่ก็มีบ้างนิดหน่อย
ดิฉันคิดถูกแล้วใช่มัยกับคนคนนี้ ที่ว่าเค้าเห็นแก่ตัว
และอยากทราบว่าครอบครัวคนจีนเรื่องเงินเรื่องทองเป็นแบบนี้หรือค่ะ คือมีความตระหนี่ = ขี้เหนี่ยว
รวมถึงอยากเตือนสาวๆ ที่คิดจะคบคนที่ภาพลักษณ์ภายนอก คือดูดีมากจริงๆ ทั้งหน้าที่การงาน สังคม ครอบครัว และหน้าตา ว่าอาจจะไม่ใช่อย่างที่คิด
เค้ามีการบอกว่า เค้าจะรับผิดชอบเฉพาะค่าใช้จ่ายลูก ประมาณว่าชาตินี้ดิฉันต้องทำงานตลอด ไม่มีทางที่จะนั่งเลี้ยงลูกอยู่บ้านได้เลย จนฉันคิดไปไกลถึงขั้นว่า ถ้าฉันเจ็บป่วยทำงานไม่ได้ ชีวิตจะเป็นอย่างรัย

เค้าบอกว่าคนไม่ทำงาน คือ คนที่ไม่มีคุณภาพ

แย่นะค่ะ หรือดิฉันอยากได้มากเกินไป
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่