5 สิ่งที่คุณควรจะได้เรียนรู้จากตลาดหุ้นในปี 2014

1.    เศรษฐกิจแย่ ไม่ได้แปลว่า หุ้นจะวิ่งไม่ได้

ในช่วงครึ่งปีแรก เรามีช่วงเวลาที่แย่จากเหตุการณ์ทางการเมือง รวมถึงการชะงักลงของโครงการการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐฯที่เป็นความหวังของภาคเอกชนมาก่อนหน้านี้ อีกทั้ง นักวิเคราะห์ก็เฝ้าบอกเราว่า การที่สหรัฐฯยกเลิก QE นั้น มันจะยิ่งทำให้มีเม็ดเงินไหลออกจากตลาดหุ้นไปอีก เมื่อเป็นแบบนี้ ใครที่เสพข่าวเยอะๆ ก็จะเผลอลดพอร์ตลงตั้งแต่ต้นปี ทั้งๆที่ตอนนั้น ดัชนีอยู่ต่ำกว่า 1,300 จุด ด้วยซ้ำ

แล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้หุ้นไทยวิ่งขึ้นมาได้ในช่วงเวลาที่เศรษฐกิจมันแย่ๆแบบนี้?
สาเหตุแรก ก็เพราะ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย ไม่ได้สะท้อนเศรษฐกิจทุกภาคส่วนจริงๆ หรือ พูดอีกแบบหนึ่งคือ บริษัทในตลาดหลักทรัพย์นั้น เป็นแค่ส่วนหนึ่งของเศรษฐกิจไทยเท่านั้น เพราะฉะนั้น จะเอาสิ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ประเมินภาพรวมมาคิดและวิเคราะห์ในตลาดหุ้นทั้งหมดนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำ สาเหตุที่สองก็คือ บริษัทจดทะเบียนในตลาด ถือเป็นบริษัทที่มีความทนทาน และมีประสิทธิภาพในการดำเนินงาน มากกว่าบริษัทอื่นๆที่อยู่นอกตลาด ด้วยความที่มีระบบการจัดการที่ดีกว่า การตรวจสอบที่ดีกว่า และความมั่นคง ความมั่นใจจากนักลงทุนมากกว่า ดังนั้น หลายบริษัทจึงยังสามารถมีกำไรสุทธิที่โตต่อเนื่องในช่วงที่เศรษฐกิจโดยรวมมีปัญหา

ดังนั้น จะลงทุน อย่ามองแค่ภาพกว้างแล้วตัดสินใจ แต่จงมองเข้าไปข้างในคุณภาพบริษัท แล้วคุณจะเห็นโอกาสที่คนอื่นมองข้ามไป


2.    ไม่ว่าตลาดหุ้นจะวิ่งจนแพงแค่ไหน แต่จะมีหุ้นที่นักเก็งกำไรซื้อไล่ให้ลุ้นทุกวัน

ลองดูรายชื่อหุ้นในดัชนี MAI ที่ให้กำลังเยอะกว่าดัชนีสิครับ นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันนี้ MAI บวกไป 95% มีหุ้นใน MAI ที่บวกเกิน 95% ทั้งหมด 24 ตัว และในจำนวนนั้น มีถึงครึ่งหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนเกิน 200% เหตุการณ์นี้ แสดงให้เห็นว่า ถ้าอยากรวยเร็ว รวยแบบหันหลังให้คำว่าจนถาวร หุ้นตระกูล Growth Story หุ้นขนาดเล็ก สามารถทำให้ฝันของคุณเป็นจริงได้ แต่สิ่งที่คุณต้องแลกกับการเข้าไปลงทุนในหุ้นเหล่านั้นก็คือ ปัจจัยพื้นฐานที่ไม่มีอะไรรองรับเอาซะเลย มีแต่ อนาคต อนาคต และ อนาคต ซึ่งไม่รู้ว่า มันจะเป็นจริงได้อย่างที่เจ้าของธุรกิจว่าไว้หรือไม่ และฟองสบู่ตลาด MAI จะยังคงอยู่หรือแตกไปในปี 2015 นี้ ก็คงต้องติดตามกันต่อ อย่ากระพริบตาเชียว


3.    บางที ข่าวร้ายเยอะๆ ตลาดหุ้นก็ลงน้อย เพราะราคา ไม่ได้วิ่งตามข่าวเสมอไป

ช่วงเวลาที่โลกเจอข่าวร้ายกระทบหนักที่สุดช่วงหนึ่งของปีคือช่วงเดือน ก.ย. – ต.ค. ที่ผ่านมา ช่วงนั้นทำให้ S&P500 ของสหรัฐฯ ปรับฐานมากถึงเกือบ 10% ส่วน SET Index ของไทย ขึ้นไปทดสอบ 1,600 จุด ครั้งแรกของปี แล้วไหลลงมาราวๆ 5% จากจุดสูงสุดของรอบ เราไปทบทวนกันครับ ว่าช่วงนั้นเกิดอะไร
-    เป็นช่วงก่อนการประชุม FOMC ที่นักวิเคราะห์กังวลกันว่า หลังจากยุติ QE แล้ว จะมีความผันผวนในตลาดหุ้นทั่วโลก
-    ตัวเลขเศรษฐกิจของยุโรป และญี่ปุ่น ออกมาถึงขั้นว่า “ห่วย” เลยทีเดียว ทำให้นักวิเคราะห์กังวลว่า โลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอยอีกครั้งรึเปล่า? โดยฝั่งยุโรปนั้น เพราะไปคว่ำบาตรกับรัสเซีย ส่วนญี่ปุ่น ก็ได้รับผลกระทบจากการขึ้น VAT เดือน เม.ย. ทำให้การบริโภคในประเทศหดตัวรุนแรง
-    กลุ่ม ISIS (ไอซิส) ขยายอำนาจและเข้ายึดเมืองสำคัญในอิรักได้
-    โลกกำลังกังวลกันว่า Ebola จะลุกลามจนควบคุมไม่ได้หรือเปล่า
-    สหรัฐฯ มีเลือกตั้งกลางเทอม ซึ่งอาจนำมาซึ่งความไม่แน่นอนในการอนุมัติงบประมาณ และผ่านร่างกม.ในปี 2015

สุดท้าย ถึงทุกเหตุการณ์จะไม่ได้ผ่านไป แต่ตลาดหุ้นก็ปรับขึ้นต่อไป รวมถึงหุ้นไทยที่ขึ้นไปทดสอบ 1,600 จุดอีกครั้ง (แล้วดันทำให้เราได้บทเรียนอีกหนึ่งบท) ในขณะที่ตลาดหุ้นอื่นๆทั่วโลกก็พุ่งทะยานต่อไป โดย S&P500 ก็ทำ All Time High ไปเรื่อยๆ จะเห็นว่า ข่าวร้าย เป็นเรื่องอยู่คู่กับตลาดหุ้นครับ คุณไม่ควรเอามันเข้ามาเป็นตัวตัดสินว่า ควรจะซื้อหรือขาย เพราะข่าวร้าย หรือข่าวดีอะไรรายวันแบบนี้ อ่านไว้แค่ประดับความรู้ และเป็นส่วนประกอบหนึ่งในการตัดสินใจลงทุนจะดีกว่า


4.    ตลาดหุ้น เวลามันเอาคืน มันเล่นถึงตายนะครัช

เหตุการณ์สดๆร้อนๆวันที่ 15 ธ.ค. ที่ผ่านมา ใครจะรู้ว่า ในรอบ 5 ปี มันเกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว และถ้าใครใจไม่แข็งพอ ตัดขาดทุนไปตอนที่ตลาดไหลลงแรงๆช่วงครึ่งบ่ายละก็ มันเจ็บปวดสุดขีดเลยก็ว่าได้ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า การมีเงินสดในมือในปริมาณที่เหมาะสม จะทำให้เราบริหารหน้าตัก และไม่ตัดสินใจทำอะไรตามอารมณ์มากเกินไป

ทำไมผมถึงบอกแบบนี้? เพราะคนที่ตัดขาดทุนหลังจากหุ้นลงหนักๆ มักจะเกิดจาก ความกลัวจะสูญเสียเงินต้นไปทั้งหมด มันมาได้จากหลายสาเหตุครับ a) ไม่เคยคิดมาก่อนว่า ความเสี่ยงของตัวเองอยู่ที่ระดับไหน แต่กลับลงทุนโดยซื้อหุ้นเข้าพอร์ตมากเกินไป b) มีความมั่นใจสูงมาก (Overconfident) กับหุ้นที่ตัวเองถือ แต่ขาดวิธีการบริหารพอร์ตอย่างเหมาะสม c) ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเขาเลย ยังศึกษา หรือ อยู่ในตลาดไม่นานพอ


5.    มีที่ว่างเผื่อความผิดพลาดให้กับตัวเองบ้าง ไม่มีใครถูกไปทุกอย่างหรอก

ผมเห็นนักลงทุนที่เข้มงวดกับตัวเองมากๆหลายคน เห็นแล้วก็ชื่นชม แต่อดกังวลกับเขาไปด้วยเหมือนกัน  นั้นเพราะคนที่เข้มงวดกับตัวเอง เข้าขั้น Perfectionist นั้น เวลาพลาดมาที อาจสูญเสียความมั่นใจไปจนไม่เหลือให้กลับมายืนสู้ใหม่อีกครั้ง จริงๆ ปีนี้ เป็นปีที่หุ้นไทยเล่นไม่ยาก กำไรกันถ้วนหน้า แต่ก็มีบางคนที่พลาดท่าให้กับความโหดร้ายของตลาด จนทำให้ตัวเองต้องออกจากเกมส์การลงทุนไปอย่างถาวร น่าเสียดายแทนครับ
กรณีที่พอจะยกให้เห็นเป็นตัวอย่างได้ดีก็คือ กลางเดือน ต.ค. ที่ปู่วอเรน บัฟเฟต ลงทุนพลาดกับ IMB และ COKE เงินหายไปราวๆ 6.5 หมื่นล้านบาทภายในสองวัน โดยก่อนหน้านั้นไม่ถึง 2 สัปดาห์ ปู่แกก็ตัดสินใจขายหุ้นเทสโก้ (Tesco) ค้าปลีกรายใหญ่ของอังกฤษ ทิ้งจนเหลือถือแค่ 3% พร้อมให้สัมภาษณ์ว่า การตัดสินใจของเขาในการเข้าซื้อหุ้นของเทสโก้ถือเป็น “ความผิดพลาดอันใหญ่หลวง” และเป็น “การลงทุนที่โง่เขลา”

กรณีของบัฟเฟต ผู้เป็นตำนานของ VI ยิ่งย้ำให้เราเห็นว่า ไม่มีใครถูกได้ตลอด คุณต้องเผื่อใจไว้กับความล้มเหลวบ้าง อีกเรื่องก็คือ  ไม่มีบริษัทไหนที่จะมั่นคงยืนยงไปได้ตลอดหรอก อย่าสบายใจกับมันเกินไป ลองคิดดูนะครับ ถ้าบัฟเฟต ego สูง ล้มไม่เป็น เจ็บไม่เป็น เพราะคิดว่าตัวเองเก่งที่สุด และรวยที่สุด ละก็ เจอเหตุการณ์สองเหตุการณ์นี้เข้าไป ผมว่า คงเครียดไม่น้อยทีเดียว แต่เพราะว่า เขาเข้าใจธรรมชาติของการลงทุน เข้าใจธรรมชาติของโลก ก้มหน้ายอมรับความจริง และลุกขึ้นสู้ใหม่ทุกครั้งที่พลาด เพราะมันคือวิถีทางของผู้ชนะในระยะยาว

คุณละ ได้อะไรเป็นบทเรียนจากปีนี้บ้าง อย่าลืมแชร์กันด้วยนะครับ

    หวังว่าปี 2015 จะเป็นปีที่ดีของนักลงทุนทุกคน แล้วเจอกันใหม่ปีหน้า

-----------------------------
โชคดีในการลงทุนครับ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  หุ้น ตลาดหลักทรัพย์ Value Investment เศรษฐกิจ กองทุนรวม
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่